มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

เปิดใจเปิดประสบการณ์ เปิดตัวสองสาวนักสารคดีดาวเด่น ใน ค่าย 11

           จบไปแล้วสำหรับค่ายสารคดีครั้งที่ 11 “ค่ายสร้างคน บันทึกสังคม” ค่ายอบรมด้านการเขียนและถ่ายภาพสารคดีที่ดำเนินการโดยนิตยสารสารคดีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 จนถึงปัจจุบัน ผลิตนักเขียน และช่างภาพสารคดีไว้มากมาย พิธีปิดเป็นไปอย่างอบอุ่นจากบทเพลงที่บรรดาผู้เข้าอบรมได้แอบซุ่มซ้อมนำมาร้องขอบคุณในวันสุดท้ายของโครงการ และงานนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์สองเยาวชนนักสารคดีรุ่นใหม่ ที่โดดเด่นด้านฝีไม้ลายมือจนบรรดาคณาจารย์นักสารคดีมืออาชีพต่างพากันชมเปาะ 
 
 
นางสาว แพรวนภางค์ กัปตัน รับรางวัลชุดภาพสารคดีดีเด่น อันดับ 2
จากผลงาน ‘บ้านไร่ไออรุณ : มากกว่าบ้านคือชีวิต(ที่ออกแบบ)ของ วิโรจน์ ฉิมมี
 
            คนแรก น้องแพรว นางสาวแพรวนภางค์ กัปตัน หนึ่งในสองนักสารคดีหน้าใหม่ เกริ่นถึงภูมิหลังและประสบการณ์ด้านการเข้าค่ายของตัวเองว่า แต่เดิมนั้นเธอเป็นเด็กค่าย แต่เป็นค่ายอาสา และนี่ถือเป็นค่ายนักเขียนค่ายแรกของเธอ ส่วนประสบการณ์ด้านงานเขียนนั้น แพรวบอกว่า นอกจากไดอารี่แล้ว ที่เคยเขียนอย่างจริงจังก็เมื่อครั้งยังเรียนอยู่มัธยมฯโน่น เขียนเพราะครูมีหัวข้อมาให้ “แล้วหนูก็เขียน พอได้รางวัล ครูก็ให้เขียนอีก ซึ่งความรู้สึกต่อการเขียนอาจจะไม่ได้ลึกซึ้งมาก แต่ตอนนี้ที่อยากเขียน เพราะว่าหนูได้เดินทาง ไปเจอผู้คน ไปทำค่าย ออกค่าย แล้วอยากกลับมาเล่า เลยลองมาสมัครค่ายนี้”
 
สำหรับมุมมองต่อนักสารคดีของแพรว เธอมองว่า “การเป็นนักสารคดี ต้องเป็นคนรอบรู้ เป็นนักคิด”
 
            ขณะนี้ แพรวศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 6 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะซึ่งดูไม่เกี่ยวข้องกับงานสารคดีเลยแม้แต่น้อย เลยต้องถามถึงวิธีการฝึกฝนของเธอ จากคนที่ไม่รู้เลยว่าสารคดีคืออะไร เธอทำอย่างไร?
 
            “หนูก็หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่าสารคดีคืออะไร แต่ก็ยังไม่เข้าใจ เลยไปอ่านงานของเด็กค่ายสารคดีที่เขาเขียน  เอามาอ่านหลายๆ ชิ้น แล้วจับความว่า มีขึ้นต้นแบบนี้ มีแบ่งตอน มีการอ้างอิงจากพจนานุกรมตรงนี้ จากหนังสือเล่มนี้ มีวันที่  แล้วคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้นะ… แค่น่าจะ คิดเอง แล้วก็เขียนส่งไป”
 
ซึ่งแพรวก็เอ่ยปากว่า ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับการคัดเลือก
 
             “ตอนที่ผ่านเข้ารอบสัมภาษณ์ หนูจำได้เลย ครูวี (นายวีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง)ถามว่า มีคนตั้งเยอะแยะ ให้บอกเหตุผลว่าทำไมต้องรับหนู หนูก็เลยบอกว่า เพราะว่าหนูรักที่จะเขียน แล้วหนูก็เป็นคนที่มุ่งมั่น พยายาม หนูอยากจะเขียน แต่เขียนไม่เป็น  ถ้าค่ายนี้เป็นค่ายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสอนให้คนที่มีพื้นฐานน้อยคนหนึ่งได้เขียนเป็น หนูก็จะทำให้ได้”
 
            แล้วแพรวก็ทำได้ งานเขียนในค่ายสารคดีมีทั้งหมด 4 ชิ้น  2 ชิ้นจากการพาลงพื้นที่โดยคณะทำงานโครงการค่ายสารคดีครั้งที่ 11  และจากหัวข้อที่ครูวิทยากรกำหนดอีก 1 ชิ้น กับชิ้นสุดท้าย เป็นผลงานที่ทั้งนักเขียนและช่างภาพสามารถแสดงตัวตนและความสามารถออกมาได้มากที่สุด เพราะมีสิทธิ์เลือกประเด็นเอง แพรวบอกว่างานชิ้นดังกล่าวได้รับคำชมว่าเป็นงานชิ้นที่ดีที่สุดในกลุ่มย่อย และผลงานชิ้นนี้ นอกจากเขียน เธอยังถ่ายภาพเองอีกด้วย
 
