อ่านหนังสือ อ่านใจตนเอง…
โดย…ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
http://www.facebook.com/danai.chanchaochai

ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ ระบุถึงคุณลักษณะของคนไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าสู่อาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า อ่านแล้วอย่าตกใจครับ เริ่มต้นจากคนไทยขาดนิสัยรักการอ่าน ทำให้ขาดทักษะด้านภาษา คือ ไม่สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ ไม่ตรงต่อเวลา ย่อหย่อนต่อวินัย ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม ไอคิวค่อนข้างต่ำ ไม่ซื่อสัตย์สุจริต มีค่านิยมไม่เหมาะสม ขาดการคิดวิเคราะห์และคิดรวบยอด และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งยั่วยุ หมายถึง คนไทยเป็นคนที่ยุง่าย ขาดวิจารณญาณ เนื่องจากไม่มีพื้นฐานความรู้ที่ดีพอ
น่าสนใจและน่าตกใจครับ สังคมไทยเป็นสังคมยุขึ้น ใครพูดอะไรก็เชื่อตามๆ กัน ขัดกับหลักกาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ให้อย่างสิ้นเชิง สาเหตุหลัก คือ เรื่องการอ่าน จึงไม่สามารถคิดวิเคราะห์ พิจารณาไตร่ตรองได้ด้วยตนเอง
คนไทยปัจจุบันเสพติดสื่อออนไลน์มากอันดับต้นของโลก ไม่ว่าจะเป็นการใช้เฟซบุ๊ก ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ขึ้นแท่นเมืองที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กอันดับหนึ่งของโลก แถมยังมีการอัพรูปขึ้นอินสตาแกรม ทวิตเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ยูทูบ และสื่อต่างๆ โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้เพื่อการเรียนรู้พัฒนาตนเอง รวมทั้งระบบการศึกษาในภาพรวมที่ถอยหลังลงเรื่อยๆ จากการสำรวจล่าสุดของเวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่มที่หลายคนออกมาปฏิเสธว่าไม่จริง เพราะยอมรับไม่ได้ว่าคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยรั้งท้ายในอาเซียน อยู่ในอันดับที่ 8 แพ้แม้กระทั่งเวียดนามและกัมพูชา ขณะนี้ชนะอยู่แค่ลาวและพม่าเท่านั้น!
เรื่องนี้ผมยืนยันว่าใช่ครับ ในฐานะที่เป็นกรรมการอยู่ในหลายองค์กร และมีโอกาสคัดเลือกผลงานระดับประเทศ พอตรวจข้อสอบตกใจ นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยยังเขียนหนังสือไม่ได้ สะกดคำไม่ถูกต้อง สำนวนภาษากระท่อนกระแท่น แสดงถึงการอ่านน้อย จึงไม่สามารถเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดออกมาอย่างสละสลวยได้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ชี้ว่า ปัจจุบันเด็กไทยมีอัตราการอ่านหนังสือลดลง เฉลี่ยเพียง 2-5 เล่มต่อปีเท่านั้น และยิ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งมีสถิติอ่านหนังสือเฉลี่ย 50-60 เล่มต่อปี เห็นได้ชัดเจนว่าพฤติกรรมการอ่านหนังสือมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของประชาชน และระดับการศึกษา อันจะส่งผลต่อการแข่งขันและฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
หนึ่งในปัญหาสำคัญของสังคมไทยคือ “นิสัยการรักการอ่านของเด็ก” ซึ่งผู้ใหญ่มีอิทธิพลต่อการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็ก แต่ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่กลับอ่านหนังสือน้อยกว่าเด็กเสียอีก ดังนั้นการโน้มน้าวให้ผู้ใหญ่หันมาอ่านหนังสือมากขึ้น มีความสุขในการอ่าน และตื่นตัวในการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ให้กับตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ และยิ่งไปกว่านั้นคือ การเป็นตัวอย่างพูดจริงทำจริง สร้างวัฒนธรรมการอ่านให้อยู่ในวิถีชีวิตโดยผู้ใหญ่ทำเป็นตัวอย่างให้เด็กดู จะช่วยสร้างนิสัยรักการอ่านได้อย่างยั่งยืน
กล่าวมาทั้งหมดจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ “อ่านล้านเล่มประเทศไทย” One Million Read Thailand ภายใน 6 เดือน ตั้งแต่เดือน ต.ค.ศกนี้-มี.ค.ปีหน้า โดยองค์กรหลากหลายภาคส่วนลุกขึ้นมาผนึกกำลังกันชักชวนคนไทยให้ช่วยกัน อ่านอย่างน้อย 1 ล้านเล่ม โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้างผู้นำการอ่าน Thailand Master Reader ซึ่งจะได้รับการอบรม การยกย่องประกาศเกียรติคุณ และอาจได้มีโอกาสไปทัศนศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย เนื่องจากโครงการนี้ริเริ่มโดยสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น กรุงเทพมหานคร สสส. ศศินทร์ มูลนิธิธรรมดี และอีกมากมาย สนใจดูรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊ก “อ่านล้านเล่มประเทศไทย”
ศาสตราจารย์ระพี สาคริก อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้กล่าวในงานแถลงข่าว ว่า การอ่านหนังสือเป็นการสร้างสมาธิ สาเหตุที่คนญี่ปุ่นอ่านหนังสือกันมากจึงเป็นการฝึกสมาธิของชาวญี่ปุ่น ซึ่งผมเห็นด้วยว่าสมาธิของคนไทยในปัจจุบันลดน้อยลงมาก อ่านหนังสือได้ไม่นานก็มัวพะวักพะวงเช็กข้อความบนโทรศัพท์มือถือหรือในโซ เชียลมีเดียต่างๆ สิ่งที่ขออนุญาตแนะนำคือ ต้องปิดเครื่องมือสื่อสารทั้งหมดก่อนเริ่มต้นอ่าน ไม่งั้นอ่านไม่จบแน่นอน … ต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวครับ!
นอกจากนี้ คุณพ่อระพียังได้กล่าวด้วยว่า การอ่านหนังสือเปรียบเสมือนเป็นการอ่านใจตนเอง รู้จักจิตใจของตนเอง และยังเป็นการเข้าถึงจิตใจของนักเขียนด้วย โดย น้องขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร ผู้เขียนหนังสือ “สมองสงสัย ใจตอบ” ได้เปิดเผยข้อมูลน่าสนใจว่า สมองเปรียบเหมือนต้นไม้ หากไม่ได้ใช้ก็จะเหี่ยวเฉาและตายลงไป หากไม่ได้ฝึกฝน ไม่ได้อ่าน กิ่งก้านสาขาของเซลล์ในสมองจะฝ่อลงไปเรื่อยๆ แต่ข่าวดีคือ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ หากเราเข้าใจในธรรมชาติสมอง ไม่มีคำว่าสายครับ เริ่มต้นอ่านวันนี้ เซลล์สมองจะขยายตัวงอกงามขึ้นเรื่อยๆ
หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะเป็นคนหนึ่งที่เห็นความสำคัญของการอ่าน อ่านสร้างผู้นำ อ่านสร้างอนาคต อ่านสร้างประเทศไทย ดังพระพุทธวจนที่กล่าวว่า แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี นตฺถิ ปัญญา สมาอาภา ขอให้ทุกคนลุกขึ้นมาเป็นผู้นำการอ่าน สร้างแสงสว่างให้กับชีวิต จิตใจ และสังคมไทยของเราต่อไป
ขอบคุณที่มาของข่าวจาก http://www.posttoday.com

