มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 ด้วยหลักการ BBL และทฤษฎีจิตใต้สำนึก 1

เสวนา : บ่มเพาะเมล็ดพันธ์ มหัศจรรย์แห่งชีวิต คิดได้คิดเป็น
เรื่อง การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 ด้วยหลักการ BBL และทฤษฎีจิตใต้สำนึก
วันที่ 23 พฤษภาคม 2558 เวลา 15.20 – 16.20 น.
ณ เวทีกลาง งานมหกรรมสื่อและพื้นที่สร้างสรรค์ # เด็กบันดาลใจ
 

วิทยากร
พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ : นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสมอง, นายกสมาคมนักวิจัยไทยเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว
รศ.ดร.สายฤดี วรกิจโกคาทร : คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการส่งเสริมและประสานงาน สถาบันครอบครัว,ผู้ดำเนินรายการ รักลูกให้ถูกทาง และผู้อำนวยการผลิตรายการ ป.ปลา ตากลม, รางวัลรายการโทรทัศน์และรายการวิทยุดีเด่น, รางวัลเทพทอง ฯลฯ
ดำเนินรายการโดย
สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน : บรรณาธิการบริหาร Mother & Care

สรวงมณฑ์           หากเราพูดถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง หรือเรื่องจิตใต้สำนึก ในเมืองไทยจะมีผู้รู้เพียงไม่กี่ท่าน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผู้ที่มาเข้าร่วมการเสวนากับเราในวันนี้ทั้งสองท่าน โดยหัวเรื่องที่เราจะพูดคุยกันวันนี้คือเรื่อง BBL (Brain-based Learning) หรือก็คือ การจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการพัฒนาสมองในแต่ละช่วงวัย 
          ก่อนอื่นเรามาพูดถึง BBL ก่อนว่า BBL คืออะไรทำไมเราต้องเรียนรู้ เราจะมาพูดคุยกันในวันนี้ โดยก่อนอื่นอยากจะขอให้คุณหมอจันทร์เพ็ญช่วยเล่าให้เราฟังก่อนว่าทำไมเด็กปฐมวัยมีความเกี่ยวข้องกับหัวข้องานของเราในวันนี้คือ เด็กบันดาลใจ อย่างไร

จันทร์เพ็ญ           ก่อนที่จะอธิบายว่า BBL คืออะไร ดิฉันอยากจะขอยกพระราชดำรัสของในหลวงเรื่องการพูด ดังนี้คือ 1) เรื่องใหญ่ พูดให้ช้าๆ 2) เรื่องด่วน พูดให้ชัดๆ 3) เรื่องเล็ก พูดให้มีอารมณ์ขัน 4) เรื่องไม่มั่นใจ ทบทวนให้ดีค่อยพูด 5) เรื่องยังไม่เกิด อย่าพูดส่งเดช 6) เรื่องที่ทำไม่ได้ อย่าพูดอย่างมักง่าย 7) เรื่องให้ร้าย อย่าได้พูด 8) เรื่องลำบากใจ มุ่งที่เรื่อง ไม่มุ่งคน 9) เรื่องสนุก ต้องดูกาละเทศะ 10) เรื่องเศร้า อย่าได้เจอใครก็พูด 11) เรื่องคนอื่น พูดอย่างระมัดระวัง 12) เรื่องตนเอง ตั้งใจฟังใจเราพูดอย่างไร 13) เรื่องปัจจุบัน ทำแล้วค่อยพูด 14) เรื่องอนาคต ไว้พูดในอนาคต
            ซึ่งสิ่งที่ในหลวงให้คติมานี้สะท้อนให้เห็นว่าหากเราจะใช้สมองให้เป็นเราจะต้องทำให้ได้ครบทั้ง 14 ข้อ แปลว่าเราต้องมีสติอย่างมากโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันเราจะเห็นว่าในสังคมมีทั้งทีวีโทรทัศน์ สื่อต่างๆ มีเรื่องพูดกันในนั้นมากมาย แต่คำถามคือที่อะไรควรเชื่อและอะไรที่ไม่ควรเชื่อ นั่นคือสิ่งที่สังคมเรายังไม่ตระหนัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในบ้านเรายังไม่มีมาตรการที่ว่าด้วยเรื่องของ อะไรควรพูดและอะไรที่ไม่ควรพูด ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราต้องย้อนกลับมามองที่วัยเด็กว่า เวลาจะพูดเราใช้สมองส่วนไหนในการพูด
            ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าการพูดนั้นต้องสั่งงานมาจากสมอง และเพียงแค่การพูดอย่างเดียวเด็กจะต้องได้รับการปลูกฝังพัฒนาการมาตั้งแต่แรกเกิด โดยหากทำความเข้าใจพัฒนาการของเด็กเราจะพบว่า
            ในช่วงปีแรก เด็กจะพัฒนาการกล้ามเนื้อให้สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นจึงเป็นพัฒนาการในเรื่องการพูด ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญ เพราะการที่เด็กจะพูดได้นั้นหมายความว่าสมองจะต้องควบคุมกล้ามเนื้อส่วนใบหน้าให้สามารถพูดออกมาได้ และพัฒนาการของการพูดนั้นจะมาจากการสอนของพ่อแม่ โดยเด็กจะเลียนแบบการพูดของพ่อแม่เป็นหลัก ซึ่งเป็นพัฒนาการของเด็กตั้งแต่วัยเด็กเล็กจนถึงประถม เพราะฉะนั้นในช่วงนี้ถ้าพ่อแม่พูดเพราะ เด็กก็จะพูดเพราะตามพ่อแม่ แต่ถ้าพ่อแม่พูดไม่เพราะพูดคำหยาบให้เด็กได้ยิน เด็กก็จะเลียนแบบแล้วพูดไม่เพราะตามสิ่งที่เด็กได้ยินตามไปด้วย

