มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

ศิลปะคอมมิคกับการเยียวยาใจ โดย คุณวิไล ตระกูลสิน

            เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดงร่วมกับแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. สมาคมการ์ตูนไทย และ Let’s Comic ได้จัดเสวนากึ่งปฏิบัติการเรื่อง "ศิลปะคอมิคกับการเยียวยาใจ" โดย คุณนิโคลาส์ เวอร์สแตปเปิน ผู้เชี่ยวชาญศิลปะคอมิคจากเบลเยี่ยม เมื่อบ่ายวันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2558 ณ ศูนย์ประชุม ศ.บำรุงสุข สีหอำไพ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ 
            ปัจจุบันคุณนิโคลาส์ พำนักอยู่ที่อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต และจัดรายการวิทยุออกอากาศที่กรุงบรัสเซลทุกสองสัปดาห์
             การบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ มีอาจารย์ ดร. จิรยุทธ สินธุพันธุ์ สรุปเป็นภาษาไทย เริ่มด้วยการแนะนำให้รู้จักนักเขียนการ์ตูนชาวเบลเยี่ยม ฌอร์ฌ เรอมี (Georges Remi) หรือที่รู้จักกันในนามปากกา แอร์เฌ (Hergé) ผู้เขียนเรื่องตินตินผจญภัย แอร์เฌ เป็นบรมครูในด้านการใช้เส้นที่ชัดเจน มีรายละเอียดเท่าเทียมกันทั้งภาพ ให้ผู้อ่านเลือกได้เองว่าอยากดูส่วนไหน อะไรสำคัญ และดูน่าเชื่อเหมือนโลกเสมือนจริง 
คอมิคอาร์ตทำงานอย่างไร
             คอมิคอาร์ตสร้างโลกที่เชื่อมโยงกันได้ แม้แต่ละช่องจะแยกจากกันทั้งด้านสถานที่และเวลา คอมิคอาร์ตต่างจากภาพวาดและภาพยนตร์ วิทยากรยกตัวอย่างภาพวาด งานแต่งงานของชาวนา โดยศิลปินเฟลมมิช ปีเตอร์ เบรอเคิล ซึ่งใช้เส้นนำสายตามาสร้างความหมาย  ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ในภาพเด็กมีที่ว่างให้เล่นได้รอบตัว จะกินอาหารอย่างไรก็ได้ กินจากจานหรือหยิบจากพื้นก็ไม่มีใครว่าอะไร ขณะที่เจ้าสาวในภาพต้องนั่งสำรวม มีเส้นรอบๆ ตัวเธอมากมายราวกับถูกกักขังไว้ในกรอบแห่งประเพณี เมื่อเชื่อมโยงกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ เด็กจะทำตามสัญชาติญาณได้มากกว่า 
             เปรียบเทียบภาพวาดกับภาพยนตร์ ขณะที่ภาพวาดพยายามดึงให้เราอยู่ภายในกรอบ  ภาพยนตร์มักทำให้เรารู้สึกเสมอว่ายังมีบางสิ่งเกิดขึ้นนอกจอภาพ บางครั้งจากเสียงหรือเพลง ทำให้ผู้ชมภาพวาดกับภาพยนตร์ตีความแตกต่างกัน
            เมื่อวิเคราะห์ภาพการ์ตูนที่ล้อเลียนภาพวาดคลาสสิกข้างต้นของวิลลี่ แวนเดอร์สตีน (Willy Vandersteen)  นักเขียนการ์ตูนชาวเบลเยี่ยมอีกท่านหนึ่ง ภาพแรกวาดในปี 1948 มีลักษณะเหมือนภาพวาด ส่วนภาพที่สองวาดในปี 1952 เส้นสายชัดเจนขึ้น เหมือนได้รับอิทธิพลจาก แอร์เฌ ทำให้อ่านได้ง่ายขึ้น มีการใช้ความไม่สมมาตรดึงความสนใจของผู้ชม และช่องสุดท้ายมีภาพคนทำกระดาษหล่น เป็นการเชื้อเชิญให้ผู้อ่านพลิกไปยังหน้าถัดไป
