“จับประเด็น” ข่าวประชาสัมพันธ์ โดยคนข่าวมืออาชีพ “อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์”
ช่วงบ่ายวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ได้เชิญคุณอมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ รองเลขาธิการฝ่ายสิทธิเสรีภาพและปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ มาอบรมถ่ายทอดความรู้เรื่อง “การเขียนและจับประเด็นให้เป็นข่าว” แก่บุคลากรแผนงานฯ และสำหรับบุคคลที่สนใจ ทางแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านได้สรุปเนื้อหาการอบรมออกมา ดังต่อไปนี้
ความหมายของข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์ หรือที่นิยมเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า ข่าวแจก หมายถึง ข่าวสารซึ่งองค์การ สถาบันหรือหน่วยงานจัดทำขึ้นเพื่อจัดส่งแจกจ่ายสู่หนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่น ๆ โดยจัดพิมพ์ในรูปของเอกสารข่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน นำไปเผยแพร่ กระจายข่าวสารสู่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้ทราบและเข้าใจหน่วยงาน ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ในทัศนะของประชาชน
ข่าวประชาสัมพันธ์ หรือที่นิยมเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า ข่าวแจก หมายถึง ข่าวสารซึ่งองค์การ สถาบันหรือหน่วยงานจัดทำขึ้นเพื่อจัดส่งแจกจ่ายสู่หนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่น ๆ โดยจัดพิมพ์ในรูปของเอกสารข่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน นำไปเผยแพร่ กระจายข่าวสารสู่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้ทราบและเข้าใจหน่วยงาน ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ในทัศนะของประชาชน
ข่าวประชาสัมพันธ์จึงมักเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับ
1. นโยบาย โครงการ
2. กิจกรรมการดำเนินงาน
3. ผลการปฏิบัติงาน
4.รวมทั้งความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ขององค์กร
1. นโยบาย โครงการ
2. กิจกรรมการดำเนินงาน
3. ผลการปฏิบัติงาน
4.รวมทั้งความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ขององค์กร
การเผยแพร่ข่าวสารของหน่วยงาน
การส่งข่าวประชาสัมพันธ์นั้น ถือเป็นวิธีการที่นักประชาสัมพันธ์นิยมใช้กันมากที่สุดสำหรับการสื่อสารกับกลุ่มประชาชน เป้าหมายภายนอก ผ่านทางสื่อมวลชน โดยมักใช้วิธีการขอความอนุเคราะห์ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อเนื้อที่สำหรับตีพิมพ์ หรือซื้อเวลาสำหรับออกอากาศ
การส่งข่าวประชาสัมพันธ์นั้น ถือเป็นวิธีการที่นักประชาสัมพันธ์นิยมใช้กันมากที่สุดสำหรับการสื่อสารกับกลุ่มประชาชน เป้าหมายภายนอก ผ่านทางสื่อมวลชน โดยมักใช้วิธีการขอความอนุเคราะห์ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อเนื้อที่สำหรับตีพิมพ์ หรือซื้อเวลาสำหรับออกอากาศ
การจัดทำและเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดยทั่วไป รับผิดชอบโดยหน่วยงานประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร กับอีกแบบหนึ่ง คือ การมอบหมายให้สำนักงานที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ที่บริษัทว่าจ้างมาเป็นผู้ดำเนินการ
การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ต้องเสนอข้อเท็จจริง เที่ยงตรง กระชับรัดกุม และชัดเจน ปราศจากข้อคิดเห็นของผู้เขียนในเชิงโน้มน้าวหรือโฆษณา
การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์เป็นภารกิจสำคัญของการเผยแพร่ข่าวสารของหน่วยงานซึ่งต้องอาศัยผู้ที่มีทักษะเชี่ยวชาญ มีความละเอียดถี่ถ้วน สามารถมองประเด็นของข่าวได้อย่างชัดเจน การเขียนข่าวจะต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการรับข่าวนั้นอย่างชัดเจน
ประเภทของข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ข่าวแจ้งให้ทราบ เป็นการแจ้งให้ทราบรายละเอียดต่าง ๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น อาทิ แจ้งเกี่ยวกับนโยบายใหม่ วัตถุประสงค์ การดำเนินงาน และ ฯลฯ ข่าวที่นำเสนอเป็นประจำในลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหารายละเอียดมาก
2. ข่าวประกอบกิจกรรมพิเศษทางการประชาสัมพันธ์ บางครั้งหน่วยงานอาจต้องการให้เรื่องบางเรื่องได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นพิเศษ
3. ข่าวเหตุการณ์เร่งด่วน สำหรับการเผยแพร่กรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือมีเหตุการณ์เร่งด่วนที่สำคัญแจ้งให้ประชาชนรับทราบอย่างรวดเร็ว โดยอาจไม่มีการเสนอรายละเอียดมาก แต่เน้นที่ฉับไว เช่น การเปลี่ยนแปลงกำหนดการบางอย่างหรือบุคคลที่สำคัญ ในกรณีนี้นักประชาสัมพันธ์ต้องปฏิบัติงานเหมือนกับผู้สื่อข่าว คือ ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลทั้งหมดอย่างรวดเร็วและนำเสนออย่างฉับไว ต่อเนื่องเป็นระยะ ที่สำคัญต้องรายงานถึงการเกิดเหตุและการแก้ไขที่ได้ดำเนินการแล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจและไม่ทำให้สื่อมวลชนรวมถึงผู้เกี่ยวข้องขาดข้อมูลที่ถูกต้อง
4. ข่าวตอบโต้เหตุการณ์ คือ อาจมีเรื่องราวของหน่วยงานที่รับรู้ไปถึงสื่อมวลชน โดยมิได้ออกมาจากนักประชาสัมพันธ์ และกลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์หรือตั้งขอสงสัยจากประชาชน เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมานักประชาสัมพันธ์จะต้องนำเสนอข้อมูลโดยชี้แจงอย่างละเอียด และประกอบด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือ และจำเป็นอย่างยิ่งในการอ้างถึงแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด
ข่าวประชาสัมพันธ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ข่าวแจ้งให้ทราบ เป็นการแจ้งให้ทราบรายละเอียดต่าง ๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น อาทิ แจ้งเกี่ยวกับนโยบายใหม่ วัตถุประสงค์ การดำเนินงาน และ ฯลฯ ข่าวที่นำเสนอเป็นประจำในลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหารายละเอียดมาก
2. ข่าวประกอบกิจกรรมพิเศษทางการประชาสัมพันธ์ บางครั้งหน่วยงานอาจต้องการให้เรื่องบางเรื่องได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นพิเศษ
3. ข่าวเหตุการณ์เร่งด่วน สำหรับการเผยแพร่กรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือมีเหตุการณ์เร่งด่วนที่สำคัญแจ้งให้ประชาชนรับทราบอย่างรวดเร็ว โดยอาจไม่มีการเสนอรายละเอียดมาก แต่เน้นที่ฉับไว เช่น การเปลี่ยนแปลงกำหนดการบางอย่างหรือบุคคลที่สำคัญ ในกรณีนี้นักประชาสัมพันธ์ต้องปฏิบัติงานเหมือนกับผู้สื่อข่าว คือ ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลทั้งหมดอย่างรวดเร็วและนำเสนออย่างฉับไว ต่อเนื่องเป็นระยะ ที่สำคัญต้องรายงานถึงการเกิดเหตุและการแก้ไขที่ได้ดำเนินการแล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจและไม่ทำให้สื่อมวลชนรวมถึงผู้เกี่ยวข้องขาดข้อมูลที่ถูกต้อง
