ประชุมสัมมนาสาธารณะ ของขวัญวันเด็ก : ปฏิรูปจิตสำนึกเด็กไทยด้วยหนังสือ “เล่มใหม่

แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ,สำนักงานโครงการส่งเสริมการอ่าน กศน. ,โครงการ Bangkok read for life – กรุงเทพฯ : มหานครแห่งการอ่าน และแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.)
จัดการประชุมสัมมนาสาธารณะ ของขวัญวันเด็ก : ปฏิรูปจิตสำนึกเด็กไทยด้วยหนังสือ “เล่มใหม่”ในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554 ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกระแสให้สังคมเกิดความตระหนักและตื่นตัวในเรื่องการปฏิรูปจิตสำนึกเด็กไทยด้วยหนังสือ ตลอดจนนำเสนอการหาแนวทางการปฏิรูปจิตสำนึกใหม่ของสังคมไทย ผ่านหนังสือเด็กในอนาคต งานสัมมนาเริ่มด้วยบทเพลง “เด็กดั่งดวงดาว” จากเด็ก ๆ โรงเรียนอนุบาลสานรักหมู่บ้านเด็ก มูลนิธิเด็ก และกล่าวเปิดงาน โดย รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ คณะกรรมการกำกับทิศทางแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ได้เชิญชวนทุกองค์กร ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เข้าร่วมประชุมว่า “ในโอกกาสวันเด็กที่จะมาถึงนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทบทวนของขวัญสำหรับเด็กชิ้นสำคัญที่เราละเลยมาเนิ่นนาน ทั้ง ๆ ที่เป็นของขวัญที่มีพลังสร้างทุนทางปัญญาให้สังคม สานสัมพันธภาพในครอบครัว และฟูมฟักจิตสำนึกที่ดีงาม นั่นก็คือ หนังสือ เราจะปฏิรูปสังคมไม่สำเร็จหากไม่เริ่มที่ตัวเรา ครอบครัวของเราช่วยกันสร้างจินตนาการใหม่ จิตสำนึกใหม่ เพื่อประเทศของเราด้วยหนังสือดี ๆ ของวันนี้” จากนั้นเป็นการนำเสนอผลวิจัย “แก่นสาระและสุนทรียภาพหนังสือเด็กปฐมวัย: จาก 108 หนังสือดี สู่เวทีปฏิรูปประเทศไทย” โดย อาจารย์พิรุณ อนวัชศิริวงศ์ ศูนย์พัฒนานวัตกรรมการอ่าน และ รศ.ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สะท้อนว่าในปัจจุบันหนังสือเด็กวัย 0-2 ปียังมีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงอายุอื่น ๆ สำหรับแนวคิดของเรื่อง การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการแก้ปัญหา การส่งเสริมคิดสร้างสรรค์ มีสอดแทรกอยู่ในหนังสือน้อย และ เรื่อง “ความซื่อสัตย์” กลับไม่พบในหนังสือคัดสรร สุดท้ายผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนและมีข้อเสนอแนะในระดับนโยบาย ข้อเรียกร้องที่สำคัญ อาทิ รัฐบาลต้องเห็นความสำคัญของหนังสือ ระดมความร่วมมือ ปัจจัย กลไก และทรัพยากรในการสร้างวัฒนธรรมการอ่าน การเปิดพื้นที่รูปแบบมุมหนังสือและห้องสมุดให้เข้าถึงและหลากหลาย การกำหนดให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และโรงเรียนอนุบาลทุกแห่งต้องมีหนังสือที่เหมาะสมสำหรับเด็กอย่างน้อย 3 เท่าของจำนวนเด็กทั้งหมด การปลูกฝังครอบครัวให้เป็นต้นแบบการอ่านที่ดีให้แก่เด็ก การผลักดันให้ผู้ผลิตผลิตหนังสือที่ส่งเสริมทัศนคติและแนวคิดเรื่องที่ขาดแคลน เช่น ความซื่อสัตย์ และความมุ่งมั่นใฝ่สัมฤทธิ์ นอกจากนี้ควรมุ่งพัฒนาวิธีการเรียนการสอนเด็กในโรงเรียนให้สามารถอ่านออก เข้าใจ วิเคราะห์ได้ และรักการอ่านการเรียนรู้
แก่นสาระและสุนทรียภาพหนังสือเด็กปฐมวัย:จาก ๑๐๘ หนังสือดี
สู่เวทีปฏิรูปจิตสำนึกเด็กไทยด้วยหนังสือ“เล่มใหม่”
เอกสารประกอบการนำเสนองานวิจัย ประกอบด้วยบทความวิจัย 2 ภาค ได้แก่
