มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

สช. ชวน แผนงานฯ การอ่าน สสส. สร้างนโยบายร่วม “พื้นที่พักใจเด็กในภาวะวิกฤต ฯ (Child – Friendly Space : CFS) ใ

สช. ชวน แผนงานฯ การอ่าน สสส. สร้างนโยบายร่วม “พื้นที่พักใจเด็กในภาวะวิกฤต ฯ (Child – Friendly Space : CFS) ใช้หนังสือและกิจกรรมการอ่านเป็นพื้นที่ปลอดภัย เยียวยาและฟื้นใจเด็ก ” ในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องประชุม แซฟไฟร์ 110 อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี นนทบุรี แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ จัดเวที ห้องสร้างนโยบายร่วม Policy Co-Creation Lab “พื้นที่พักใจเด็กในภาวะวิกฤตและสงคราม (Child – Friendly Space : CFS)” ในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 “ เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” เวทีเสวนา มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน กลุ่มคน และองค์กร ในการออกแบบ / จัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยต่อการปลอบขวัญ ฟื้นฟู เยียวยา และพัฒนาเด็ก ฯลฯ ที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมในการติดตั้งและดำเนินการได้ทันทีภายใน 15 นาที เมื่อเกิดภาวะวิกฤติทั้งจากภัยพิบัติ โรคระบาด และหรือสงคราม โดยมี รศ.ดร. เกศินี ประทุมสุวรรณ กรรมการสุขภาพแห่งชาติ เขตพื้นที่ 5 และกรรมการมูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยนางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. และประธานมูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน กล่าวถึงความสำคัญของการใช้การอ่านใทีเพื่อสร้างเสริมสุขภาพเด็กที่ผ่านมา อาทิ สร้างสายสัมพันธ์และบ่มเพาะความเกื้อกูลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เสริมพัฒนาการและศักยภาพเด็กปฐมวัย ป้องกันวิกฤติจากโรคหัดระบาด ลดการเสียชีวิตของเด็กในพื้นที่ชายแดนใต้ จึงเป็นที่มาของการรวบรวม เรียบเรียงงานวิชาการโดย นพ.เทอดพงศ์และคณะ ในเล่ม “ปลูกกล้ากลางไฟ ; แนวทางการดูแลจิตใจและเลี้ยงดูเด็กในภาวะสงคราม” เพื่อพ่อแม่ และหน่วยงานต่างๆ จะได้นำแนวทางไปประยุกต์ใช้ เมื่อเกิดวิกฤตต่างๆ ด้าน รศ. นพ. เทอดพงศ์ ทองศรีราช กุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรม คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม. มหิดล ได้ให้ข้อมูลสำคัญในกลุ่มเด็กที่ประสบภัยจากเหตุน้ำท่วมที่ภาคใต้ ว่า “ เราพบว่า เด็กบางคน ได้ยินเสียงฝนตก หรือเห็นฟ้ามืดลง ก็หวาดผวาแล้ว เช่นเดียวกับเด็กๆ ชายแดน ที่พอใครปิดประตูเสียงดัง ก็จะสะดุ้ง ตกใจ คิดไปถึงเสียงระเบิด เสียงปืน ” ในหนังสือปลูกกล้า กลางไฟ ฯ ได้รวบรวมแนวทางการเยียวยา ดูแล และพัฒนาเด็กในช่วงเวลาวิกฤตเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะเครียดหลังเหตุความรุนแรง รวมถึงหลักการของ “พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” (Child Friendly Spaces หรือ CFS) โดยต้องมีความปลอดภัย, กระตุ้นพัฒนาการ และให้การสนับสนุน บนศักยภาพของชุมชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และให้บริการแบบบูรณาการ มีความเป็นกลาง ไม่เลือกปฏิบัติ นางนภัทร พิศาลบุตร เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเด็กเล็ก องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย นำเสนอ แนวทางการดูแลเด็กด้านจิตสังคมในภาวะฉุกเฉิน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยง เพิ่มปัจจัยบวกต่อการปกป้องเด็กในช่วงเวลาที่เปราะบาง ด้วยหลัก 4 R : Routine – Repair – Rebuild – Referral เพื่อช่วยให้เด็กสามารถรับมือกับเหตุการณ์สะเทือนใจ ฟื้นฟูตนเอง และก้าวต่อไปได้ ทั้งนี้ ทางองค์การยูนิเซฟ ร่วมกับแผนงานฯ​ การอ่าน สสส. ได้พัฒนาหนังสือนิทาน เพื่อจัดพิมพ์เผยแพร่แก่พื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมและชายแดนที่มีเหตุการณ์ปะทะ เพื่อให้ผู้ใหญ่ที่แวดล้อมเด็กได้เรียนรู้วิธีการจัดการ และการดูแลที่เหมาะสม เวทีวิชาการครั้งนี้ มีภาคีเครือข่ายจากภูมิภาคที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยน ต่างเห็นความสำคัญ ทั้งได้แบ่งปันประสบการณ์การออกแบบการพื้นที่ปลอดภัยที่เหมาะสมกับบริบท และเสนอให้มีการเตรียมพร้อมความพร้อม ทั้งการประกาศนโยบายในระดับชาติ ลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่ ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ลงไปถึงชุมชน และควรสร้างการรับรู้ลงไปถึงผู้แวดล้อมเด็กให้ตระหนักถึงความสำคัญในประเด็นนี้ โดยทุกศูนย์พักพิงควรมีการจัดพื้นที่รองรับเด็กด้วยหลักการ CFS และเพิ่มศักยภาพให้ครอบครัวสามารถดูแลเด็กเมื่อเกิดวิกฤติได้ ทั้งนี้แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ยังได้จัดแสดงนิทรรศการสาธิต ” การออกแบบมุมสงบ 1 ตารางเมตร พื้นที่ที่เป็นมิตรกับเด็ก ” พร้อมทั้งนำเสนอชุดหนังสือนิทานเตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า “เด็กปลอดพอด” โดยมีกิจกรรมกดไลก์ กดแชร์ เพจอ่านยกกำลังสุข รับหนังสือนิทาน และส่งมอบ – เผยแพร่หนังสือวิชาการ “ ปลูกกล้ากลางไฟ : แนวทางการดูแลจิตใจและเลี้ยงดูเด็กในภาวะสงคราม “​ แก่ผู้บริหารและแกนนำที่เข้าร่วมเวที เพื่อการประยุกต์ใช้ ต่อไป   ผู้สนใจ สามารถเปิดอ่านและดาวน์โหลดหนังสือเล่มนี้ ได้ฟรี ทาง www.happyreading.in.th