4. ข่าวตอบโต้เหตุการณ์ คือ อาจมีเรื่องราวของหน่วยงานที่รับรู้ไปถึงสื่อมวลชน โดยมิได้ออกมาจากนักประชาสัมพันธ์ และกลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์หรือตั้งขอสงสัยจากประชาชน เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมานักประชาสัมพันธ์จะต้องนำเสนอข้อมูลโดยชี้แจงอย่างละเอียด และประกอบด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือ และจำเป็นอย่างยิ่งในการอ้างถึงแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด
ความแตกต่างระหว่าง”ข่าวประชาสัมพันธ์” กับ “ข่าวทั่วไป”
1. จุดมุ่งหมายของการเผยแพร่ข่าว
– สำหรับข่าวประชาสัมพันธ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่ข่าวสารขององค์กรให้ประชาชนได้รับทราบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อองค์กรเป็นหลัก
– ข่าวทั่วไป จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่ายทอดข้อเท็จจริงและสาระความรู้ที่เป็นประโยชน์เป็นสำคัญ
2. ทิศทางของผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
– ข่าวประชาสัมพันธ์ คาดหวังผลด้านดีต่อองค์กร
– ข่าวทั่วไปมักนำเสนอมุมมองรอบด้านทั้งบวกและลบ
3. ลักษณะของแหล่งข่าวหรือการได้ข่าว
– ข่าวประชาสัมพันธ์เป็นแหล่งข่าวที่สื่อมวลชนหรือนักข่าวไม่จำเป็นต้องหาข่าวด้วยตนเอง แต่มีนักประชาสัมพันธ์ขององค์กรส่งมาให้พิจารณา
– ข่าวทั่วไป นักข่าวจะต้องหาข่าวด้วยตนเอง
4. กลุ่มเป้าหมาย
– ข่าวประชาสัมพันธ์ มุ่งเผยแพร่สู่กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
– ข่าวทั่วไป มุ่งกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนโดยส่วนรวม
5. ขอบเขตของข่าว
– ข่าวประชาสัมพันธ์ มีขอบเขตเกี่ยวกับเรื่องขององค์กร เช่น บุคคล กิจกรรม ฯลฯ
– ข่าวทั่วไป ขอบเขตครอบคลุมหลายด้าน เช่น สังคม เศรษฐกิจ การเมือง อาชญากรรม ฯลฯ
6. ความรวดเร็วหรือทันต่อเหตุการณ์
– ข่าวประชาสัมพันธ์ จะใช้ระยะเวลาหนึ่งในการเผยแพร่
– ข่าวทั่วไป จะต้องนำเสนออย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์
1. จุดมุ่งหมายของการเผยแพร่ข่าว
– สำหรับข่าวประชาสัมพันธ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่ข่าวสารขององค์กรให้ประชาชนได้รับทราบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อองค์กรเป็นหลัก
– ข่าวทั่วไป จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่ายทอดข้อเท็จจริงและสาระความรู้ที่เป็นประโยชน์เป็นสำคัญ
2. ทิศทางของผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
– ข่าวประชาสัมพันธ์ คาดหวังผลด้านดีต่อองค์กร
– ข่าวทั่วไปมักนำเสนอมุมมองรอบด้านทั้งบวกและลบ
3. ลักษณะของแหล่งข่าวหรือการได้ข่าว
– ข่าวประชาสัมพันธ์เป็นแหล่งข่าวที่สื่อมวลชนหรือนักข่าวไม่จำเป็นต้องหาข่าวด้วยตนเอง แต่มีนักประชาสัมพันธ์ขององค์กรส่งมาให้พิจารณา
– ข่าวทั่วไป นักข่าวจะต้องหาข่าวด้วยตนเอง
4. กลุ่มเป้าหมาย
– ข่าวประชาสัมพันธ์ มุ่งเผยแพร่สู่กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
– ข่าวทั่วไป มุ่งกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนโดยส่วนรวม
5. ขอบเขตของข่าว
– ข่าวประชาสัมพันธ์ มีขอบเขตเกี่ยวกับเรื่องขององค์กร เช่น บุคคล กิจกรรม ฯลฯ
– ข่าวทั่วไป ขอบเขตครอบคลุมหลายด้าน เช่น สังคม เศรษฐกิจ การเมือง อาชญากรรม ฯลฯ
6. ความรวดเร็วหรือทันต่อเหตุการณ์