            ดังนั้นการที่เด็กจะพูดได้และพูดดีนั้น พ่อแม่จึงต้องสอนและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็ก

            แต่ปัญหาของเราก็คือเรายังเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องการเรียนของเด็ก
 

            นั่นคือก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าในการเรียนรู้ของเด็กนั้นเด็กจะต้องจำให้ได้ก่อน โดยพัฒนาการทั่วไปของเด็กนั้นเด็กจะเริ่มจากการจำก่อน โดยในเบื้องต้นจะจำมาจากพ่อแม่ จากนั้นจึงเริ่มจำจากการอ่านหนังสือ แล้วจึงไปสู่ขั้นการลงมือปฏิบัติ ซึ่งหากย้อนมาในเรื่องการจำนั้น หลังจากที่จำได้แล้วต่อไปคือขั้นของการ “คิดเป็น” ซึ่งในพัฒนาการขั้นนี้นั้นเด็กจะเริ่มคิดเป็นเมื่ออายุได้ 3 ขวบ นั่นคือเด็กจะเริ่มฝึกคิดแต่ยังไม่คิด คือเป็นการจำมาจากผู้ใหญ่ โดยในช่วงนี้เมื่อเด็กเริ่มพูดได้แล้วขั้นต่อไปคือเด็กจะเริ่ม “ถาม” เพราะสมองของเขาเริ่มคิดแล้ว แต่ยังเป็นการคิดแบบเด็กๆ คือมีบางส่วนที่เป็นเรื่องจริง บางส่วนที่เป็นเรื่องในจินตนาการ ซึ่งในช่วงนี้เด็กจะยังแยกไม่ได้ว่าอะไรคือจริงอะไรคือจินตนาการ แต่ที่สำคัญเลยก็คือเราจะต้องไม่ไปตัดสายใยแห่งการคิดของเด็กโดยการไม่ให้เด็กถาม เพราะถ้าเด็กไม่ถามหรือไม่มีโอกาสถาม เด็กก็จะฝึกคิดไม่ได้ ซึ่งนี่คือหลักการของ BBL เพื่อการพัฒนาสมอง

สรวงมณฑ์           ฟังเรื่องสมองกับอาจารย์จันทร์เพ็ญแล้ว ต่อไปเรามาฟังเรื่องของทฤษฎีจิตใต้สำนึกกันดีกว่าว่าลึกๆแล้วจิตใต้สำนึกเกี่ยวกับ BBL หรือไม่อย่างไร ขอเชิญอาจารย์สายฤดีค่ะ

สายฤดี           ถ้าจะพูดถึงจิตใต้สำนึกก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าทุกวันนี้เราอยู่กับปัจจุบัน เวลาเราฟังอะไรเราฟังด้วยจิตสำนึก ซึ่งในตัวคนเราจะมีการทำงานของสมองแตกต่างกัน โดยในผู้ใหญ่สมองจะทำงานในคลื่นของจิตสำนึกเป็นส่วนใหญ่ในขณะที่เราตื่น แต่ในเด็กเล็กนั้นจะต่างกันโดยในเด็กเล็กนั้นสมองจะทำงานในคลื่นของจิตใต้สำนึกซึ่งเป็นคลื่นที่มีความถี่ต่ำกว่าคลื่นของจิตสำนึก ซึ่งเด็กจะใช้เวลาในการจดจำเรื่องราวของจิตใต้สำนึกนี้ยาวนาน โดยเราจะเห็นว่าในเด็กเล็กๆนั้นจะใช้เวลาที่ยาวนานกับการมองสิ่งต่างๆไปรอบๆ ถึงเวลาหิวก็ร้องไว้ก่อนโดยไม่ต้องคิดเพราะนั่นคือสัญชาติญาณ แต่สิ่งที่อยูในจิตใต้สำนึกนั้นก็คือเมื่อร้องไปแล้วเดี๋ยวก็จะได้ของกิน จิตใต้สำนึกจึงเป็นเรื่องของการเรียนรู้เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องของการเรียนรู้นั้นเราทุกคนมีโอกาสในการเรียนรู้เท่ากัน แต่โอกาสที่จะได้รับการเรียนรู้ผ่านจิตใต้สำนึกนั้นอาจจะไม่เท่ากันในแต่ละคนซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนรู้ของแต่ละคนด้วย
            ซึ่งเมื่อกี้นี้อาจารย์จันทร์เพ็ญได้พูดถึงเรื่องการเรียนรู้เรื่องการพูดของเด็ก การพูดนั้นมาจากการทำงานของสมองหลายส่วนซึ่งจิตใต้สำนึกนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราในที่นี้อยากจะพูดภาษาของโรฮิงญา เราย่อมพูดไม่ได้ เพราะเราไม่เคยเรียนรู้ภาษาโรฮิงญามาก่อน หมายความว่าจิตใต้สำนึกของเราไม่เคยมีอะไรเกี่ยวกับภาษาโรฮิงญามาก่อนเลยจึงทำให้เราไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับภาษาโรฮิงญาได้
            ดังนั้นจิตใต้สำนึกจึงไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้มาตั้งแต่เราถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเราอาจจะจำได้หรือไม่ได้ก็ได้ บางอย่างเราก็หยิบเอามาใช้ในระดับของจิตสำนึก แต่บางอย่างเราก็อาจจะจำไม่ได้ว่าเราเคยเรียนรู้มา แต่ลึกๆข้างในแล้วเราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เกิดซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังคงถูกจดจำเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกของเราอยู่
            ตัวอย่างเช่นเวลาที่เราไปเที่ยวต่างประเทศ เราอาจจะได้ฟังไกด์ที่นั่นพูดถึงสถานที่นั้นสถานที่นี้ที่เราไปเที่ยว แต่เราจะไม่สามารถเล่าอะไรเกี่ยวกับสถานที่นั้นได้เลยนอกเหนือจากสิ่งที่ไกด์เล่าให้เราฟัง นั่นเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเราไม่มีความรู้อะไรที่เกี่ยวกับที่นั่นเลย