ภาคแรก แก่นสาระของหนังสือเด็กสู่ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปจิตสำนึกสังคมไทย
ภาคขยาย หนังสือภาพสำหรับเด็กกับบริบทของสังคมไทย
จากการวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์แก่นสาระและสุนทรียภาพหนังสือเด็กปฐมวัย:
จาก ๑๐๘ หนังสือดีของแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน”
โดย อาจารย์พิรุณ อนวัชศิริวงศ์ ศูนย์พัฒนานวัตกรรมการอ่าน
รศ.ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาคแรก – แก่นสาระของหนังสือเด็กสู่ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปสังคมไทย
หลักการและเหตุผล
หนังสือภาพสำหรับเด็กปฐมวัย เป็นสื่อสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดพัฒนาการทางด้านต่างๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ภาษา และจินตนาการ นอกเหนือจากความเพลิดเพลินที่ได้รับจากการอ่านหรือฟังผู้ใหญ่อ่านให้ฟังแล้ว หนังสือภาพยังช่วยให้เด็กเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะหนังสือภาพนอกจากจะนำเสนอแก่นสาระซึ่งเป็นประเด็นในการพัฒนาเด็ก ได้แก่ การช่วยเหลือตนเอง การรู้จักถูกผิด รู้จักอดทนอดกลั้น ฯลฯ ซึ่งเป็นทักษะการดำรงชีวิตหรือค่านิยมที่พึงสร้างเสริมแล้ว ยังเป็น “บทเรียน”สำหรับเด็กในการเตรียมความพร้อมสู่สังคมที่กว้างขึ้น
การนำเสนอประเด็นหรือแก่นสารต่างๆ ด้วยศิลปะวิธีที่แยบยล จากภาพและภาษา ในหลายลักษณะเพื่อให้การสื่อสารเหมาะสมกับเด็กปฐมวัยในช่วงต่างๆ เช่น ช่วงปฐมวัยตอนต้น ช่วงปฐมวัยตอนกลาง หรือช่วงก่อนเข้าสู่ระดับประถมศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมให้เด็กได้เป็นสมาชิกที่มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสังคม
การทำความเข้าใจหนังสือภาพสำหรับเด็ก โดยผ่านการวิเคราะห์ในด้านแก่นสาระและสุนทรียภาพ โดยอาศัยแนวคิดด้านพัฒนาการเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรอบความคิดเกี่ยวกับ “หน้าต่างแห่งโอกาส” (windows of opportunity) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับพัฒนาการของสมองสำหรับเด็กปฐมวัย มีความสำคัญมาก จะทำให้เข้าใจถึงแก่นสารที่นำเสนอ การออกแบบภาพ การใช้ภาษา และอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างเพลิดเพลินแก่เด็ก ฯลฯ ผลที่ได้ย่อมนำมาสู่ความเชื่อมโยงกับคุณค่าที่พึงประสงค์ในการปลูกฝังให้แก่เด็ก ภายใต้บริบทของสังคมและวัฒนธรรม
แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มุ่งหวังให้การอ่านเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญในสังคมไทย และให้ความสำคัญกับคุณค่าของ “สาร” หรือ “เนื้อหาสาระ” ที่ต้องการสื่อถึงเด็ก ด้วยเชื่อว่าการปลูกฝัง “การอ่าน”ในวัยแรกเริ่มของชีวิตจะทำให้การอ่านยั่งยืนไปพร้อมๆ กับการหล่อหลอมบุคลากรที่มีคุณภาพของสังคม จึงได้คัดสรรหนังสือดีสำหรับเด็กปฐมวัย โดยคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ โดยในการดำเนินการขั้นสุดท้ายคัดเลือกได้ 108 เล่ม
แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านจึงเห็นควรให้มีการศึกษาวิเคราะห์ แก่นสาระและสุนทรียภาพหนังสือเด็กปฐมวัย จาก 108 เล่มหนังสือดี ที่แผนงานฯ ได้คัดสรรไว้แล้ว เพื่อจักได้ขยายผลสู่การพัฒนาวัฒนธรรมการอ่านและกระทั่งปฏิรูปสังคมไทยต่อไป
สังเขปผลการศึกษา
แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ได้คัดสรรหนังสือดีสำหรับเด็กปฐมวัย จำนวน 108 เล่ม เป็นหนังสือภาพของไทย 67 เรื่อง (ร้อยละ 62) และหนังสือแปล 41 เรื่อง (ร้อยละ 38) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ 21 แห่ง (17 กลุ่มบริษัท)
การจัดแบ่งหนังสือตามระดับอายุ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มอายุ 0-2, 1-3, 3-5 และ 4-6 ปี เป็นหนังสือในกลุ่ม 4-6 ปี จำนวนมากที่สุด (ร้อยละ 43.5) และหนังสือในกลุ่ม 0-2 ปี มีจำนวนน้อย (ร้อยละ 7.4) ส่วนหนังสือในกลุ่ม 1-3 ปี และ 3-5 ปี มีจำนวนใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 25.9 และ 23.2 ตามลำดับ)
ในกลุ่มอายุ 0-2 ปี ไม่มีหนังสือแปล ส่วนกลุ่มอื่นๆ มีทั้งหนังสือภาพของไทยและหนังสือแปล และเกินกว่าครึ่งหนึ่งของหนังสือแปลเป็นหนังสือในกลุ่ม 4-6 ปี
การคัดสรรหนังสือใช้กรอบแนวคิด “หน้าต่างแห่งโอกาส”ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย
กรอบความคิด “หน้าต่างแห่งโอกาส”: โอกาสในการพัฒนาเด็ก
การที่คนจะพัฒนาจากทารกกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ธรรมชาติได้กำหนดขั้นตอนไว้เป็นขั้นๆ ความสำเร็จของขั้นต้นๆ จะเป็นฐานสำหรับขั้นต่อไป โดยในช่วงแรก ธรรมชาติได้กำหนดให้เป็นช่วงของการพัฒนาทักษะพื้นฐานในการมีชีวิตรอด และใช้เป็นต้นทุนสำหรับพัฒนาศักยภาพในช่วงต่อๆ ไป
การพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ให้มีความสามารถเต็มที่นั้นจึงต้องเดินตามสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดไว้ สิ่งนี้เรียกว่า “หน้าต่างแห่งโอกาส”(windows of opportunity)
“หน้าต่างแห่งโอกาส”(windows of opportunity)คือ ช่วงเวลาที่สมองเปิดรับการเรียนรู้ได้ดีที่สุด นักจิตวิทยาเด็กนำแนวคิดนี้มาบูรณาการกับพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็ก ถือว่า เป็นโอกาสที่ธรรมชาติมอบให้ ว่าช่วงใดเหมาะสมกับการพัฒนาคุณสมบัติอะไร แต่ละเรื่อง ธรรมชาติได้กำหนดระยะเวลาไว้ให้ หากพ้นช่วงที่ธรรมชาติกำหนดไปแล้ว การพัฒนาก็อาจเกิดขึ้นได้ยาก หรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย
· เด็กวัย 0-2 ปีหน้าต่างแห่งโอกาสที่พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็ก สามารถเสริมสร้างให้แก่เด็กในวัยนี้มี 2 ข้อ คือ สร้างความผูกพัน และ ความไว้วางใจผู้อื่น คุณสมบัติทั้งสองประการนี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ หากเด็กขาดคุณสมบัติทั้งสองข้อนี้ เมื่อโตขึ้นอาจทำให้ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับผู้อื่นได้
· เด็กวัย 3-5 ปีหน้าต่างแห่งโอกาสที่พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็ก สามารถเสริมสร้างให้แก่เด็กวัยนี้มี 2 ข้อ คือ การรู้จักถูกผิด และ การควบคุมอารมณ์ตัวเอง วัย 3-5 ปี หรือวัยอนุบาลเป็นวัยที่เด็กรู้จักความรู้สึกถูกผิดได้ดี ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็ก จะสอนให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก ควรนำไปปฏิบัติ เช่น การรู้จักแบ่งปัน เป็นต้น และอะไรคือสิ่งที่ผิด ไม่ควรปฏิบัติ เช่น ไม่หยิบของผู้อื่น ไม่ทำร้ายผู้อื่น หรือการทะเลาะกับเพื่อนแล้วใช้ความรุนแรง เป็นต้น เด็กวัยนี้เมื่ออยากได้สิ่งของต่างๆ ก็แสดงออกด้วยอารมณ์ ต้องเอาให้ได้ดังใจ จึงควรทำให้เด็กเรียนรู้การควบคุมตัวเอง ควบคุมความโกรธ ความอยากได้ รู้จักรอคอย ในระยะนี้ เรื่องสอนใจให้รู้ว่าอะไรผิด-ถูก ควร-ไม่ควร นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เด็กควรจะมีโอกาสได้เรียนรู้ มิฉะนั้นอาจเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ต่อพัฒนาการของเด็กในระยะต่อไป
