เร่งงดหน้าจอก่อน 2 ขวบ! ผู้เชี่ยวชาญเตือนภัยจอทำลายสมองเด็ก

 นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวรายงานว่า จากข้อมูลการสำรวจของ UNICEF–สำนักงานสถิติแห่งชาติ (MICS 2022) พบว่า เด็กไทยอายุ 2–4 ปี มากกว่า 80% ใช้สื่อดิจิทัลเกินวันละ 1 ชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการสมอง (EF) โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ “เด็กต่ำกว่า 2 ปี งดหน้าจอ” และ “เด็ก 2–4 ปี ใช้ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง” พร้อมผลักดันแนวทาง “งดหน้าจอก่อน 2 ขวบ เพิ่มเวลาครอบครัวคุณภาพ” ผ่านกิจกรรมอ่านหนังสือภาพเชิงโต้ตอบภายในครอบครัว เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและสายสัมพันธ์พ่อแม่ลูก
นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวรายงานว่า จากข้อมูลการสำรวจของ UNICEF–สำนักงานสถิติแห่งชาติ (MICS 2022) พบว่า เด็กไทยอายุ 2–4 ปี มากกว่า 80% ใช้สื่อดิจิทัลเกินวันละ 1 ชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการสมอง (EF) โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ “เด็กต่ำกว่า 2 ปี งดหน้าจอ” และ “เด็ก 2–4 ปี ใช้ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง” พร้อมผลักดันแนวทาง “งดหน้าจอก่อน 2 ขวบ เพิ่มเวลาครอบครัวคุณภาพ” ผ่านกิจกรรมอ่านหนังสือภาพเชิงโต้ตอบภายในครอบครัว เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและสายสัมพันธ์พ่อแม่ลูก อัจฉริยา ชุมนุม รองศึกษาธิการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวเปิดงาน “อุบลราชธานีเมืองสวัสดิการหนังสือเพื่อเด็กปฐมวัย 3 พลังร่วมขับเคลื่อนนโยบาย 3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” ว่าสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดมีภารกิจขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ กำหนดยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาการศึกษา กำกับดูแล ประเมินผล และประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคส่วนอื่น ๆ นโยบายหลักประกอบด้วย 3 เร่ง ได้แก่ เร่งสร้างความเข้าใจ เร่งสวัสดิการ และเร่งเสริมศักยภาพท้องถิ่น 3 ลด ได้แก่ ลดการใช้หน้าจอ ลดความเครียด และลดความรุนแรง และ 3 เพิ่ม ได้แก่ เพิ่มกิจกรรมเล่นส่งเสริมพัฒนาการ เพิ่มการเล่านิทาน และเพิ่มความรักความเข้าใจในครอบครัว เพื่อให้เด็กปฐมวัยเข้าถึงหนังสือและกิจกรรมการอ่าน แก้วิกฤตพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้า ลดภาวะการถดถอยทางการเรียนรู้ งดหน้าจอเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ สร้างครอบครัวคุณภาพ และวางรากฐานเด็กปฐมวัยสู่การเป็นพลเมืองที่สร้างสรรค์ ท่ามกลางยุคสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต
อัจฉริยา ชุมนุม รองศึกษาธิการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวเปิดงาน “อุบลราชธานีเมืองสวัสดิการหนังสือเพื่อเด็กปฐมวัย 3 พลังร่วมขับเคลื่อนนโยบาย 3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” ว่าสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดมีภารกิจขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ กำหนดยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาการศึกษา กำกับดูแล ประเมินผล และประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคส่วนอื่น ๆ นโยบายหลักประกอบด้วย 3 เร่ง ได้แก่ เร่งสร้างความเข้าใจ เร่งสวัสดิการ และเร่งเสริมศักยภาพท้องถิ่น 3 ลด ได้แก่ ลดการใช้หน้าจอ ลดความเครียด และลดความรุนแรง และ 3 เพิ่ม ได้แก่ เพิ่มกิจกรรมเล่นส่งเสริมพัฒนาการ เพิ่มการเล่านิทาน และเพิ่มความรักความเข้าใจในครอบครัว เพื่อให้เด็กปฐมวัยเข้าถึงหนังสือและกิจกรรมการอ่าน แก้วิกฤตพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้า ลดภาวะการถดถอยทางการเรียนรู้ งดหน้าจอเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ สร้างครอบครัวคุณภาพ และวางรากฐานเด็กปฐมวัยสู่การเป็นพลเมืองที่สร้างสรรค์ ท่ามกลางยุคสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต
 ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน คณะกรรมการนโยบายพัฒนาเด็กปฐมวัย กล่าวถึงความสำคัญของนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” ซึ่งประกาศเพื่อรับมือวิกฤตเด็กปฐมวัย โดยชี้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญโครงสร้างประชากรผู้สูงวัย เด็กเกิดลดลงเหลือต่ำกว่า 500,000 คนต่อปี และต่ำกว่า 300,000 คนในปีล่าสุดหลังโควิด ส่งผลให้เด็กแต่ละคนต้องมีคุณภาพสูงเพื่อเป็นกำลังสำคัญของชาติ “เด็กเกิดน้อยแต่ต้องทำให้มากคุณภาพ ทรงพลัง และตอบโจทย์โลกยุค AI” ดร.สรวงมณฑ์ เน้นย้ำปัญหาการอ่านหนังสือที่ลดลงจากเทคโนโลยี โดยผู้ใหญ่ไม่หยิบยื่นหนังสือให้เด็ก แม้เด็กอยากอ่านแต่ถูก “ดิสรัปต์” จากหน้าจอ ซึ่งขาดกระบวนการทางสมองในการ input-ประมวลผล-สังเคราะห์แบบการอ่านจริง
ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน คณะกรรมการนโยบายพัฒนาเด็กปฐมวัย กล่าวถึงความสำคัญของนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” ซึ่งประกาศเพื่อรับมือวิกฤตเด็กปฐมวัย โดยชี้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญโครงสร้างประชากรผู้สูงวัย เด็กเกิดลดลงเหลือต่ำกว่า 500,000 คนต่อปี และต่ำกว่า 300,000 คนในปีล่าสุดหลังโควิด ส่งผลให้เด็กแต่ละคนต้องมีคุณภาพสูงเพื่อเป็นกำลังสำคัญของชาติ “เด็กเกิดน้อยแต่ต้องทำให้มากคุณภาพ ทรงพลัง และตอบโจทย์โลกยุค AI” ดร.สรวงมณฑ์ เน้นย้ำปัญหาการอ่านหนังสือที่ลดลงจากเทคโนโลยี โดยผู้ใหญ่ไม่หยิบยื่นหนังสือให้เด็ก แม้เด็กอยากอ่านแต่ถูก “ดิสรัปต์” จากหน้าจอ ซึ่งขาดกระบวนการทางสมองในการ input-ประมวลผล-สังเคราะห์แบบการอ่านจริง