            คอมิคอาร์ตใช้วิธีการจัดองค์ประกอบของหน้ากระดาษ ในแต่ละช่องมีการเชื่อมต่อไป ดึงความสนใจของผู้อ่านไปสู่ความหมายที่เป็นหัวใจในหน้านั้นๆ ใช้ส่วนผสมของตัวหนังสือกับภาพ ใช้พื้นที่แทนเวลา เช่นการขยายช่องทำให้เรารับรู้ว่ามีพื้นที่มากขึ้นเหมือนเวลาผ่านไปนานขึ้น การจัดหน้ากระดาษเปรียบเหมือนการจัดบ้าน ที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้อ่าน ห้องไหนจะใช้เวลามาก ห้องไหนใช้เวลาน้อย 
             นอกจากนั้น ลักษณะธรรมชาติของมนุษย์จะพยายามปิดช่องว่างเสมอ เช่น เส้นโค้งเข้าหากันสามเส้น มองเป็นวงกลมได้ จึงไม่จำเป็นต้องวาดให้ครบ การอ่านการ์ตูนก็เช่นกัน ภาพหรือการกระทำที่หายไป ผู้ชมจะคิดต่อได้เอง ตรงกับคำว่า Closure ซึ่งเป็นคำเดียวกันที่ใช้ทั้งในคอมิคอาร์ต และจิตเวช เมื่อเจอประสบการณ์อกสั่นขวัญแขวน เราจะพยายามอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อเป็นการเยียวยา
             คำว่า Trauma มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า บาดแผล เช่น ผลจากภาวะสงคราม หรือการล่วงละเมิดทางเพศ ในภาษาฝรั่งเศสจะใช้คำที่แปลว่า ตัวแข็ง เหมือนผู้ที่เผชิญหน้ากับเมดูซ่าแล้วตกใจจนกลายเป็นหิน สมองหยุดทำงาน คิดอะไรไม่ออก อธิบายไม่ได้ ไม่อาจแทนด้วยภาพหรือคำพูดใดๆ  
            ในภาวะปกติ สมองของเราจะพยายามเชื่อมโยงความทรงจำและให้ความหมาย แต่ในภาวะที่มีบาดแผลทางใจ จะไม่สามารถเชื่อมโยงประสบการณ์กับอะไรได้ เกิดช่องว่างขึ้น จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ประสบปัญหามักรู้สึกว่าตนเองหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้ และมักเปรียบเทียบว่าตนเองเหมือนสัตว์เพราะสัตว์ก็พูดไม่ได้เช่นกัน ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือเรื่อง แบทแมน ที่เขียนขึ้นในปี 1939 บรูซ เวน เกิดบาดแผลในใจเพราะพ่อแม่ถูกฆ่าตาย ภาพการ์ตูนแสดงว่าเมื่อบรูซ เวน ดูข่าวโทรทัศน์ก็คิดถึงภาพพ่อแม่ถูกฆ่า ในภาพเดียวเห็นความเป็นจริงสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ในวรรณกรรมเราต้องอ่านเรื่องราวไปทีละบรรทัด ในภาพยนตร์ก็ต้องดูภาพตามลำดับ แต่ในคอมิค เราเห็นหลายเรื่องราวพร้อมกันได้ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของคอมิค 
ความสัมพันธ์ระหว่างคอมิคกับจิตเวช 
             คอมิคช่วยให้แสดงออกถึงสิ่งที่อธิบายไม่ได้ วิทยากรยกตัวอย่างหนังสือและภาพมากมาย สรุปมาเพียงบางส่วนเช่น