· เด็กวัย 6-9 ปีหน้าต่างแห่งโอกาสที่ผู้ใหญ่สามารถเสริมสร้างให้แก่เด็กวัยนี้มี 3 เรื่องได้แก่ การประหยัด มีวินัย และ ใฝ่รู้ พัฒนาการของเด็กในช่วงนี้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ในเรื่องของจำนวนเงิน การวางกำหนดกฎเกณฑ์ในเรื่องเวลาและรู้จักร่วมรับผิดชอบ และเปิดรับการเรียนรู้ที่หลากหลาย กระบวนการเรียนรู้ในช่วงวัยนี้จึงควรมีความยืดหยุ่น
จำแนกเป็นพัฒนาการด้านต่างๆ ได้ดังนี้
|
“หน้าต่าง” |
“โอกาส”ในการสร้างวงจรของสมอง |
|
ความฉลาดทางอารมณ์ |
0-48 เดือน |
|
ความไว้วางใจ |
0-14 เดือน |
|
การควบคุมอารมณ์ |
16-48 เดือน |
|
พัฒนาการทางสังคม |
0-48 เดือน |
|
สร้างความผูกพัน |
0-12 เดือน |
|
ความเป็นตัวของตัวเอง (เชื่อมั่น) |
18-36 เดือน |
|
การรู้จักร่วมมือทำงาน |
24-48 เดือน |
|
ทักษะการคิด |
0-48 เดือน |
|
รู้จักเหตุ-รู้จักผล |
0-16 เดือน |
|
รู้จักแก้ปัญหา |
16-48 เดือน |
|
พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว |
0-24 เดือน |
|
การมองเห็น |
0-24 เดือน |
|
ทักษะด้านการอ่าน* |
0-24 เดือน |
|
การฟังเสียงอ่านในช่วงแรกๆ |
4-8 เดือน |
|
คำศัพท์ |
0-24 เดือน |
*หมายเหตุ:สองสิ่งที่สามารถพยากรณ์ความสำเร็จในด้านการอ่านได้อย่างน่าเชื่อถือมากที่สุด คือ เด็กสามารถแยกความแตกต่างของเสียงได้ และขนาดของจำนวนคำศัพท์ใน “คลัง”เพิ่มขึ้น
จากการวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ ในหนังสือ 108 เล่ม จำแนกแบ่งได้ 20 ประเด็น[*] ประเด็นที่พบมากที่สุดคือ การสร้างความผูกพัน (ร้อยละ 15.7) ส่วนประเด็นที่พบน้อย คือ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการแก้ปัญหา การคิดถึงสังคมส่วนรวม และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ (ร้อยละ 1.9 เท่ากันทั้งสี่ประเด็น) และ การมีวินัย (ร้อยละ 1.4)
ประเด็นการสร้างความผูกพัน พบในหนังสือของทั้ง4 กลุ่มอายุ
ในด้านเนื้อหา เป็นเรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคมมากที่สุด (ร้อยละ 46.3) รองลงมาคือเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในครอบครัว (ร้อยละ 23.2) ส่วนแนวคิดของเรื่อง (theme) มุ่งส่งเสริมให้เด็กมีความเชื่อมั่นในตัวเอง/รู้จักตัวเอง มากที่สุด (ร้อยละ 18.5) และมุ่งส่งเสริมเด็กในเรื่องการมีน้ำใจ มีลำดับรองลงมา (ร้อยละ 17.6)
เมื่อเปรียบเทียบแนวคิดของเรื่อง (theme) ระหว่างหนังสือของไทยกับหนังสือแปล พบว่า แก่นเรื่องของหนังสือแปลส่วนใหญ่มุ่งส่งเสริมให้เด็กมีความเชื่อมั่นในตัวเอง/รู้จักตัวเอง ขณะที่หนังสือของไทยมีแก่นเรื่องส่งเสริมเรื่องความมีน้ำใจมากที่สุด
จากแนวคิดของเรื่อง (theme)นำไปเทียบกับคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการตามแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้แก่ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้ำใจ พบว่า แนวคิดของเรื่องที่ส่งเสริมในเรื่องความซื่อสัตย์ ไม่ปรากฏในหนังสือคัดสรรทั้งหนังสือของไทยและหนังสือแปล