 นโยบายนี้ผ่านมติครม. เมื่อมีนาคม 2568 หลังวางแผนมานานกว่า 3-4 ปี เพื่อตอบโจทย์วิกฤตที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดย “3 เร่ง” คือเร่งลดหน้าจอ เร่งเพิ่มการอ่าน เร่งเพิ่มกิจกรรมเล่น “3 ลด” คือลดหน้าจอเด็กก่อน 2 ขวบงดเด็ดขาด และลดในเด็กต่ำกว่า 8 ขวบตาม พ.ร.บ.การศึกษาปฐมวัย “3 เพิ่ม” คือเพิ่มเวลาอ่าน เพิ่มเวลาเล่น และเพิ่มกิจกรรมพัฒนาสมอง EF (Executive Function) ดร.สรวงมณฑ์ เปรียบหน้าจอเป็น “ของมีคม” สำหรับเด็กปฐมวัย เหมือนมีดที่ไม่ให้เด็กจับเพราะอันตราย ชี้หลายประเทศตะวันตกและตะวันออกกำลังหันหลังให้หน้าจอในเด็กเล็ก เช่น งดในโรงเรียนต่ำกว่า 8 ขวบ และร่างกฎหมายห้ามใช้มือถือ “โลกเปลี่ยนทุกปี วางแผน 5 ปียังไม่ทัน ต้องลงมือปฏิบัติทันที อย่ารอให้เด็กเสียหาย” เธอเรียกร้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะชุมชนและอสม. ให้เป็นแกนนำ ส่งเสริมทางเลือกแทนหน้าจอ เพื่อป้องกันเด็กเติบโตไร้มนุษย์เลี้ยงและติด AI จนแยกจริง-ปลอมไม่ออก
ด้าน ดร.พิมพ์ชนก หาคำ จากโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีประสบการณ์พยาบาลจิตเวชกว่า 30 ปี กล่าวถึงภัยหน้าจอที่ทำลายสมองเด็กจริง โดยอ้างข้อมูลภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบเด็กสงสัยพัฒนาการล่าช้าเกือบ 10% และทั้งประเทศกว่า 30% โดยเฉพาะ IQ-EQ ต่ำและปัญหา EF อุบลราชธานีเคยอันดับ 2 รองจากปัตตานี แต่ปรับปรุงขึ้นหลังทำงานต่อเนื่อง เธอเล่าประสบการณ์เคสหนัก เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีติดเกม-จอ ติดจนเหวี่ยงวีน หงุดหงิด ทำร้ายแม่ ไม่ยอมโรงเรียน และทำลายข้าวของ “เด็กเล็กไม่ก้าวร้าวมาก แต่ร้องไห้ถ้าไม่ให้ดู พอโตหน่อยคือควบคุมอารมณ์ไม่ได้ สื่อสารไม่ได้ ทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น”
นโยบายนี้ผ่านมติครม. เมื่อมีนาคม 2568 หลังวางแผนมานานกว่า 3-4 ปี เพื่อตอบโจทย์วิกฤตที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดย “3 เร่ง” คือเร่งลดหน้าจอ เร่งเพิ่มการอ่าน เร่งเพิ่มกิจกรรมเล่น “3 ลด” คือลดหน้าจอเด็กก่อน 2 ขวบงดเด็ดขาด และลดในเด็กต่ำกว่า 8 ขวบตาม พ.ร.บ.การศึกษาปฐมวัย “3 เพิ่ม” คือเพิ่มเวลาอ่าน เพิ่มเวลาเล่น และเพิ่มกิจกรรมพัฒนาสมอง EF (Executive Function) ดร.สรวงมณฑ์ เปรียบหน้าจอเป็น “ของมีคม” สำหรับเด็กปฐมวัย เหมือนมีดที่ไม่ให้เด็กจับเพราะอันตราย ชี้หลายประเทศตะวันตกและตะวันออกกำลังหันหลังให้หน้าจอในเด็กเล็ก เช่น งดในโรงเรียนต่ำกว่า 8 ขวบ และร่างกฎหมายห้ามใช้มือถือ “โลกเปลี่ยนทุกปี วางแผน 5 ปียังไม่ทัน ต้องลงมือปฏิบัติทันที อย่ารอให้เด็กเสียหาย” เธอเรียกร้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะชุมชนและอสม. ให้เป็นแกนนำ ส่งเสริมทางเลือกแทนหน้าจอ เพื่อป้องกันเด็กเติบโตไร้มนุษย์เลี้ยงและติด AI จนแยกจริง-ปลอมไม่ออก
ด้าน ดร.พิมพ์ชนก หาคำ จากโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีประสบการณ์พยาบาลจิตเวชกว่า 30 ปี กล่าวถึงภัยหน้าจอที่ทำลายสมองเด็กจริง โดยอ้างข้อมูลภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบเด็กสงสัยพัฒนาการล่าช้าเกือบ 10% และทั้งประเทศกว่า 30% โดยเฉพาะ IQ-EQ ต่ำและปัญหา EF อุบลราชธานีเคยอันดับ 2 รองจากปัตตานี แต่ปรับปรุงขึ้นหลังทำงานต่อเนื่อง เธอเล่าประสบการณ์เคสหนัก เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีติดเกม-จอ ติดจนเหวี่ยงวีน หงุดหงิด ทำร้ายแม่ ไม่ยอมโรงเรียน และทำลายข้าวของ “เด็กเล็กไม่ก้าวร้าวมาก แต่ร้องไห้ถ้าไม่ให้ดู พอโตหน่อยคือควบคุมอารมณ์ไม่ได้ สื่อสารไม่ได้ ทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น” ในการบำบัดที่โรงพยาบาล ใช้ยาปรับสมองก่อนเพื่อสงบอารมณ์ ร่วมกับเทคนิค Setting Limit เช่น กอดล็อกจากด้านหลังเพื่อหยุดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่ให้ทำร้ายตนเองหรือคนอื่น และค่อยๆ สอนรู้จักอารมณ์ตัวเอง ดร.