            จะเห็นได้ว่าจิตใต้สำนึกนั้นจะเก็บข้อมูลต่างๆไว้ตั้งแต่เกิด เราจึงต้องเน้นการให้การเรียนรู้กับเด็กตั้งแต่ต้นเพื่อให้เขาจดจำเรื่องเหล่านั้นได้ในจิตใต้สำนึกของเขา ดังนั้นแม้ในเด็กเล็กเราอาจจะยังมองว่าเขายังจำไม่ได้หรอก แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นคือช่วงวัยที่เขาเรียนรู้และจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสัมผัสได้จากอายตนะทั้ง 6 ของเขาคือ ตา หู จมูก ปาก กาย ใจ ทุกอย่างที่เขาสัมผัสได้จะถูกเก็บเข้าไว้ภายใต้จิตใต้สำนึกของเขาทั้งหมด ดังนั้นในช่วงนี้เราจึงต้องป้อนข้อมูลต่างๆไปให้เด็กอย่างดีที่สุดเพื่อจะเป็นการปลูกฝังสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาได้จดจำในจิตใต้สำนึกต่อไป
            มีคนเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่าเด็กที่เกิดมาเป็นลูกของมนุษย์นั้นร่างกายของเด็กที่เกิดมาจะแข็งแรงสู้กับลูกของสัตว์ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเด็กที่เป็นมนุษย์เกิดมามีร่างกายที่แข็งแรงสู้กับสัตว์ที่เพิ่งเกิดมาไม่ได้ สมองจึงต้องทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย ซึ่งเขาจะต้องเรียนรู้และจดจำข้อมูลทุกอย่างผ่านอายตนะทั้ง 6 อย่างรวดเร็วเพื่อที่เขาจะได้มีชีวิตรอดให้ได้ ดังนั้นเด็กจึงเรียนรู้ได้เร็วและเป็นการเรียนรู้อย่างสมบูรณ์เพราะเขาเรียนรู้ผ่านมิติหลายๆอย่างที่เขาสามารถสัมผัสได้พร้อมๆกัน
            นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่ต้องการให้เด็กรับรู้เกี่ยวกับเรื่องบุหรี่หรือเหล้า นั่นก็เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้ไปอยู่ในจิตใต้สำนึกของเด็กนั่นเอง เพื่อไม่ให้เด็กจดจำผ่านจิตใต้สำนึกว่า เห็นไหมสูบบุหรี่กินเหล้าก็ไม่เห็นตาย ซึ่งหากสิ่งเหล่านี้ไปอยู่ในจิตใต้สำนึกของเด็กซะแล้วนั่นจะทำให้เมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ต่อให้เราจะไปรณรงค์เรื่องห้ามสูบบุหรี่ห้ามดื่มเหล้าแต่เด็กก็จะไม่เชื่อแล้วเพราะมันถูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาไปเสียแล้วว่าการสูบบุหรี่กินเหล้าก็ไม่เห็นจะตาย
            เราจะเห็นว่าในต่างประเทศเวลาผู้ปกครองไปหาหมอมักจะพาเด็กไปด้วย ไม่ใช่เพราะว่าเด็กเจ็บป่วยจนต้องไปหาหมอ แต่พ่อแม่ของเขาจะพาเด็กไปเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆของหมอ ก็เพื่อจะให้จิตใต้สำนึกของเด็กมีความผูกพันเกี่ยวกับหมอ ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นมาก็จะไม่กลัวหมอและทำให้เด็กอยากเป็นหมอตามจิตใต้สำนึกที่เคยสัมผัสมานั่นเอง แต่น่าเสียดายว่าในบ้านเรากลับมองข้ามในเรื่องเหล่านี้ไปเพราะเรามัวแต่คิดว่าเด็กยังเล็กเกินไป เด็กยังคิดไม่เป็นหรอกยังไม่ต้องพาเด็กไปยังไม่ต้องให้เด็กเห็นก็ได้ จึงทำให้เด็กในบ้านเราพลาดโอกาสเหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย
            ดังนั้นจึงจำเป็นที่เราจะต้องให้ข้อมูลที่เป็นเรื่องสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กผ่านอายตนะทั้ง 6 รวมถึงหลีกเลี่ยงการกระทำพฤติกรรมการกระทำที่ไม่ดีเช่นการสูบบุหรี่หรือกินเหล้าให้เด็กเห็น เพื่อให้สิ่งเหล่านี้ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของเขาต่อไปในอนาคตได้
 