ในส่วนของตัวละคร มีทั้งเรื่องที่ใช้ตัวละครเป็นคนทั้งหมด สัตว์ทั้งหมด และทั้งคนทั้งสัตว์ในเรื่องเดียวกัน กรณีที่ใช้สัตว์เป็นตัวละคร ส่วนใหญ่ใช้ในลักษณะภาพแทน (representation) คือมีพฤติกรรมและการกระทำแบบเดียวกับมนุษย์ หนังสือที่มีทั้งคนและสัตว์ในเรื่องเดียว ผู้เขียนจะให้คนตัวเอกของเรื่อง
ส่วนเพศของตัวละครหลัก (main character) ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 38.0) แต่มีข้อแตกต่าง คือ กรณีที่ใช้คนเป็นตัวละครทั้งหมดในเรื่อง ส่วนใหญ่ตัวเอกเป็นเด็กหญิงและเป็นเหตุการณ์/เรื่องราวระหว่างแม่-ลูก ส่วนหนังสือที่ใช้สัตว์เป็นตัวละครทั้งหมดหรือสัตว์กับคน ส่วนใหญ่ตัวเอกจะเป็นเพศชาย
ประเภทของสัตว์ที่เป็นตัวเอกมากที่สุดคือ หมี และ กระต่าย
ลักษณะของตัวละคร หนังสือภาพของไทยส่วนใหญ่นำเสนอแบบมิติเดียว (flat character) เช่น เป็นคนดีตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนหนังสือแปลส่วนใหญ่นำเสนอแบบหลายมิติ (round character) มากกว่า
รูปแบบการประพันธ์ ส่วนใหญ่เป็นร้อยแก้ว (ร้อยละ 64.8) ในลักษณะบุคคลที่สามเป็นผู้เล่าเรื่อง (third person omniscient narrator) (ร้อยละ 88.9) และส่วนหนึ่งมีบทสนทนาโต้ตอบระหว่างตัวละคร ส่วนหนังสือที่นำเสนอแต่ภาพโดยไม่มีตัวอักษรบนภาพเลยมี 2 เรื่อง
รูปเล่ม ส่วนใหญ่เป็นหนังสือปกอ่อน ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส จำนวน 24 หน้า ส่วนหนึ่งนำเสนอแบบหนังสือสองภาษา (ไทย-อังกฤษ) หนังสือบางเล่มมีการนำเทคนิคของการ์ตูนมาใช้ เช่น ใช้ลายเส้นแสดงการเคลื่อนไหว มีบอลลูน และใช้ตัวอักษรเพิ่มระดับความดังเสียง และบางเล่มมีการจัดรูปเล่มแบบพิเศษเพื่อดึงดูดความสนใจ
ส่วนราคาเฉลี่ย ตกเล่มละ 133 บาท (ราคาเฉลี่ย ปกอ่อน 81 บาท และปกแข็ง 168 บาท)
หนังสือภาพที่เปิด “หน้าต่างแห่งโอกาส”ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ของแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน เป็นตัวอย่างของ “หนังสือดี”ที่ผ่านการคัดสรรแล้วว่า ให้ความสุขและความสนุก พร้อมๆ ไปกับการปลูกฝังมิติในการพัฒนาเด็กอย่างเหมาะสมตามพัฒนาการของสมอง
อย่างไรก็ตาม มีข้อคิดเห็นบางประเด็นที่ควรพิจารณา
• ในหนังสือภาพสำหรับเด็ก มีประเด็น “หน้าต่างแห่งโอกาส”ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยบางประเด็นที่ยังมีน้อย ได้แก่ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ทักษะการแก้ปัญหา (problem solving skill) การคิดถึงสังคมส่วนรวม (social concern) การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ (creative development) และ การมีวินัย (self discipline) ในการส่งเสริมการผลิต เห็นควรพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นดังกล่าวนี้เป็นพิเศษ
· ค่านิยมพื้นฐานที่ส่งเสริมในเรื่อง “ความซื่อสัตย์”ไม่มีปรากฏในหนังสือที่ได้รับการคัดสรร เป็นประเด็นที่ควรจะหยิบยกขึ้นมาในเวทีการพัฒนาเด็กทุกรูปแบบ รวมทั้งในการผลิตหนังสือสำหรับเด็กปฐมวัย (ประเด็นนี้เป็นประเด็นหนึ่งของ “หน้าต่างแห่งโอกาส”ในเรื่องการรู้จักถูก-ผิด ซึ่งควรปลูกฝังตั้งแต่ 3-5 ปี) พร้อมๆ ไปกับการสร้างองค์ความรู้ว่าด้วยศิลปะวิธีในการสื่อสารเพื่อปลูกฝังคุณงามความดีในเรื่องนี้อย่างน้อยที่สุดก็จะทำให้การจับมือกันของภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ในการประกาศเจตนารมณ์ต้านทุจริตพิชิตคอร์รัปชั่น ในการเปิดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ครั้งที่ 14 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานครเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ไม่เป็นไปในลักษณะ “ปากว่าตาขยิบ” และในเมื่อนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เพราะการปราบปรามคอร์รัปชั่นนั้นเป็นงานที่หนักและบุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่สามารถที่จะอ้างความสำเร็จได้โดยลำพัง สังคมจะต้องร่วมมือกันให้มากยิ่งขึ้น โดยจะต้องย้ำให้เห็นถึงสาระสำคัญว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม และช่วยขับเคลื่อน 'วัฒนธรรมของการไม่อดทนต่อการทุจริต'” ก็จึงหวังว่าความซื่อสัตย์สุจริตจะเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทยได้ สิ่งหนึ่งที่จะเป็นมรรควิถีคือหนังสือที่มีคุณภาพว่าด้วยการสร้างเสริมการเรียนรู้เรื่องความซื่อสัตย์ ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่ปฐมวัยกันเลยทีเดียว
ภาคขยาย – หนังสือภาพสำหรับเด็กกับบริบทของสังคมไทย
แนวคิดเชิงทฤษฎีและผลการวิจัยด้านพัฒนาการเด็กได้แสดงว่า ปัจจัยแวดล้อมและการเลี้ยงดูที่เหมาะสมสามารถเปลี่ยนลักษณะการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองมนุษย์ได้ และช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาสมองคือช่วง 0-6 ปี
ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงที่สมองของเด็กมีการพัฒนาสูงสุด โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีแรกของชีวิต การเลี้ยงดูในบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อพัฒนาการของเด็ก ดังนั้น กิจกรรมระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก หนังสือสำหรับเด็ก และสภาพการเลี้ยงดูในบ้านจึงเป็นปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญ
“การสำรวจเด็กและเยาวชน พ.ศ.2551”โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ[†] สรุปว่า ทั่วประเทศมีเด็กเล็ก 0-5 ปี จำนวน 5.5 ล้านคน (ชาย 2.8 ล้านคน หญิง 2.7 ล้านคน) และการสำรวจครั้งนี้ได้มีการสำรวจการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกในบ้านกับเด็กอายุ 0-5 ปี พบว่า “แม่”เป็นผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกประเภทกับเด็กในสัดส่วนสูงสุด รองลงมาคือคนอื่นๆ ในครัวเรือน ส่วน “พ่อ”มีสัดส่วนต่ำสุดในทุกกิจกรรม
เมื่อพิจารณาเป็นรายกิจกรรม พบว่า กิจกรรมที่บุคคลในบ้านมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมกับเด็กมากที่สุดคือการเล่นร่วมกัน รองลงมาคือการพาเด็กไปนอกบ้าน ส่วนกิจกรรมที่ทำกับเด็กน้อยที่สุดคือการเล่านิทาน/เล่าเรื่องต่างๆ ให้เด็กฟัง
ร้อยละของสมาชิกในครัวเรือนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้กับเด็กอายุ 0-5 ปี (2551)
|
ประเภทกิจกรรม |
แม่ |
พ่อ |
คนอื่นๆ ในครัวเรือน |
ไม่มีใครร่วมในกิจกรรมนี้ |
|
1. การอ่านหนังสือ/ดูสมุดภาพร่วมกับเด็ก |
56.3 |
35.8 |
41.1 |
26.2 |
|
2. การเล่านิทาน/เล่าเรื่องต่างๆ ให้เด็กฟัง |
53.4 |
30.1 |
36.7 |
29.1 |
|
3. การร้องเพลงร่วมกับเด็ก/ร้องกล่อมเด็ก |
63.6 |
34.3 |
47.1 |
14.5 |
|
4. การพาเด็กไปนอกบ้าน |
72.9 |
54.1 |
59.7 |
4.1 |
|
5. การเล่นร่วมกันกับเด็ก |
74.8 |
57.3 |
66.5 |
2.5 |
|
6. การทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น นับเลข วาดรูป |
61.6 |
42.5 |
50.3 |
18.5 |
ส่วนการอ่านหนังสือให้เด็กฟังหรือดูหนังสือภาพร่วมกับเด็ก ก็มีสัดส่วนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับกิจกรรมอื่น และประมาณ 1 ใน 4 ของเด็กเล็ก ไม่มีผู้ร่วมในกิจกรรมนี้ (ร้อยละ 26.2)
การสำรวจครั้งเดียวกันนี้ มีการสำรวจจำนวนหนังสือสำหรับเด็กที่มีอยู่ในบ้าน ซึ่งกำหนดให้มีอย่างน้อย 3 เล่ม (หนึ่งในตัวชี้วัดด้านพัฒนาการของเด็กที่องค์การยูนิเซฟพัฒนาขึ้น) พบว่า เด็กเล็ก (0-5 ปี) อาศัยอยู่ในบ้านที่มีหนังสือสำหรับเด็กเพียงร้อยละ 40.7
ร้อยละของเด็กเล็ก 0-5 ปี ที่มีหนังสือสำหรับเด็กในบ้าน จำแนกตามรายภาค (2551)
|
ภาค |
ร้อยละ |
|
ทั่วราชอาณาจักร |
40.7 |
|
กรุงเทพมหานคร |
50.9 |
|
ภาคกลาง |
46.1 |
|
ภาคเหนือ |
41.5 |
|
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
35.6 |
|
ภาคใต้ |
35.9 |
ผลสำรวจเรื่อง “การอ่านหนังสือของคนไทย”ในปี 2551[‡] พบว่า เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปีทั่วประเทศมีประมาณ 5.9 ล้านคน (ชาย 3.0 ล้านคน หญิง 2.9 ล้านคน) มีผู้ที่อ่านหนังสือเองหรือผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้ฟัง (นอกเวลาเรียน) ประมาณ 2.1 ล้านคน หรือร้อยละ 36.0 ของจำนวนเด็กเล็กทั้งหมด
ในกลุ่มเด็กเล็กที่อ่านหนังสือหรือมีผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง**นี้ อ่านสัปดาห์ละ 2-3 วัน มากที่สุด (ร้อยละ 39.6) และใช้เวลาในการอ่านเฉลี่ย 27 นาทีต่อวัน
ร้อยละ 70.7 ของเด็กเล็กที่อ่านหนังสือ มีผู้ใหญ่ซื้อหนังสือให้อ่านเพิ่มเติมจากตำราเรียนตามหลักสูตร และส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อหนังสือให้เด็กเล็กเฉลี่ยไม่เกิน 200 บาทต่อเดือน (ร้อยละ 66.1)
จากข้อมูลการสำรวจของสำนักสถิติแห่งชาติ อาจสรุปได้ว่า ในสังคมไทย การใช้หนังสือเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยยังค่อนข้างน้อย ผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้เด็กฟังมีเพียงร้อยละ 36.0 ของครอบครัวที่มีเด็กเล็ก และจำนวนหนังสือสำหรับเด็กที่มีในบ้านตามเกณฑ์ที่กำหนด (3 เล่ม) ก็มีเพียงร้อยละ 40.7
ส่วนใหญ่มักอ้างกันว่า การที่คนไทยอ่านหนังสือกันน้อย เพราะสังคมไทยเป็นสังคม
มุขปาฐะ ใช้การสื่อสารด้วย “การพูด”เล่าเรื่องสู่กันฟังมากกว่า “การอ่าน”แต่เมื่อเทียบสัดส่วนระหว่าง การอ่านหนังสือหรือดูสมุดภาพร่วมกับเด็ก กับ การเล่านิทานหรือเล่าเรื่องต่างๆ ให้เด็กฟัง (โดยไม่ใช้หนังสือ) กลับพบว่า การอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่สมาชิกทุกกลุ่มในบ้านทำร่วมกับเด็กมากกว่าการพูดเล่าเรื่องต่างๆ ให้เด็กฟัง
หลายหน่วยงานร่วมกันรณรงค์ให้คนไทยมีนิสัยรักการอ่าน โดยเฉพาะการเริ่มต้นตั้งแต่ระดับปฐมวัย หนังสือภาพสำหรับเด็กที่คัดสรรโดยแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ส่วนหนึ่งได้สอดแทรกอุดมการณ์นี้ลงในเนื้อหาของหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือภาพของความเพลิดเพลินจากการอ่านหนังสือ (ร่วมกับพ่อแม่) อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ให้ผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้เด็กฟังเป็นกิจกรรมที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใหญ่เห็นความสำคัญในการใช้หนังสือภาพเพื่อพัฒนาคุณภาพของเด็ก