พิมพ์ชนก แนะป้องกันตั้งแต่ครอบครัว โดยผู้ปกครองต้องรู้ทันแนวโน้มติดจอ ฟังลูกมากกว่าพูด สร้างกติกา เช่น กินข้าวไม่ใช้จอ เพื่อให้เป็นเวลาคุณภาพ และนั่งข้างๆ ติดตามเวลาเล่น “อย่าบ่นเพราะกลายเป็นแมงวันให้ตี แต่ชวนคิดมุมบวก เช่น เกมช่วยฝึกความเร็ว แต่เกินไปแสบตา” เธอชี้ background TV แม้ไม่ดูตรงๆ ก็ทำลายเซลล์สมองเด็ก และยกตัวอย่างครอบครัวต้นแบบที่งดจอเด็กโตเพื่อป้องกันเด็กเล็กเลียนแบบ “มีลูกหลายคน ยิ่งยากเพราะลูกโตเล่น ลูกเล็กเห็นตามทฤษฎีกระจกเงา ต้องมีวินัยตัวเองเป็นต้นแบบ”
ดร.สุภาภรณ์ ศรีธัญรัตน์ จากศูนย์สุขภาพจิตที่ 10 เสนอเสียงสะท้อนผู้ปกครองเลี้ยงลูกด้วยมือถือ vs. จำกัดชั่วโมงจอ โดยชี้ปัญหาความไม่มั่นใจในการเทรนลูก เมื่อเจอจอเด็กมักบ่นและติดงอมแงม เธอแนะบริหารจัดการ โดยยอมรับ IT ไม่ห้าม แต่กำหนดกติกา เช่น ฟังลูกก่อนกำหนดเวลาเล่น (สะสมไม่เกิน 1 ชม./ครั้ง สูงสุด 2 ชม./วัน เฉพาะเสาร์-อาทิตย์) และใช้ “เวลาอนาคต” ถ้าเกินเล่นครั้งหน้า ลดลงแทนการดุ “พ่อแม่ต้องรีบูตใจตัวเอง มีอดทน ส่งต่อความรอบรู้ดี รู้-เข้าถึง-เข้าใจ-นำไปใช้-ติดตาม” สำหรับชุมชน เธอเสนอเทรนผู้ปกครองเลี้ยงเชิงบวก สื่อสารเชิงบวก ชมเชย และใช้หนังสือนิทานก่อนนอนปิดสวิตช์จอ สังเกตติดจอ 3 ข้อ: 1. ควบคุมไม่ได้ 2. เสียกิจวัตร 3. เล่นต่อแม้ถูกตำหนิ ถ้าครบให้ปรึกษาครู อสม. หรือโรงพยาบาลทันที โดยชี้จิตแพทย์เด็กในเขต 10 (อุบลฯ-มุกดาหาร) มีน้อย ต้องป้องกันตั้งแต่ศูนย์เด็กเล็กผ่านคณะกรรมการท้องถิ่น
ในการบำบัดที่โรงพยาบาล ใช้ยาปรับสมองก่อนเพื่อสงบอารมณ์ ร่วมกับเทคนิค Setting Limit เช่น กอดล็อกจากด้านหลังเพื่อหยุดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่ให้ทำร้ายตนเองหรือคนอื่น และค่อยๆ สอนรู้จักอารมณ์ตัวเอง ดร.พิมพ์ชนก แนะป้องกันตั้งแต่ครอบครัว โดยผู้ปกครองต้องรู้ทันแนวโน้มติดจอ ฟังลูกมากกว่าพูด สร้างกติกา เช่น กินข้าวไม่ใช้จอ เพื่อให้เป็นเวลาคุณภาพ และนั่งข้างๆ ติดตามเวลาเล่น “อย่าบ่นเพราะกลายเป็นแมงวันให้ตี แต่ชวนคิดมุมบวก เช่น เกมช่วยฝึกความเร็ว แต่เกินไปแสบตา” เธอชี้ background TV แม้ไม่ดูตรงๆ ก็ทำลายเซลล์สมองเด็ก และยกตัวอย่างครอบครัวต้นแบบที่งดจอเด็กโตเพื่อป้องกันเด็กเล็กเลียนแบบ “มีลูกหลายคน ยิ่งยากเพราะลูกโตเล่น ลูกเล็กเห็นตามทฤษฎีกระจกเงา ต้องมีวินัยตัวเองเป็นต้นแบบ”
ดร.สุภาภรณ์ ศรีธัญรัตน์ จากศูนย์สุขภาพจิตที่ 10 เสนอเสียงสะท้อนผู้ปกครองเลี้ยงลูกด้วยมือถือ vs. จำกัดชั่วโมงจอ โดยชี้ปัญหาความไม่มั่นใจในการเทรนลูก เมื่อเจอจอเด็กมักบ่นและติดงอมแงม เธอแนะบริหารจัดการ โดยยอมรับ IT ไม่ห้าม แต่กำหนดกติกา เช่น ฟังลูกก่อนกำหนดเวลาเล่น (สะสมไม่เกิน 1 ชม./ครั้ง สูงสุด 2 ชม./วัน เฉพาะเสาร์-อาทิตย์) และใช้ “เวลาอนาคต” ถ้าเกินเล่นครั้งหน้า ลดลงแทนการดุ “พ่อแม่ต้องรีบูตใจตัวเอง มีอดทน ส่งต่อความรอบรู้ดี รู้-เข้าถึง-เข้าใจ-นำไปใช้-ติดตาม” สำหรับชุมชน เธอเสนอเทรนผู้ปกครองเลี้ยงเชิงบวก สื่อสารเชิงบวก ชมเชย และใช้หนังสือนิทานก่อนนอนปิดสวิตช์จอ สังเกตติดจอ 3 ข้อ: 1. ควบคุมไม่ได้ 2. เสียกิจวัตร 3. เล่นต่อแม้ถูกตำหนิ ถ้าครบให้ปรึกษาครู อสม. หรือโรงพยาบาลทันที โดยชี้จิตแพทย์เด็กในเขต 10 (อุบลฯ-มุกดาหาร) มีน้อย ต้องป้องกันตั้งแต่ศูนย์เด็กเล็กผ่านคณะกรรมการท้องถิ่น
