มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

Book Talk : บอกเล่าเล่มสนุก

Book Talk : บอกเล่าเล่มสนุก

โดยแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน


      บ่ายๆ วันเสาร์ บนเวที Atrium ในงาน ‘เทศกาลหนังสือครอบครัวนักอ่าน’ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หลายคนแปลกใจกับกิจกรรมบนเวทีที่ไม่ซ้ำใคร เพราะมีนักเขียน นักวาดภาพหนังสือเด็ก ๙ คนที่ไม่ได้มานั่งเรียงแถวหน้ากระดานเพื่อตอบคำถาม หากสลับกันขึ้นลงเวทีให้ดูชุลมุน แต่ขณะเดียวกันก็ดูเป็นกันเองมาบอกเล่าเรื่องสนุกในการคิด และการลงมือทำงานหนังสือเด็ก

      คุณสรวงมณ สิทธิสมาน ผู้ดำเนินรายการ ใช้ประสบการณ์ที่ช่ำชองมาช่วยสรุปประเด็นอันหลากหลายบนเวที เพราะรวมเอา ๙ คนที่มีวิธีคิด วิธีทำงาน วิธีเขียนเรื่อง เล่าเรื่อง ไปจนถึงวิธีการขายที่แตกต่างอย่างสุดขั้วแต่เป้าหมายเดียวกัน…มาเล่าสู่กัน

                เปิดเวทีด้วยเสียงเพลง “ลูกโป่งสวรรค์”เนื้อร้องและทำนองน่ารัก คลอคู่กันพ่อ-ลูก  

      น้องต้นฉบับกับพ่อกุดจี่ที่ตอนนี้เขียนหนังสือเด็กออกมามากกว่าหนึ่งร้อยเล่ม  ทุกเล่มล้วนได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ‘ชีวิต’ของลูกน้อย ซึ่งผู้พ่อเฝ้าดูแล ติดตามความสนใจของลูก ก่อนจะแปรความสนใจของลูกออกมาเป็นเล่ม

พ่อกุดจี่และน้องต้นฉบับกำลังร้องเพลง "ลูกโป่งสวรรค์"

พ่อกุดจี่และน้องต้นฉบับกำลังร้องเพลง "ลูกโป่งสวรรค์"

                ส่วนคนที่ยังไม่มีลูก เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากกัน  คำตอบคือ หนังสือนั่นเองที่เป็นแรงบันดาลใจของชาญศิลป์ กิตติโชติพาณิชย์ นักเขียนเจ้าของผลงานรางวัล ‘นานมีบุ๊คส์อะวอร์ด’ มาบอกเล่าเล่มสนุกในการเลือกใช้เทคนิคเพื่อการทำงานภาพประกอบ

"ชาญศิลป์ กิตติโชติพาณิชย์"

"ชาญศิลป์ กิตติโชติพาณิชย์"

หนึ่งในภาพผลงานจากหนังสือ "เพือนรักในป่าใหญ่" ที่ชาญศิลป์นำมาบอกเล่า

      ก่อนลงมือทำภาพจริงดังที่เห็นในเล่ม เขาคิดแล้วคิดอีกกับความหมายของต้นฉบับที่นักเขียนต้องการสื่อ ในฐานะคนสร้างภาพสำหรับงานเขียนผู้อื่น สิ่งสำคัญต้องเข้าใจให้ได้ว่า นักเขียนคิดอย่างไร ชาญศิลป์เล่าไป คลิกภาพให้เห็นกันจะจะบนจอ

      การบอกเล่าเรื่องสนุกบนเวที ไม่มีการลำดับความอาวุโส หรือความคร่ำหวอด ครูชีวัน วิสาสะ แม้จะทำงานหนังสือสำหรับเด็กมานานจนนับเวลาไม่ได้ ก็ได้ขึ้นมาบอกเล่าเรื่องสนุกเป็นลำดับที่ ๓ เพราะเรียงชื่อตามตัวอักษร ครูชีวัน เล่าเรื่องสนุกในการคิดเรื่องราวและทำภาพสำหรับหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของตนเอง ชื่อ ‘๕๐ เท่า’ สังเกตให้ดีๆ เราจะพบว่า งานของครูชีวันแต่ละ เล่ม มักจะมีตัวละครที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน จากเล่มนั้นมาโผล่ที่เล่มนี้ โผล่ให้เห็นแบบเต็มๆ หรือบางเล่มโผล่นิดๆ หน่อยๆ ดังเช่นหอยทาก (โผล่เต็มหน้า) ในเล่มนี้ ใครนึกออกบ้างว่า เคยปรากฏตัวอยู่ในหนังสือเล่มใดของครูชีวัน …เป็นหอยทากตัวเดียวที่มีลายเป็นแผนที่ประเทศไทยอยู่บนเปลือก  ครูชีวันบอกว่า ประเทศไทยของเรา ไปช้าๆ บ้างก็ได้