            “จริงๆ หนูเข้ามาอบรมในส่วนงานเขียนค่ะ ไม่ใช่ถ่ายภาพ แต่คิดว่าไหนๆ ก็ไปลงพื้นที่อยู่แล้ว ก็เลยลองถ่ายดู ทำเรื่องบ้านไร่ไออรุณ ของ พี่เบส วิโรจน์ ฉิมมี เป็นสถาปนิกที่เคยทำงานในกรุงเทพ แต่เขาไม่ได้มีความฝันว่าอยากเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เขาแค่อยากกลับไปสร้างบ้านให้พ่อแม่อยู่ อยู่กับพ่อแม่ มีไร่เล็กๆ เขาคิดแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาก็เลยลาออกกลับไปอยู่บ้าน เอาเงินเดือนเดือนแรกไปสร้างบ้าน จนชนะการประกวด My Home จากคนที่ลาออกจากงานโดยยึดมั่นในความฝัน ตอนนั้นคนภายนอกก็คงดูว่าเพ้อเจ้อที่ทำแบบนี้ แต่ในที่สุดเขาก็สามารถทำฝันให้เป็นจริง”
 
สารคดีชิ้นนี้ดูเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวบุคคล 
 
            “หนูสนใจเกี่ยวกับคน และคิดว่า ชีวิตที่เราอยู่ทุกวันนี้ เรายึดโยงอยู่กับคน เหมือนอย่างหนูรู้จักใครคนหนึ่ง ได้คุยกัน หนูอาจจะได้คำพูดของเขา หรืออะไรจากเขา ซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่ดี หนูก็จะได้พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ  การเดินของเราไม่ได้ตรงไปอย่างเดียว ข้างๆ ก็มีคนเยอะแยะมากมาย ตัวหนูตั้งแต่ ม.1 – ม.2 จนถึงทุกวันนี้ ก็เปลี่ยนไปเพราะคน เพราะเหตุการณ์ที่เจอ”
 
จบค่ายนี้คิดว่าจะทำสารคดีต่อไหม?
 
            “ทำค่ะ หนูยังคิดว่าจะเขียนต่อไป ตอนนี้ในหัวคิดเรื่องไว้เยอะแยะเลย มีเรื่องที่อยากจะถ่ายทอด เป็นความมันส่วนตัวนะ คิดแต่ว่า เรื่องนี้ก็น่าจะบอกเล่าให้คนรู้นะ ยังมีคนไม่รู้ เป็นความอยากทำ”
 
            เราได้ยินแต่คำว่า อยาก และพยายาม ทุกสิ่งที่แพรวทำ ดูไม่มีเรื่องของการแข่งกับคนอื่น “หนูเข้ามาไม่ได้หวังจะได้รางวัลอะไรอยู่แล้ว หนูเข้ามาจากเขียนไม่เป็น ตอนนี้เขียนเป็นก็ดีแล้ว 
 
แล้วรางวัลส่งผลอะไรกับเราบ้างไหม?
 
            “บอกว่าไม่ดีใจเลยก็เสแสร้งไปไหม (หัวเราะ) หนูก็ดีใจ เหมือนเป็นการยืนยันความทุ่มเทของเรา เป็นการบอกว่า เรามาถูกทางแล้วมั้ง ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง ที่หนึ่ง ที่สอง แต่คือการมีครูที่เขาสอนเรา ให้รางวัลเรา นั่นมีค่าพอๆ กับคำชมของครูที่บอกเราว่าทำงานดี และหนูไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าเพื่อนเลย หนูก็ไม่ได้เก่ง แต่หนูทุ่มเท แล้วก็ฟัง เอาคำที่ครูสอนไปปรับใช้ หนูรู้สึกว่าตั้งใจมากเลยนะที่ค่ายนี้  รู้สึกว่าความรู้ด้านงานสารคดีสำหรับตัวเองเป็นศูนย์ ทุกคำที่ครูพูดเป็นสิ่งใหม่ สมุดหมดไปครึ่งเล่มแล้ว นี่ก็ต้องจด นี่ก็ต้องจำ นั่งหน้าสุดไม่เคยหลับ ขนาดความเห็นของเพื่อนยังจดเลย แต่ตอนหนูเรียนที่คณะ จะนั่งหลังสุด จดก็ไม่จด (หัวเราะ)”
 
