การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 ด้วยหลักการ BBL และทฤษฎีจิตใต้สำนึก 2
สรวงมณฑ์ ฟังจากที่อาจารย์จันทร์เพ็ญพูดมาเราจะเห็นว่าถ้าเราปล่อยลูกไว้ตามมีตามเกิดอาจจะทำให้สมองของเด็กไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ นั่นคือใช้สมองได้แค่ไม่กี่ % ได้แค่สมองส่วนล่าง อาจจะไม่ถึงส่วนกลางด้วยซ้ำ คราวนี้คำถามถัดไปก็คือในเมื่อปัจจุบันนี้เรายอมรับว่าเรายังขาดความรู้ในเรื่องเด็กปฐมวัยไปเยอะ และเรากำลังจะเข้าสู่ยุค AEC แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีเพื่อที่จะให้เราไปรอดภายใต้ข้อจำกัดนี้
สายฤดี สิ่งที่เราจะต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนเลยก็คือในศตวรรษที่ 21 นี้คือยุคของ AEC ใช่หรือไม่? มันคือยุคของการแข่งขันใช่หรือไม่? และสิ่งที่เราต้องเผชิญคือปัญหาของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์หรือปัญหาของธรรมชาติ? เราจะเห็นว่าในยุคของ AEC นี้เราอาจคิดว่าเราอยู่ในยุคของคอมพิวเตอร์แล้ว เราพ้นจากยุคของการเอาตัวรอดจากธรรมชาติแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เรายังต้องเผชิญกับปัญหาของธรรมชาติต่างๆอยู่ ซึ่งเราไม่มีวันหนีจากมันพ้น ดังนั้นการจะเอาตัวรอดให้ได้จึงต้องเก่งในเรื่องทักษะการใช้ชีวิต ไม่ใช่เก่งในเรื่องการกดคอมพิวเตอร์อย่างเดียว เพราะการเก่งในเรื่องกดคอมพิวเตอร์ไม่ได้ช่วยให้เราเอาตัวรอดได้ แต่การเก่งทักษะชีวิตต่างหากถึงจะทำให้เราเอาตัวรอดได้

ในหนังสือเรื่อง “เด็กไทยใครว่าโง่” บอกไว้ว่าสมองมีหน้าที่หลักๆที่ควรมี 8 อย่าง ด้วยกัน
1. มนุษย์ต้องรู้ว่าต้องใช้อวัยวะในร่างกายตัวเองอย่างไร ซึ่งไม่ใช่แค่พอพูดถึงเรื่องเดิน ก็หมายถึงการเดินได้อย่างเดียว แต่ยังหมายถึงเดินอย่างไร ในสภาวะไหน เดินได้ เขย่งได้ วิ่งได้ เต้นได้ หรือการใช้มือ จะใช้มือเขียนหนังสืออย่างไร กินข้าวอย่างไร ผ่าตัดให้คนไข้อย่างไร ทำงานฝีมืออย่างไร นวดแป้งโรตีอย่างไร ไม่ใช่แค่พอพูดถึงมือ แล้วเราคิดแค่ว่า เราจะไปตีเขา ไปหยิบมีดดาบมาฟันเขาอย่างไร เพราะนี่คือศตวรรรษที่ 21 แล้ว หมายความว่าเราต้องเก่งกว่าเขาในการใช้อวัยวะทุกอย่างทุกส่วนในร่างกายในกิจกรรมต่างๆด้วย หรือไม่ใช่ใช้ร่างกายแค่วิ่งกับกระโดดเท่านั้น หรือการใช้คอมพิวเตอร์แค่ปลายนิ้วอย่างเดียว ซึ่งนั่นจะทำให้ร่างกายไม่ได้ถูกพัฒนาอย่างเต็มที่
2. ต้องรู้จักการใช้ภาษาสื่อสารได้ ซึ่งในปัจจุบันเราจะรู้แค่ภาษาที่สองคือภาษาอังกฤษไม่ได้แล้ว แต่เราต้องรู้ไปถึงภาษาที่สามด้วยจึงจะแข่งกับเขาได้ และเราต้องได้ทั้งภาษาอ่าน เขียน และพูด
3. ต้องรู้จักการคำนวณและตรรกะ
4. ต้องรู้จักมิติสัมพันธ์และจินตนาการจากการมองเห็น ในมิติเรื่องก่อน-หลัง-ล่าง ซ้าย-ขวา อดีต-อนาคต
5. ต้องรู้จักดนตรีและจังหวะ
6. ต้องรู้จักการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
7. ต้องรู้จักตนเอง
8. ต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโลกและจักรวาล เช่น ทำไมเราต้องขี่จักรยาน ทำไมเราจึงต้องทำเกษตรอินทรีย์ นี่เป็นมิติของการอยู่ร่วมกันกับโลกและจักรวาลที่เราต้องเรียนรู้