สรวงมณฑ์           เมื่อกี้เราได้ฟังเรื่องของ “สมอง” ไปแล้วว่าส่งผลยังไงกับการเรียนรู้ของเด็ก แต่ว่ายังมีอีกคำหนึ่งก็คือคำว่า “คลื่นสมอง” ซึ่งเราก็ยังอยากรู้ว่าคลื่นสมองนี้มีผลยังไงกับการเรียนรู้ของเด็ก ขอเชิญอาจารย์จันทร์เพ็ญค่ะ

จันทร์เพ็ญ           ในการทำงานของสมองนั้น สมองของคนเราจะทำงานตลอดเวลาทั้ง 24 ชั่วโมงไม่มีการหลับโดยเฉพาะช่วงที่เรายังเป็นเด็กเล็กสมองจะทำงานอย่างหนักตลอดเวลาในการจดจำเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวทุกๆอย่าง ดังนั้นในเด็กเล็กเราจึงต้องมีเวลาให้ร่างกายของเขาได้พักผ่อนเพื่อให้สมองของเขาสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยที่ในสมองของเราจะมีสมองส่วนหนึ่งที่เรียกว่า “ฮิปโปแคมปัส” ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการจัดการเซลล์สมองซึ่งฮิปโปแคมปัสนี้  จะทำงานเฉพาะเวลาที่เราหลับเท่านั้น ดังนั้นในตอนที่เด็กตื่นนั้นอายตนะทั้ง 6 ของเขาจะทำงานเก็บข้อมูลต่างๆอยู่ตลอดเวลา และไม่เพียงเท่านั้นเพราะเมื่อข้อมูลเหล่านี้เข้าไปในสมองแล้ว  สมองของเขาจะต้องแยกข้อมูลเหล่านี้ออกเป็นส่วนต่างๆด้วยคือ เมื่อตาได้เห็นอะไรก็จะถูกแยกข้อมูลไปเก็บไว้ส่วนหนึ่ง หูได้ยินอะไรก็จะถูกแยกข้อมูลไปเก็บไว้อีกส่วนหนึ่ง จมูกได้กลิ่นอะไรก็จะถูกแยกไปอีกส่วนหนึ่ง ข้อมูลทุกอย่างที่เด็กรับรู้จะถูกแยกเก็บไว้เป็นส่วนๆ เพราะฉะนั้นในช่วงขวบปีแรกของเด็ก เด็กจะจดจำข้อมูลและแยกข้อมูลเก็บไว้เป็นส่วนๆ และสมองจะค่อยนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลรวมในภายหลัง แต่มีข้อแม้สำคัญคือเด็กจะต้องเล่นกับสิ่งเหล่านี้  ต้องอยู่กับข้อมูลเหล่านี้ทุกวัน และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือเด็กจะต้องได้นอนไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน  เพื่อให้สมองของเด็กได้จัดเรียงข้อมูลที่ได้รับมาอย่างเป็นระบบระเบียบ ไม่ต่างไปจากคอมพิวเตอร์ที่เราต้องจัดเรียงข้อมูลต่างๆเป็น Folder อย่างเป็นระเบียบ  เพื่อที่เราจะสามารถนำข้อมูลในคอมพิวเตอร์มาใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งสมองของเด็กก็ไม่แตกต่างกัน
            ดังนั้นเด็กที่นอนน้อยจึงมีปัญหาในเรื่องการเรียนรู้เพราะข้อมูลที่จดจำมาไม่สามารถเก็บไว้ในสมองได้อย่างมีระเบียบซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสมาธิสั้นในเด็กภายหลังได้ ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องเข้าใจในจุดนี้เพื่อไม่ให้เด็กเกิดปัญหาในภายหลัง
             เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงพบว่าเด็กจะต้องใช้สมองในการเรียนรู้เยอะกว่าผู้ใหญ่ เพราะทุกอย่างที่เด็กได้รู้ได้เห็นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งแปลกใหม่  เป็นโลกใบใหม่ที่เขาต้องรีบเรียนรู้เพื่อการเอาชีวิตรอดให้ได้ ในขณะที่ผู้ใหญ่เราอยู่ในโลกที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว  เราจึงใช้สมองน้อยกว่าเด็ก นั่นคือผู้ใหญ่จะใช้ “สมองอัตโนมัติ” แทน
            ตัวอย่างของการใช้สมองอัตโนมัติในผู้ใหญ่ เช่น เวลาที่ผู้ใหญ่เดินเหยียบของแหลม เพียงแค่เราสัมผัสรับรู้ได้ว่ามันคือของแหลมเราก็จะชักเท้าออกจากของแหลม  นั้นโดยอัตโนมัติโดยที่เรายังไม่ทันได้รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ ในขณะที่เด็กเล็กนั้นเขาต้องถูกของแหลมแทงจนรู้สึกเจ็บก่อน  เขาถึงจะชักเท้าออก นั่นแสดงถึงการทำงานของสมองอัตโนมัติในผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีในเด็ก
            คราวนี้เมื่อมาดูปัญหาในการพัฒนาประเทศที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของเด็กที่เราพูดถึงกันอยู่นี้ก็คือ  ในปัจจุบันเราพบว่าเด็กที่จบมหาวิทยาลัยออกมากลับทำงานไม่เป็น คือเด็กส่วนมากเมื่อเรียนจบออกมาไปทำงาน  เรากลับต้องสอนวิธีทำงานให้กับเขาใหม่ทั้งหมด ซึ่งนั่นไม่ต้องคิดเลยว่าหากเมื่อไหร่ที่มีการเปิดเสรีอาเซียนแล้ว  เด็กในประเทศเราจะถูกเพื่อนบ้านแย่งงานไปหมดแน่ๆ
            สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนปัญหาความเข้าใจผิดเรื่องการเรียนรู้ของเด็กทั้งหมด ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีชนชั้น นั่นคือไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนต่างก็เลี้ยงลูกไม่เป็นเหมือนๆกันหมด ยกตัวอย่างที่เคยเจอก็คือ  มีโรงเรียนแห่งหนึ่งจัดกิจกรรมให้เด็กนักเรียนเรียนรู้เรื่องการปลูกผักในโรงเรือน แต่หลังจากที่จัดกิจกรรมนี้เสร็จ  กลับถูกผู้ปกครองต่อว่าว่า  เขาส่งลูกเขามาเรียนหนังสือไม่ใช่ให้มาปลูกผัก นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองในบ้านเราไม่เข้าใจว่าเด็กจำเป็นจะต้องเรียนรู้การทำงานทุกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องการเรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว เพราะหากเด็กได้ทำงานต่างๆจะทำให้เด็กมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องราวที่เขาเรียนในหนังสือ การมีประสบการณ์ตรงจะทำให้เขาเรียนรู้ได้ดีขึ้น
“สมองโตได้ถ้ามือเราเก่ง”
 