หนังสือภาพสำหรับเด็กเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการเพื่อเตรียมเด็กเข้าสู่สังคม (socializing agents) และมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวต่างจากสื่ออื่น กิจกรรมการอ่านกับตัวหนังสือที่ถูกอ่านมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน กิจกรรมการอ่านสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้อ่าน (พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู) กับเด็ก ส่วนหนังสือที่ถูกอ่านมักมีแก่นเรื่องที่สะท้อนถึงการขัดเกลา (socialize) และเตรียมตัวเด็กเข้าสู่สังคมในอนาคต มีการสอดแทรกกติกา ค่านิยม ตลอดจนความสัมพันธ์กับสมาชิกคนอื่นๆ ในสังคม คุณลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่เด็กควรต้องรู้
หนังสือภาพสำหรับเด็กเขียนขึ้นโดยผู้ใหญ่ บนพื้นฐานเจตนาที่จะปลูกฝังคุณลักษณะบางอย่างให้กับเด็ก เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กเข้าสู่สังคมในอนาคตได้อย่างราบรื่น การนำเสนอเนื้อหาและตัวละครจึงสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยม ความคิด ความเชื่อของผู้ใหญ่ ภายใต้บริบทของสังคมนั้นๆ
หนังสือภาพสำหรับเด็กจึงมีนัยยะเป็น “บทเรียน”ในการปลูกฝัง ขัดเกลา (socialize) ให้เด็กรู้จักและเข้าใจสังคมรอบตัว และการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้น นั่นเอง
จากการวิเคราะห์เนื้อหาหนังสือภาพที่ได้รับการคัดสรรจากแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สรุป ความเป็น “บทเรียน”ในการเตรียมความพร้อมให้เด็กอย่างกว้างๆ ได้ 2 ลักษณะ คือ ส่วนหนึ่งให้เด็กรู้จักและเข้าใจตนเอง (ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา/อารมณ์/สุขภาพร่างกาย) และอีกส่วนหนึ่ง ให้เด็กรู้จักและเข้าใจสังคมรอบตัว (ส่งเสริมทักษะ/พัฒนาการทางสังคม) ซึ่งทั้งสองส่วนโยงใยสัมพันธ์กัน ภายใต้บริบททางสังคม (ของผู้เขียน)
ลักษณะเด่นของสังคมไทย คือ เป็นสังคมที่มีน้ำใจต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และมีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน เนื้อหาของหนังสือที่แต่งโดยคนไทยจึงมีแนวคิด (แก่นเรื่อง) ในเรื่องความมีน้ำใจมากที่สุด สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของผู้เขียน (คนไทย) ที่ต้องการปลูกฝังและขัดเกลาเด็กตามค่านิยมของสังคม เมื่อพิจารณาในประเด็น “หน้าต่างแห่งโอกาส”(windows of opportunity) ก็พบว่า หนังสือที่แต่งโดยคนไทยมีประเด็นในเรื่องการสร้างความผูกพันมากกว่าประเด็นอื่นๆ
ความมีน้ำใจและการสร้างความผูกพัน เป็นฐานของสังคมระบบอุปถัมภ์นั่นเอง?!
นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ มุ่งพัฒนาเด็กให้มีคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ คือ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี และมีน้ำใจ จากการวิเคราะห์เนื้อหาของหนังสือคัดสรร พบว่า ไม่ปรากฏแก่นเรื่อง (theme) ในการส่งเสริมเรื่องความซื่อสัตย์ ทั้งหนังสือของไทยและหนังสือแปล
สอดคล้องกับการวิเคราะห์หนังสือเด็กที่ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่นจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ในช่วง 10 ปี (2543-2552)[§] ก็พบเช่นเดียวกันว่า เนื้อหาของหนังสือราง