แต่หากเราไม่เรียนรู้หน้าที่หลักของสมองเหล่านี้ เราก็จะมีแต่สมองส่วนล่างที่ทำงานเท่านั้น ดังนั้นโจทย์ของเราก็คือเราจะทำอย่างไรให้เราใช้สมองในหน้าที่ต่างๆเหล่านี้ได้ดีกว่าเดิม? ซึ่งแน่นอนว่าหากในอนาคตเรายังมีคนที่ติดบุหรี่ ติดเหล้า การพัฒนาของสมองเพื่อไปพัฒนาสิ่งต่างๆก็จะไม่พัฒนาตามอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งหากเราจะต้องก้าวไปในยุค AEC ด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้ เราคงไปไม่รอดแน่นอน
จันทร์เพ็ญ หากจะดูพัฒนาการของสมองส่วนใหญ่ของคนไทยเราดูได้ง่ายมาก ดูจากไหน? ก็ดูจากเหตุผลที่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ทำผิดกฎจราจรเพราะอะไร? คำตอบคือก็เพราะกลัวตำรวจจับ นี่เป็นผลจากงานวิจัยที่เคยมีการค้นคว้ามาแล้ว แสดงให้เห็นว่าสมองของเรายังไม่พัฒนาในเรื่องศีลธรรมในสังคม แต่เราแค่กลัวการถูกลงโทษเท่านั้น เมื่อมองจากมุมนี้สมองของเราจึงยังไม่ต่างจากสมองของสัตว์มากนักที่การแสดงพฤติกรรมมาจากความกลัวการถูกลงโทษ ไม่ใช่มาจากศีลธรรมที่มีในใจ
ซึ่งสาเหตุที่พัฒนาการทางสมองของเราต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นั่นเป็นเพราะเราเลี้ยงลูกให้กลายเป็นคนทำอะไรไม่เป็น สิ่งที่เด็กควรได้รับการเรียนรู้จากที่บ้านแต่กลายเป็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองรุ่นใหม่ไม่ได้สอน ครูที่โรงเรียนยิ่งไม่ได้สอน เพราะมัวแต่สอนหนังสือ โดยเฉพาะในช่วง 5 – 10 ปีมานี้ ที่พ่อแม่เริ่มไม่สอนลูกแล้ว แต่กลับไล่ให้ลูกไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนแทน ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราต้องแก้ไข การเลี้ยงลูกในวัยเด็กเล็ก พ่อแม่จึงต้องมีหน้าที่ในการสอนลูกในเรื่องต่างๆเพื่อให้ลูกใช้ชีวิตเป็นด้วย ส่วนถ้าเป็นในกรณีของเด็กโตตั้งแต่ประถมถึงมัธยม เราต้องสอนเขาโดยการให้เขาช่วยงานพ่อแม่ อะไรที่เขายังทำไม่เป็นเราต้องสอนให้เขาทำให้เป็น
กับอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือเรื่องการเรียนรู้ของเด็ก เด็กเล็กจะเรียนรู้ด้วยการจำ ในขณะที่เด็กที่โตขึ้นมาหน่อย จะเรียนรู้ด้วยการคิด แต่การเรียนการสอนในชั้นเรียนปัจจุบันของเรา คือ เรากลับสอนให้เด็กจำอย่างเดียวไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย นั่นจึงทำให้สมองของเด็กไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ นั่นเป็นเพราะเราไม่เข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของเด็กที่มีความแตกต่างของวัยนั่นเอง

สรวงมณฑ์ ประเด็นสุดท้ายที่อยากจะชวนพูดถึงในวันนี้คือเรื่องหนังสือของอาจารย์สายฤดี “พลังจิตใต้สำนึก หนูน้อยใจเข้มแข็ง” กับการพัฒนาเด็ก ซึ่งน่าจะถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้องตระหนักรู้แล้วว่าการพัฒนาเด็กปฐมวัยนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก แล้วเราจะทำความเข้าใจกับมันอย่างไร? ทำไมที่ผ่านมาเด็กไทยยิ่งโตยิ่งโง่ แล้วเราจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร?