             มาถึงเด็กสาวคนที่สอง นลิน นางสาวนลิน สินธุประมา นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เยาวชนที่เข้าร่วมอบรมในค่ายสารคดีครั้งที่ 11 และได้รับรางวัลงานสารคดีดีเด่น พูดถึงความกลัวของเธอว่า “จริงๆ ช่วงแรกที่มาเข้าค่าย รู้สึกว่าทรมานตัวเอง เพราะไม่ชอบคุยกับคน ไม่ชอบสัมภาษณ์คน กลัวคนแปลกหน้า แต่คิดว่า ถ้าเข้ามาในค่ายสารคดี เราจะโดนบังคับให้เจอผู้คน โดนบังคับให้ไปสัมภาษณ์ ทำยังไงให้เก็บข้อมูลออกมาให้ได้ แล้วก็เขียนงานออกมาให้ได้ ก็เลยอยากหาเรื่องพาตัวเองไป ก็ลองทำดู แล้วตอนที่ลงพื้นที่ เราก็แตกตื่น วิตกจริตมาก เพราะต้องทำสิ่งที่ไม่ถนัด แต่ว่า หลังจากไปทำอะไรที่มันรู้สึกแตกตื่นวิตกจริตเสร็จ พอเอามาประมวลจนออกมาเป็นสารคดีเรื่องหนึ่งแล้ว เราภูมิใจมาก รู้สึกว่านี่ไม่ใช่แค่งานชิ้นหนึ่งที่เราสร้าง แต่รู้สึกว่าเราเอาชนะตัวเองได้ในระดับหนึ่ง กับสิ่งที่เคยกลัวมันมาก่อน รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น
 
ที่บอกว่าไม่ชอบคุยกับคน ไม่ชอบสัมภาษณ์คน เป็นเฉพาะกับผู้ใหญ่หรือเปล่า งานชิ้นสุดท้ายเลยเลือกทำเรื่องเด็ก?
 
            “เรากลัวเด็กมากกว่าผู้ใหญ่อีก (หัวเราะ) เราเล่นกับเด็กไม่เป็น เลือกทำเรื่องนี้เพราะประเด็นล้วนๆ สนใจเรื่องการศึกษามาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เรื่องสั้นก็เขียนแต่เรื่องโรงเรียน (เรื่องสั้น โรงเรียนที่ไม่มีเสาธง ของนลิน เคยได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากงานประกวด มติชน อวอร์ด ปีที่ 2) เลยทำเรื่องเด็กนักเรียนพม่าที่รังสิต แถวตลาดไทยมีแรงงานต่างด้าวเยอะ ส่วนหนึ่งที่เลือกทำประเด็นเด็ก เพราะประเด็นแรงงานเคยมีคนพูดถึงแล้ว  และพอลงไปดูที่ศูนย์จริงๆ  ถ้าไม่คิดในแง่ว่าเด็กๆ เหล่านั้นมีเชื้อชาติอะไร เขาอยู่ตรงนี้ในสถานะอะไร เขาก็คือเด็กคนหนึ่ง ซึ่งก็ควรจะมีอนาคตของเขา ควรจะเลือกได้ว่าอนาคตจะอยากเป็นอะไร ควรจะได้รับการศึกษาแบบไหน เราว่าที่นี่เป็นภาพแทนกลุ่มเด็กพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเขาก็มีข้อจำกัดต่างๆ ในการที่จะได้รับการศึกษา ในการที่จะเติบโต เรารู้สึกว่าน่าทำ”
 
แล้วความรู้สึกต่อรางวัล?
 
          “ก็รู้สึกว่าเราตั้งใจ แล้วถ้าได้รางวัลก็ดี แต่ที่ทำให้ปลื้มปริ่มดีใจก็คือ งานของเราน่าจะได้ตีพิมพ์ในนิตยสารสารคดี ได้บอกเล่าเรื่องของเด็กๆ ให้คนอื่นได้รู้”
 
 
 
 
นางสาวนลิน สินธุประมา รับรางวัลงานเขียนสารคดี ดีเด่น อันดับที่ 1
จากผลงาน ‘มาผลิบานในบ้านเพื่อน : สำรวจโลกตะปุ่มตะป่ำของนักเรียนเมียนมาแห่งตลาดไทย’
 
 
 
            ยังมีหนุ่มสาวอีกมาก ที่มีความฝัน และกำลังพยายามสานฝันนั้นอยู่ เช่นนลินและแพรว รางวัลที่พวกเธอได้รับเป็นเครื่องยืนยันได้ในด้านคุณภาพงาน แต่สำคัญกว่านั้นตรงที่บทสนทนาของทั้งคู่ บอกเราถึงเบื้องหลังความสำเร็จ ว่าเป็นเพราะความพยายาม ไม่มีโชคช่วย ไม่มีเหตุบังเอิญ 
 
           ขอเป็นกำลังใจให้สองสาวนักสารคดีหน้าใหม่ ให้ยังคงเดินหน้าทำงานต่อไปอย่างมุ่งมั่น เพื่อพัฒนาฝีมือ จนได้เป็นดาวดวงใหม่ประดับวงการงานสารคดีไทยในอนาคต
 
 
ผู้เข้าอบรมงานเขียนและภาพถ่ายสารคดีถ่ายภาพร่วมกับวิทยากร

 
ประธาน สำราญรัมย์
แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน