‘Oxford Reading Tree’ ชุดหนังสือดีที่น่าถอดรหัส
Oxford Reading Tree ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูพ่อแม่ผู้ปกครองชาวไทย แต่ในแวดวงการศึกษาระดับปฐมวัยและประถมศึกษาในประเทศอังกฤษ Oxford Reading Tree คือชุดหนังสือเสริมการเรียนรู้ ที่ได้รับการยกย่องและเชื่อมั่นมาหลายสิบปี ว่าช่วยให้นักเรียน จดจำคำศัพท์ ได้มากกว่าเด็กที่ไม่ได้ใช้หนังสือชุดนี้ถึง 7 เท่า ทำให้เด็กสามารถอ่านหนังสือด้วยตนเองเองได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เรื่องราวและตัวละครในหนังสือชุดนี้ยังบ่มเพาะและปลูกฝังคุณลักษณะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เช่น ทักษะในการบริหารจัดการชีวิต การคิดวิเคราะห์ การอยู่ร่วมกันอย่างเคารพความเท่าเทียมทางเพศ พหุวัฒนธรรม และความยุติธรรมอย่างได้ผล ทำให้เด็กอยู่ร่วมกับความแตกต่างได้อย่างมีความสุข
วันที่ 7 มกราคม 2559 ในโอกาสที่เดินทางเพื่อร่วมสัมมนาในงาน เปิดตัว “แผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาเชียงใหม่” 4 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2559-2562 ที่จังหวัดเชียงใหม่ นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน จึงเดินทางมาพูดคุยกับ อาจารย์ สุรภี วงศ์ไพบูลย์ หัวหน้าแผนกปฐมวัย และอาจารย์สารินี มูลสถาน ณ โรงเรียนปริ้นส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ถึงวิธีการใช้หนังสือ Oxford Reading Tree และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเด็ก

อาจารย์สุรภี เล่าว่า โรงเรียนปริ้นส์รอยแยลส์วิทยาลัยเริ่มนำ ชุดหนังสือ Oxford Reading Tree เข้ามาใช้สอนเพื่อพัฒนาการออกเสียงและเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้แก่เด็กปฐมวัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 โดยได้รับการสนับสนุนหนังสือ จาก สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) และพบว่า หนังสือชุดนี้ช่วยให้เด็กมีสมาธิ ฝึกการฟัง และยังส่งเสริมทักษะภาษาและหล่อหลอมพฤติกรรมของเด็กให้ดีขึ้น
อาจารย์สารินี มูลสถาน อาจารย์ผู้สอนประจำชั้นอนุบาลเล่าว่า จากประสบการณ์ การใช้หนังสือ Oxford Reading Tree ให้ได้ผลดี ขณะที่ครูอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เด็กต้องสามารถมองเห็นหนังสือได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้คุณครูเองควรอ่านหนังสืออย่างมีความสุข สนุกสนาน ไปกับเด็ก ด้วยการแสดงท่าทางและน้ำเสียงประกอบ และที่สำคัญคือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับหนังสือด้วยการประยุกต์ทำกิจกรรมต่อยอดอย่างสร้างสรรค์ เช่น จัดกิจกรรมฝึกทำขนม จากหนังสือเล่มที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำขนม เป็นต้น ดังนั้น ครูผู้สอนจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้หนังสือสามารถพัฒนาทักษะของเด็กๆในด้านต่างๆได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้อาจารย์ทั้งสองย้ำว่า การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ด้วยการจัดห้องสมุด หรือมุมหนังสือในโรงเรียน ควบคู่กับ ความใส่ใจและส่งเสริมการอ่านจากพ่อและแม่ที่บ้าน จะช่วยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ แต่ปัจจุบัน พ่อ แม่ กลับอ่านหนังสือให้ลูกฟังน้อยลง เพราะไม่มีเวลา และคิดว่า การฝึกฝนให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้เป็นหน้าที่ของโรงเรียน ทำให้เด็กขาดโอกาสการพัฒนาด้านการเรียนรู้
นางสุดใจ พรหมเกิด กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กไทยมีพัฒนาการต่ำกว่ามาตรฐานมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเด็กที่อ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก การปลูกฝังให้เด็กรักและผูกพันกับการอ่านตั้งแต่ระดับปฐมวัย จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน มีภารกิจสร้างและส่งเสริมให้สังคมไทยมีการอ่านเป็นวัฒนธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กปฐมวัย ปัจจัยสำคัญที่จะบรรลุผลคือการมีมีหนังสือดีที่ออกแบบได้อย่างเหมาะสมกับการพัฒนาเด็กในแต่ละวัย ซึ่งยังส่งผลถึงการปลูกฝังให้เด็กรักการอ่านและหล่อหลอมพฤติกรรมที่ดีๆให้แก่เด็กได้ แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน อยู่ระหว่างการจัดการความรู้เพื่อถอดรหัสหนังสือเหล่านี้ เพื่อพัฒนาเป็นหนังสือในฉบับภาษาไทย ต่อไป