 
 
           ดังนั้นเมื่อพ่อแม่เองก็ไม่ปลูกฝังทักษะการทำงานมาตั้งแต่ที่บ้าน ครูที่โรงเรียนก็ให้เรียนแต่หนังสือ จึงทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงมากขึ้นไปกว่าเดิม รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆในปัจจุบัน  เช่น  โทรศัพท์มือถือ  ก็ยิ่งทำให้เด็กไม่ได้ใช้ทั้งพลังสมองและร่างกายยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
           ดังนั้นเด็กจะต้องได้รับการส่งเสริมให้ใช้พลังสมองไปในทางที่ถูกต้องโดยต้องเหมาะสมกับ 1.ระดับอายุ 2.ระดับจริยธรรม และ 3.ระดับสติปัญญา ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างเหมาะสมได้ ทั้งนี้เนื่องจากวิวัฒนาการสมองของสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วน  คือ  สมองส่วนล่างที่ใช้สัญชาติญาณ ความอยาก และการเอาตัวรอด ในการตัดสินใจ สมองส่วนกลาง  ที่คอยจดจำเรียนรู้สิ่งต่างๆ และสมองส่วนบนที่พัฒนาในเรื่องของศีลธรรมและความคิดระดับสูง ซึ่งหากเด็กไม่ได้รับการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างเหมาะสมจะทำให้เขาพัฒนาได้แค่ในระดับของสมองส่วนล่างและสมองส่วนกลางเท่านั้น ขณะที่สมองส่วนบนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องศีลธรรมจริยธรรมจะไม่ได้รับการพัฒนา  ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหากับเด็กและสังคมต่อไป และจะทำให้เราสู้กับเพื่อนบ้านไม่ได้ในยุคของ AEC ที่จะมาถึงนี้

อ่านต่อได้ที่ http://www.happyreading.in.th/news/detail.php?id=546