 สรุปจากเวทีเสวนานี้ เริ่มจากครอบครัวควรสร้างกติกาเชิงบวก ฟังลูก-นั่งข้างๆ-จำกัดเวลา ส่งเสริมอ่านนิทาน-เล่นแทนจอ โดยชุมชนและอสม. เป็นตัวกลางสื่อสารนโยบาย สร้างเครือข่ายศูนย์เด็กเล็กและโรงพยาบาลป้องกันพัฒนาการล่า คาดนำไปขยายผลระดับท้องถิ่น ลดวิกฤตสมองเด็กไทยทันวิกฤต AI และเด็กเกิดน้อย
นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน เขตพื้นที่ 10 ได้ให้ข้อเสนอเชิงนโยบายของการพัฒนาเด็กปฐมวัยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสังคมสุขภาวะ ว่า “การดำเนินงานจะบรรลุผลได้ ต้อง 1. มุ่งเป้าหมาย : ทั้งการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ , สร้างการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม และเน้นความเสมอภาค ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 2. ด้านกระบวนการ : ต้องสร้างโอกาสการมีส่วนร่วมในระดับชุมชน ท้องถิ่น ที่มีความหมาย และบูรณาการเชื่อมโยงการทำงานภาครัฐ – ภาคเอกชน ดังการมาร่วมเสริมพลังกันจากทุกภาคส่วนของอุบลราชธานีในเวทีนี้”
เวทีครั้งนี้จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสานพลังเชิงนโยบายให้เกิดผลลัพธ์ในพื้นที่จริง เพื่อให้จังหวัดอุบลราชธานีก้าวสู่การเป็น “ต้นแบบเมืองสวัสดิการหนังสือเพื่อเด็กปฐมวัยของประเทศ” อย่างยั่งยืน
สรุปจากเวทีเสวนานี้ เริ่มจากครอบครัวควรสร้างกติกาเชิงบวก ฟังลูก-นั่งข้างๆ-จำกัดเวลา ส่งเสริมอ่านนิทาน-เล่นแทนจอ โดยชุมชนและอสม. เป็นตัวกลางสื่อสารนโยบาย สร้างเครือข่ายศูนย์เด็กเล็กและโรงพยาบาลป้องกันพัฒนาการล่า คาดนำไปขยายผลระดับท้องถิ่น ลดวิกฤตสมองเด็กไทยทันวิกฤต AI และเด็กเกิดน้อย
นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน เขตพื้นที่ 10 ได้ให้ข้อเสนอเชิงนโยบายของการพัฒนาเด็กปฐมวัยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสังคมสุขภาวะ ว่า “การดำเนินงานจะบรรลุผลได้ ต้อง 1. มุ่งเป้าหมาย : ทั้งการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ , สร้างการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม และเน้นความเสมอภาค ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 2. ด้านกระบวนการ : ต้องสร้างโอกาสการมีส่วนร่วมในระดับชุมชน ท้องถิ่น ที่มีความหมาย และบูรณาการเชื่อมโยงการทำงานภาครัฐ – ภาคเอกชน ดังการมาร่วมเสริมพลังกันจากทุกภาคส่วนของอุบลราชธานีในเวทีนี้”
เวทีครั้งนี้จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสานพลังเชิงนโยบายให้เกิดผลลัพธ์ในพื้นที่จริง เพื่อให้จังหวัดอุบลราชธานีก้าวสู่การเป็น “ต้นแบบเมืองสวัสดิการหนังสือเพื่อเด็กปฐมวัยของประเทศ” อย่างยั่งยืน
 
 