ครูชีวัน กับผลงานเล่มล่าสุด "๕๐ เท่า"

       เนื่องจากความเนิบช้า ครูชีวัน ลงเวทีพร้อมบ่นว่า ทำไมเวลาของตัวเองน้อยจัง ยังเล่าไม่จบเลย ความจริงก็คือ ทุกคนได้เวลาคนละ ๑๐ นาทีกัน ก็ครูชีวัน เนิบตามสไตล์ เล่าเรื่องเดียวก็หมดเวลา ทั้งที่เตรียมมาเป็นกระบุง

      จากครูชีวัน มาถึงศิษย์สาวของครู นันทวัน วาตะ นักวาดภาพประกอบที่เน้นงานละเอียดยิบ มาเล่าเรื่องสนุกจากจังหวัดยะลา งานที่นำมาบอกเล่าเป็นการทำงานภาพประกอบหนังสือสารคดีสำหรับเด็ก เรื่องเกี่ยวกับของกิน

นันทวัน วาตะ

นันทวัน วาตะ

ตัวอย่างภาพของการทำงานที่นันทวันนำมาแบ่งปันให้ได้เรียนรู้ร่วมกัน

      นันทวัน เล่าว่า การลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล บางครั้งก็ไม่อาจยกกล้องขึ้นถ่ายภาพได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เธอจึง ‘ลักลอบสเก็ตช์’แล้วค่อยกลับมาคลี่คลายเป็นภาพจริง และลงสีเอาที่บ้าน เธอเล่าไปเปิดภาพ ‘คนในรูป’ ให้ได้ดูกันด้วย เพราะวิธีการทำงานของเธอ มีรูปแบบเฉพาะตัว เธอลงทุนลงแรงชักชวนพี่น้องชาวบ้านมาล้อมวงสาธิตการทำขนมท้องถิ่น ชักชวนเด็กๆ มากินขนม ขณะที่เธอเองก็ได้กินกับเขา ได้ถ่ายรูปเก็บเป็นข้อมูล กระทั่งได้งานกลับมาอย่างงดงาม

      นันทวัน ก้าวลงไปพร้อมๆ กับชายหนุ่ม ตัวใหญ่ใจดี เบียดร่างขึ้นเวทีมาบอกเล่าเล่มสนุกในการแต่งนิทานสำหรับเด็ก พ่อเมฆ แห่งสำนักพิมพ์ก้อนเมฆ นอกจากจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากลูกชายวัยซนแล้ว พ่อเมฆยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากคนซื้อหนังสืออีกด้วย เมื่อพ่อแม่ผู้ซื้อหนังสืออยากได้หนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง “ทำอย่างไร ไม่ให้ลูกน้อยปฏิเสธการกินยา”

พ่อเมฆ

"พ่อเมฆ"จากสำนักพิมพ์ก้อนเมฆ แปลงกายเป็นฤาษีบอกเล่าถึงยาวิเศษ

      หลังจากพ่อเมฆ รับแรงบันดาลใจหรือเรียกง่ายๆ ว่า แรงยุ มาแล้ว จึงตั้งต้นคิดเรื่องราวทันที ‘ยาวิเศษของฤาษี’ คือหนังสือเล่มนั้น ว่าแล้วพ่อเมฆก็เริ่มเล่าเรื่องราว ไม่เล่าเปล่า งัดเคราเทียมที่เตรียมมา สวมใส่แปลงกายเป็นฤาษี แต่เด็กๆ กลับนึกว่าเป็นซานตาคลอส เล่าจบพ่อเมฆชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกคำ เลือกภาษามาใช้ในหนังสือเด็ก

ฟังจากพ่อเมฆแล้วหลายคนเห็นด้วยว่า แรงบันดาลใจนั้นได้มาจากทุกหนทุกแห่งจริงๆ

กฤษณะ กาญจนาภา และ วชิราวรรณ ทับเสือ

กฤษณะ กาญจนาภา และ วชิราวรรณ ทับเสือ

 

ภาพจากหนังสือ "สี่สะหายตะลุยสวนสนุก" ในภาพจะเห็น "ผีท่อ" ซึ่งเด็กน้อยคนหนึ่งหลงรักมาก

"ผีท่อ"

      เล่าเกือบไม่จบ เวลาหมดพอดี พ่อเมฆลงเวที หลีกทางให้คนคู่นี้ วชิราวรรณ ทับเสือ และ กฤษณะ กาญจนาภา ทั้งคู่ถือหนังสือสุดฮิตสำหรับเด็กเรื่อง อีเล้งเค้งโค้ง มาด้วย บอกว่า บก. แนะนำให้พิจารณาดูให้ละเอียดว่ามีอะไรในภาพ ในเล่มนี้ที่น่าสนใจบ้าง ก่อนจะเริ่มต้นทำงานเป็นนักวาดภาพหนังสือเด็กอย่างมืออาชีพ ทั้งคู่ช่วยกันเล่าเรื่องสนุกตรงที่ บก.ได้เห็นภาพร่างที่ทั้งคู่ร่วมกันทำเพียงภาพเดียว เหตุใดจึงกล้าหาญปล่อยให้ทั้งคู่ทำงานที่มีรายละเอียดยุบยับขนาดนั้นได้ทั้งเล่ม

      ทั้งสองคน ช่วยกันเล่าเรื่องสนุกถึงนักอ่านตัวน้อย ที่ไม่ปล่อยให้สิ่งสะดุดตาสะดุดใจผ่านไปง่ายๆ เพราะเด็กน้อยหา ‘ผีท่อ’ ในเล่ม สี่สหายตะลุยสวนสนุก ไม่พบในหน้าหนึ่ง ทั้งที่ควรจะมีปรากฏอยู่ในทุกๆ หน้า เด็กน้อยจึงไม่เป็นอันนอน รบเร้าให้คุณแม่โทรมาถามนักเขียน ขณะนั้นเป็นเวลาห้าทุ่ม ! ทั้งคู่จึงเหลือเชื่อว่า หนังสือเด็กนั้นมีความหมาย และส่งผลต่อเด็กมากจริงๆเพราะรายนี้ถึงขั้นนอนไม่หลับเลยทีเดียว


      นักเขียนนิทานคนต่อไป หิ้วกีต้าร์ตัวจิ๋ว หรืออาคูเลเล่ ขึ้นเวทีมาบรรเลงเปิดประเด็น ก่อนการพูดคุย สุริยัน สุดศรีวงษ์ หรือเจ้าของนามปากกา แม้ว คนรักแมวเล่าถึงการเขียนนิทานสำหรับเด็กที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องสนุก น่ารัก และง่ายๆ หากแต่แม้วกลับบอกว่า นิทานแต่ละเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมานั้นล้วนมาจากประเด็นจริงจังในสังคม เช่นเรื่อง แม่ไก่ลายกับไข่ขี้เซา เขาได้แรงบันดาลใจมาจากเมื่อครั้งจัดกิจกรรมค่ายสำหรับเด็ก ที่มีเด็กเมืองหลวงทำอะไรเองไม่เป็นเลย   พ่อแม่คอยประคบประหงมตลอด จึงเป็นที่มาของเรื่องราว

"สุริยัน สุดสรีวงศ์"มาพร้อมกับอาคูเลเล่ เปิดฉากเล่าเรื่องเบื้องหลัง ที่มาของงานหนังสือเด็กที่ตัวเองเขียน

"สุริยัน สุดสรีวงศ์"

      นิทานของแม้วหรือสุริยัน เกือบทั้งหมดเป็นนิทานที่มีสัตว์เป็นตัวละครหลัก เพราะมาจากความชื่นชอบนิทานสัตว์ของนักเขียนชาวเยอรมัน Erwin Moser จึงเกิดแรงบันดาลใจในการแต่งนิทานของตัวเองและไม่เพียงงานนิทานสำหรับเด็กเท่านั้น เขายังเป็นนักเขียนวรรณกรรมสำหรับเยาวชนอีกด้วย

      คนที่แปดย่างก้าวขึ้นเวทีช้าๆ ผิดจากเจ็ดคนแรก ศิริลักษณ์ พุทธโคตร มีบุคลิกเรียบร้อย อ่อนหวาน เธอจึงเลือกขับเสภาบท มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง….สะกดผู้ฟังข้างล่างได้อยู่หมัด เมื่อจบบทจึงตามด้วยเสียงตบมือเกรียวกราว

"ศิริลักษณ์ พุทธโตคร" จากสำนักพิมพ์สานอักษร โรงเรียนรุ่งอรุณ

"ศิริลักษณ์ พุทธโตคร"

      ศิริลักษณ์ ชื่นชอบบทกลอน ทำนองเสนาะ แม้ไม่อาจจะเรียกว่า แรงบันดาลใจ เนื่องจากถูกบังคับให้ท่อง แต่เมื่อท่องไปท่องมาเกิดหลงรักท่วงทำนองเสนาะ หนังสือทุกเล่มที่เธอแต่งขึ้นสำหรับเด็กๆ จึงล้วนเป็นหนังสือที่เป็นบทกลอนทั้งสิ้น เธอเล่าว่า เธอโชคดีที่มีกองบรรณาธิการขนาดใหญ่โตมาก เพราะมีทั้งเด็กๆ นักเรียนโรงเรียนรุ่งอรุณ ทั้งคุณครูและผู้ปกครอง เป็นคนช่วยอ่านและเสนอความเห็น เธอจึงเขียนงานอย่างมั่นใจว่า จะถูกใจเด็กจริงๆ และเด็กๆ ก็ชื่นชอบงานของเธอด้วย

      คนสุดท้ายที่เรียกร้องความสนใจจากผู้ฟังได้มาก คือ ‘โอตะ อึมเมะ’หรือเกริก กุลมาตร ไม่ได้มาเล่าเรื่องสนุกเท่านั้น เขายังแจกสนุกด้วย

"โอตะ อึมเมะ"กับผลงาน"ฉี่" ที่มาเติมเต็มช่องว่างทางการตลาดหนังสือเด็ดระหว่าง ตดกับอึ

"โอตะ อึมเมะ"

      โอตะ อึมเมะ มีแนวคิดการตลาดในการผลิตหนังสือสำหรับเด็ก เขายกตัวอย่างหนังสือเรื่อง ‘อึ’ และ ‘ตด’ที่พิมพ์ในฉบับภาษาไทยและขายดีมาก เมื่อนำวิธีคิดแบบการตลาดเข้ามาใช้ ทำให้เขาเห็นว่า ทำไมเราจึงไม่เขียนเรื่อง ‘ฉี่’ ล่ะ ว่าแล้วก็รีบเสนอความคิดกับสำนักพิมพ์ทันที เมื่อสำนักพิมพ์รับความคิดจึงลงมือทำต้นฉบับ และให้วิธีทางการตลาดอีกรอบ ด้วยการออกแบบปก ออกแบบภาพ ออกแบบเรื่อง รวมไปถึงการตั้งนามปากกา เพื่อโอกาสในการเข้าร่วมชุดกับ อึ และ ตด

      ปัจจุบันโอตะ เป็นบรรณาธิการบริหารของสำนักพิมพ์ จึงมีหนังสือมาแจกผู้ร่วมฟังจำนวนมาก กติกาการแจกแสนง่ายดาย คือ กรุณาถามคำถามอะไรก็ได้ เพื่อจะได้รับหนังสือ คำถามละหนึ่งเล่ม เราจึงได้ฟังคำถามแสนน่ารักสุดซื่อ เช่น หนังสือราคาเท่าไร ทำไมกระต่ายต้องจมูกแดง กระต่ายเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หนังสือมีกี่หน้า และอีกยี่สิบหกคำถามแสนน่ารัก เพราะเขามีหนังสือมาแจกมาถึง ๓๐ เล่ม

      คุณสรวงมณ สรุปตบท้ายอีกครั้ง ก่อนผู้ฟังจะงงงัน เพราะบนเวทีมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน ว่า หนังสือเด็กในปัจจุบันนั้นมีให้เลือกมากมายจริงๆ มากจนไม่รู้ว่าพ่อแม่จะเลือกอย่างไร ดังนั้นเมื่อได้ฟังบรรดาหนังสือนักเขียน นักวาดภาพเล่าถึงที่มาที่ไปต่างๆ แล้ว ก็หวังว่าจะช่วยให้พ่อแม่ได้เลือกหนังสือได้ง่ายขึ้น และคุณพ่อคุณแม่คงไม่เห็นแล้วว่า กว่าจะมาเป็นหนังสือเด็กที่ดีๆ สักเล่มหนึ่ง ไม่เพียงแต่วาดๆๆ ไปให้เสร็จ หรือเพียงแต่ให้สวยเท่านั้น ทุกคนคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดอีก เพื่อให้งานออกมาดีที่สุดสำหรับเด็ก

ภาพร่วมกันระหว่างคนทำหนังสือเด็กทั้ง ๙+(๑) และผู้ดำเนินรายการ บรรณาธิการ และผู้จัดการแผนงานฯ

ถ่ายภาพร่วมกัน



เรื่อง :  ระพีพรรณ พัฒนาเวช

ภาพ :  แม่เอ๋ย สำนักพิมพ์ก้อยเมฆ