            คอมิคของเจสัน เล่าเรื่องเด็กสองคนตั้งชมรมแบทแมนและกำลังหัดกระโดด แต่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ภาพใช้ช่องสีดำ 6 ช่องแทนช่วงอุบัติเหตุ ให้ผู้อ่านจินตนาการเองว่าเกิดอะไรขึ้น
            คอมิคเรื่อง Maus โดยอาร์ต สปีเกิลแมน (Art Spiegelman) นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน เล่าเรื่องการกวาดล้างชาวยิวในยุโรป ชาวยิวถูกเรียกว่าหนู จึงใช้ภาพหนูที่ไม่มีปากแทนชาวยิว 
            คอมิคโดยเครก ทอมป์สัน (Craig Thompson) เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ที่ใช้องค์ประกอบภาพและการอุปมาอุปไมยแทนคำพูด เช่น ภาพไม้กางเขนกลับหัว มีมนุษย์ร่วงหล่นลงมา มีสัตว์ลอยขึ้นไป พ่อเลี้ยงกำลังโกนขนแพะด้วยเครื่องมือที่เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องเพศ
            คอมิคอาร์ตนำชิ้นส่วนมาต่อกัน จึงเหมือนเหยื่อที่รู้สึกแตกสลายภายในและแสดงออกได้
โดยนำชิ้นส่วนมาต่อกัน มีเรียม เคท์อิน (Miriam Katin) ที่ผ่านเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เริ่มเขียนคอมิคเมื่ออายุ 63 ปี หลังจากได้อ่านเรื่อง Maus และพบว่าศิลปะคอมิคช่วยให้เธอเล่าประสบการณ์ได้ ศิลปะคอมิคจึงมีศักยภาพในการเยียวยาบาดแผลทางใจ
              หลังจากพักรับประทานชา-กาแฟ ขนมและผลไม้ ช่วงที่สอง เป็นเวิร์กชอปเกมวาดการ์ตูน ซึ่งแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน
1.วิทยากรแจกบัตรคำให้นักวาดการ์ตูนอาสาสมัคร 9 คนๆ ละคำ มีทั้งนักวาดการ์ตูนรุ่นใหม่เช่น บก.ซัน- ธัญลักษณ์ เตชศรีสุธี และนักวาดการ์ตูนรุ่นอาวุโส เช่น คุณโอม รัชเวทย์ คุณเซีย ไทยรัฐให้แต่ละคนวาดรูปตามบัตรคำที่ได้รับลงในช่องสุดท้าย(ล่างขวา) ของกระดาษเอ 4 ที่แบ่งออกเป็น 4 ช่อง คำทั้ง 9 ได้แก่ แม่น้ำ ค้างคาว เหยี่ยวนักล่า ถ้ำ เห็ด ภูเขา ตัวเยติ(มนุษย์หิมะ) กระจกเงา และ วิสกี้ 
2. เมื่อวาดเสร็จ ส่งกระดาษให้เพื่อนที่นั่งถัดไปทางซ้ายมือ (ระหว่างนี้วิทยากรถ่ายภาพทั้งหมดแล้วโชว์ขึ้นบนจอให้ทุกคนในห้องได้ชม)
3.  วาดรูปจากคำเดิมของตนเองประกอบกับคำอื่นๆ ใน 9 คำ เลือกได้ตามใจชอบ ลงในช่องแรก(ซ้ายบน) ของกระดาษเอ 4 ที่ได้รับมา เสร็จแล้วส่งให้เพื่อนทางซ้ายมืออีก
4.  วาดรูปในช่องที่ 2 และ 3 ให้เรื่องเชื่อมโยงกับช่องที่ 1 และ 4 ที่มีเพื่อนวาดไว้แล้ว
5. วิทยากรนำกระดาษที่วาดครบสี่ช่องทั้ง 9 แผ่นมาเรียงกันบนโต๊ะหน้าห้อง แล้วชวนให้ทุกคนออกมาชม มีเสียงฮือฮา เสียงหัวเราะ เพราะการ์ตูนในกระดาษแต่ละแผ่นดูต่อกันได้น่าขบขันและเรื่องราวในกระดาษแผ่นสุดท้ายก็วนไปต่อกับแผ่นที่หนึ่งอย่างน่าอัศจรรย์!
การเสวนาจบลงอย่างสนุกสนาน ได้ความรู้และแง่คิดมากมาย มองเห็นคุณค่าและศักยภาพของศิลปะคอมิคยิ่งขึ้นไปอีก