– ข่าวประชาสัมพันธ์ จะใช้ระยะเวลาหนึ่งในการเผยแพร่
– ข่าวทั่วไป จะต้องนำเสนออย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์
รูปแบบโครงสร้างข่าว
1.รูปแบบ ปิรามิดหัวกลับ คือ เขียนแบบไล่เรียงตามความสำคัญของประเด็นข่าวจากมากไปหาน้อย ประเด็นสำคัญที่สุดของข่าวจะอยู่ในพารากราฟแรกของข่าว และประเด็นที่สำคัญรองลงมาจะอยู่ในพารากราฟถัดมาตามลำดับ ถือเป็นรูปแบบที่นิยมที่สุดในการเขียนข่าว
2. รูปแบบปิรามิดหัวตั้ง คือ เขียนแบบไล่เรียงตามความสำคัญของประเด็นข่าวจากน้อยไปหามาก ประเด็นที่สำคัญที่สุดของข่าวจะอยู่ในพารากราฟสุดท้ายของข่าว
3. รูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า คือ แต่ละพารากราฟมีประเด็นสำคัญเท่าเทียมกัน
1.รูปแบบ ปิรามิดหัวกลับ คือ เขียนแบบไล่เรียงตามความสำคัญของประเด็นข่าวจากมากไปหาน้อย ประเด็นสำคัญที่สุดของข่าวจะอยู่ในพารากราฟแรกของข่าว และประเด็นที่สำคัญรองลงมาจะอยู่ในพารากราฟถัดมาตามลำดับ ถือเป็นรูปแบบที่นิยมที่สุดในการเขียนข่าว
2. รูปแบบปิรามิดหัวตั้ง คือ เขียนแบบไล่เรียงตามความสำคัญของประเด็นข่าวจากน้อยไปหามาก ประเด็นที่สำคัญที่สุดของข่าวจะอยู่ในพารากราฟสุดท้ายของข่าว
3. รูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า คือ แต่ละพารากราฟมีประเด็นสำคัญเท่าเทียมกัน
โครงสร้างของข่าวประชาสัมพันธ์
1. พาดหัวข่าว (Headline) เป็นส่วนสำคัญ เขียนข้อความสั้น ๆ เพื่อให้ทราบว่าข่าวนั้นมีประเด็นอะไรที่น่าสนใจ ลักษณะของพาดหัวข่าวที่ดี ควรสั้น กระชับ สมบูรณ์ด้วยความหมายในประโยคเดียวหรืออาจเป็นประโยคซึ่งประกอบด้วยคำเพียง 4 – 5 คำ ภาษาที่ใช้ต้องง่ายและตรงจุด
2. วรรคนำหรือโปรย (Lead) เป็นส่วนที่เสนอประเด็นสำคัญของเรื่องราวไว้อย่างกระชับ นักประชาสัมพันธ์ควรเขียนวรรคนำโดยสวมความรู้สึกของประชาชนผู้อ่าน โดยพิจารณาว่าสิ่งที่น่าสนใจและสำคัญที่สุดสำหรับผู้อ่านคืออะไร ไม่ควรเขียนด้วยมุมมองของตนเอง ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์กรหรือหน่วยงาน แต่ควรปรับการเขียนเพื่อตอบสนองความสนใจของผู้อ่านเป็นสำคัญ
การเขียนวรรคนำของข่าวประชาสัมพันธ์เป็นลักษณะของวรรคนำแบบสรุปความ (Summary Lead) เพื่อชี้ให้เห็นประเด็นเรื่องราวให้ผู้อ่านเข้าใจ และรวดเร็วที่สุด โดยสรุปให้ครบตามความสมบูรณ์ของข่าว (5W และ 1 H) ให้สั้นที่สุด เพราะเป็นส่วนที่ดึงดูดความสนใจของสื่อมวลชนให้พิจารณาคัดเลือกข่าว ความยาวของวรรคนำควรเป็นย่อหน้าสั้น ๆ ประมาณย่อหน้าละ 3 – 6 ประโยค
3. ส่วนเชื่อม (Neck) เป็นเพียงย่อหน้าเดียวที่อยู่ระหว่างวรรคนำและเนื้อหา หรืออาจอยู่ส่วนท้ายของข่าวก็ได้ เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูมิหลังของหน่วยงาน บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับข่าวอย่างสำคัญ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่อ่านอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามบางข่าวก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนเชื่อมเสมอไป
4. เนื้อหาข่าว (Body) เป็นส่วนที่บรรจุเนื้อหารายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมด โดยตอบคำถามทุกประเด็นเกี่ยวกับใคร (Who) ทำอะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไหร่ (When) เพราะเหตุใด (Why) อย่างไร (How) อย่างครบถ้วน
1. พาดหัวข่าว (Headline) เป็นส่วนสำคัญ เขียนข้อความสั้น ๆ เพื่อให้ทราบว่าข่าวนั้นมีประเด็นอะไรที่น่าสนใจ ลักษณะของพาดหัวข่าวที่ดี ควรสั้น กระชับ สมบูรณ์ด้วยความหมายในประโยคเดียวหรืออาจเป็นประโยคซึ่งประกอบด้วยคำเพียง 4 – 5 คำ ภาษาที่ใช้ต้องง่ายและตรงจุด
2. วรรคนำหรือโปรย (Lead) เป็นส่วนที่เสนอประเด็นสำคัญของเรื่องราวไว้อย่างกระชับ นักประชาสัมพันธ์ควรเขียนวรรคนำโดยสวมความรู้สึกของประชาชนผู้อ่าน โดยพิจารณาว่าสิ่งที่น่าสนใจและสำคัญที่สุดสำหรับผู้อ่านคืออะไร ไม่ควรเขียนด้วยมุมมองของตนเอง ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์กรหรือหน่วยงาน แต่ควรปรับการเขียนเพื่อตอบสนองความสนใจของผู้อ่านเป็นสำคัญ
การเขียนวรรคนำของข่าวประชาสัมพันธ์เป็นลักษณะของวรรคนำแบบสรุปความ (Summary Lead) เพื่อชี้ให้เห็นประเด็นเรื่องราวให้ผู้อ่านเข้าใจ และรวดเร็วที่สุด โดยสรุปให้ครบตามความสมบูรณ์ของข่าว (5W และ 1 H) ให้สั้นที่สุด เพราะเป็นส่วนที่ดึงดูดความสนใจของสื่อมวลชนให้พิจารณาคัดเลือกข่าว ความยาวของวรรคนำควรเป็นย่อหน้าสั้น ๆ ประมาณย่อหน้าละ 3 – 6 ประโยค
3. ส่วนเชื่อม (Neck) เป็นเพียงย่อหน้าเดียวที่อยู่ระหว่างวรรคนำและเนื้อหา หรืออาจอยู่ส่วนท้ายของข่าวก็ได้ เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูมิหลังของหน่วยงาน บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับข่าวอย่างสำคัญ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่อ่านอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามบางข่าวก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนเชื่อมเสมอไป
4. เนื้อหาข่าว (Body) เป็นส่วนที่บรรจุเนื้อหารายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมด โดยตอบคำถามทุกประเด็นเกี่ยวกับใคร (Who) ทำอะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไหร่ (When) เพราะเหตุใด (Why) อย่างไร (How) อย่างครบถ้วน
การเขียนเนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์ ยึดรูปแบบการเขียนข่าวแบบปิรามิดหัวกลับเป็นหลัก อาจประกอบด้วย 2-5 ย่อหน้าตามความเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของเรื่อง โดยอาศัยแนวทางดังนี้
1. ย่อหน้าแรกและย่อหน้าที่สอง เป็นส่วนขยายรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นที่ระบุไว้ในวรรคนำ เช่นรายละเอียดของโครงการ จุดมุ่งหมายของการประชาสัมพันธ์
2. ย่อหน้าที่สาม เหมาะสำหรับการอ้างคำพูดหรือคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารที่เกี่ยวข้องมาบรรจุในเครื่องหมายคำพูด เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
3. ย่อหน้าที่สี่ หรือย่อหน้าท้าย ๆ ในกรณีที่เป็นข่าวประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสินค้า หรือบริการให้ระบุข้อมูลเฉพาะที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีการจัดจัดหน่าย กำหนดการ ฯลฯ โดยไม่สอดแทรกความคิดเห็น
4. นำเสนอข้อมูลที่เป็นจริง ไม่เน้นวิชาการ
5. ใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย กระชับ ตรงประเด็น เลี่ยงการใช้ศัพท์ทางการ หรือข้อกฏหมาย
6. เลี่ยงการใช้สถิติตัวเลขลงในเนื้อหาข่าว หรือถ้ามีกราฟสถิติประกอบ ควรเขียนอธิบายเพิ่มเติม
7. ไม่เขียนโจมตี หรือยกย่องผู้ใดผู้หนึ่ง
8. การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการตลาด ต้องสัมพันธ์กับกิจกรรมทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด
1. ย่อหน้าแรกและย่อหน้าที่สอง เป็นส่วนขยายรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นที่ระบุไว้ในวรรคนำ เช่นรายละเอียดของโครงการ จุดมุ่งหมายของการประชาสัมพันธ์
2. ย่อหน้าที่สาม เหมาะสำหรับการอ้างคำพูดหรือคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารที่เกี่ยวข้องมาบรรจุในเครื่องหมายคำพูด เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
3. ย่อหน้าที่สี่ หรือย่อหน้าท้าย ๆ ในกรณีที่เป็นข่าวประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสินค้า หรือบริการให้ระบุข้อมูลเฉพาะที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีการจัดจัดหน่าย กำหนดการ ฯลฯ โดยไม่สอดแทรกความคิดเห็น
4. นำเสนอข้อมูลที่เป็นจริง ไม่เน้นวิชาการ
5. ใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย กระชับ ตรงประเด็น เลี่ยงการใช้ศัพท์ทางการ หรือข้อกฏหมาย
6. เลี่ยงการใช้สถิติตัวเลขลงในเนื้อหาข่าว หรือถ้ามีกราฟสถิติประกอบ ควรเขียนอธิบายเพิ่มเติม
7. ไม่เขียนโจมตี หรือยกย่องผู้ใดผู้หนึ่ง
8. การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการตลาด ต้องสัมพันธ์กับกิจกรรมทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด
ข่าวประชาสัมพันธ์ที่ไม่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เพราะ
1. มักสื่อไม่ตรงประเด็น หรือไม่จับประเด็นสำคัญ
2. เนื้อหาข่าวขาดรายละเอียด หรือประเด็นข่าวไม่มีความน่าสนใจ
3. ไม่มีมีบุคคลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ควรมีแหล่งข่าวเป็นระดับผู้บริหารขององค์กร จึงจะน่าสนใจ
4. การเขียนข่าวแบบใช้รูปแบบปิรามิดหัวกลับ จะช่วยดึงดูดบรรณาธิการข่าว
1. มักสื่อไม่ตรงประเด็น หรือไม่จับประเด็นสำคัญ
2. เนื้อหาข่าวขาดรายละเอียด หรือประเด็นข่าวไม่มีความน่าสนใจ
3. ไม่มีมีบุคคลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ควรมีแหล่งข่าวเป็นระดับผู้บริหารขององค์กร จึงจะน่าสนใจ
4. การเขียนข่าวแบบใช้รูปแบบปิรามิดหัวกลับ จะช่วยดึงดูดบรรณาธิการข่าว
แม้การอบรมดังกล่าวจะใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่คุณอมรรัตน์สามารถอธิบายการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ได้อย่างเข้าใจง่าย และกระชับ อีกทั้งยังให้ผู้เข้าร่วมรับฟังการอบรมได้ฝึกปฎิบัติการณ์เขียนข่าวจากกิจกรรมที่ปฎิบัติ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนและเปิดรับข้อเสนอแนะต่างๆ อีกด้วย
การสื่อสารกิจกรรมดำเนินงานทั้งในส่วนงานของแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. และภาคีเครือข่ายส่งเสริมการอ่าน นับเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่ง ในการสร้างความเข้าใจและสื่อสารต่อสังคมให้เห็นประโยชน์และความสำคัญของการอ่าน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการอ่านของสังคมไทย
ได้แนวทางแล้ว เพื่อนๆ ภาคีเครือข่ายส่งเสริมการอ่านลองลงมือปฎิบัติการณ์จริง แล้วส่งข่าวเข้ามานะครับ ทางแผนงานฯ จะประสานคุณอมรรัตน์ เพื่อนำข้อแลกเปลี่ยนเสนอแนะภาคีต่อไป
คุณอมรรัตน์ รับบทวิทยากรถ่ายทอดความรู้การเขียนข่าวให้แก่ผู้ร่วมอบรม
ผู้เข้าร่วมอบรมฝึกเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ ตามที่ๆ ได้รับมอบหมายจากวิทยากร
คุณรัตน์ ตรวจข่าวที่ผู้เข้าร่วมอบรมเขียนด้วยความใส่ใจ พร้อมให้ข้อเสนอแนะต่างๆ
วิทยากรร่วมถ่ายรูปหมู่ และรับของที่ระลึกจากแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน
บทความโดย : อภิชาติ โสภาพงศ์