สายฤดี ในช่วงชีวิตของคนเรากว่าจะทำงานได้ทำงานเป็นก็อายุ 30 ปี พอเข้าอายุ 50 ปีก็เริ่มมีโรคแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่เก่งจึงต้องเก่งให้เร็วเพื่อที่เราจะได้ทำอะไรได้มากขึ้นในชีวิต
ตัวอย่างของหลายๆชาติที่มีการพัฒนาที่ดีเช่น คนเวียดนามที่คิดเก่งเพราะค่าเงินของเขาน้อยเมื่อเทียบกับค่าเงินประเทศอื่น เมื่อหน่วยค่าเงินของเขาน้อย เวลาซื้อข้าวของครั้งหนึ่งเขาจึงต้องจ่ายเงินคิดเป็นหน่วยสูง อย่างเช่นบ้านเรา เวลาซื้อของครั้งหนึ่งอาจต้องจ่ายเงินเป็นหลักร้อย แต่เวียดนามต้องจ่ายเป็นหลักหมื่นหลักแสน นั่นทำให้เขาต้องคิดบวกเลขเยอะ? หรือคนสวีเดนที่บ้านเขามีฤดูที่แตกต่างกัน 4 ฤดู ทำให้เขาต้องพยายามปรับตัวเพื่อให้เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ทั้ง 4 ฤดู แต่ถ้าเป็นที่บ้านเรามีอยู่แค่ไม่กี่ฤดูทำให้เราไม่ต้องปรับตัวหรือเปล่า? หรือคนจีนเวลาเรียนหนังสือเขาต้องเรียนตัวอักษรจีนที่ไม่เหมือนกันเลยเป็นพันกว่าตัว ในขณะที่บ้านเราตัวอักษรมีแค่ไม่กี่ตัว?
ในเมื่อสังคมไทยเป็นสังคมที่อยู่บนเงื่อนไขที่ง่ายอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ควรใช้วิถีชีวิตที่ละเลยการใช้สมอง เพราะจะทำให้อายตนะทั้ง 6 ของเราไม่ได้ถูกใช้ (เพราะเราใช้แค่นิ้วเดียวในการจิ้มมือถือ) เราจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ร่างกายของเราให้มาทั้งหมด นั่นคืออายตนะทั้ง 6 ให้เต็มที่ ซึ่งการจะทำอย่างนี้ได้เราต้องเริ่มต้นจากการอบรมเลี้ยงดูเด็กให้เขาได้ทำงานต่างๆด้วยการลงมือทำเอง เพื่อให้เขาสามารถพัฒนาสมองของเขาผ่านอายตนะทั้ง 6 ได้อย่างสมบูรณ์ นั่นจึงจะทำให้เราสามารถพัฒนาจนแข่งขันกับคนอื่นได้ในอนาคต
จันทร์เพ็ญ ทำไมเด็กไทยยิ่งโตยิ่งโง่? เราต้องเข้าใจก่อนว่าวิธีการสอนต่างหากที่ทำให้เด็กโง่ เด็กไม่ได้โง่เองโดยธรรมชาติ ดูอย่างคนในสมัยก่อนที่สามารถศึกษาค้นคว้าเรื่องจักรวาลได้ ทั้งๆที่สมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีมากนัก นั่นแสดงว่าโดยธรรมชาติแล้วคนเราฉลาด
แต่ปัจจุบันเรากลับทิ้งภาระการเรียนของเด็กให้กับครูที่โรงเรียน ซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องเป็นต้นแบบความเป็นมนุษย์ที่ดีให้กับลูก ความเป็นมนุษย์คืออะไร? ก็คือการที่เราสามารถคิดเป็น มีเหตุมีผล สามารถมองเห็นที่มาของปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และมีศักยภาพในการพัฒนา
ส่วนโรงเรียนเองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ไม่ใช่สอนไปตามหลักสูตร เพราะเราต้องเข้าใจด้วยว่า “ถ้ามือยังไม่เก่ง อย่าตามใจเด็ก” เพราะฉะนั้นครูจึงต้องไม่ละทิ้งบทบาทความเป็นครู นั่นคือต้องสอนให้เขาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สอนให้เขาเก่งแค่การทำข้อสอบเพียงอย่างเดียว
และปัญหาอีกอย่างของการเรียนรู้คือ เราไม่มีการถ่ายทอดความรู้ด้านอาชีพจากพ่อแม่ไปสู่ลูก ดังนั้นในอนาคตเราจะไม่มีชาวนา ไม่มีช่างฝีมือ เพราะพ่อแม่ไม่สอน ดังนั้นครอบครัวจึงต้องไม่ผลักภาระเรื่องการเรียนรู้ของลูกออกจากตัว ไม่ต้องรีบให้เด็กเข้าเรียนในชั้นประถมถ้าหากเด็กยังไม่พร้อม เดี๋ยวนี้เด็ก 4 ขวบ 5 ขวบ ก็เข้าเรียนประถมกันแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วเด็ก 6 ขวบ ควรอยู่แค่ชั้นอนุบาล 2 ก็พอแล้วสำหรับวัยของเขา
สรวงมณฑ์ ดิฉันคงไม่ต้องสรุปอะไรอีกแล้วเพราะอาจารย์ทั้งสองท่านได้สรุปไว้หมดแล้ว ก็คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องตระหนักและลงมือทำกันจริงๆเสียที ซึ่งในวันนี้ต้องขอขอบคุณอาจารย์ทั้งสองท่านที่มาในวันนี้มากนะคะ ขอบคุณค่ะ
************************

