ระดมความคิด สร้างไทยด้วยวัฒนธรรมการอ่าน
หากนึกถึงการแสวงหาความรู้ประเภทต่างๆ คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การอ่านเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด เนื่องจากผู้อ่านสามารถเลือกอ่านหนังสือได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น ข่าวสาร สารคดี หรือบันเทิงคดี เป็นต้น นอกเหนือจากได้ขุมพลังทางปัญญาแล้ว ผู้อ่านสามารถเกิดพัฒนาการทางด้านสติปัญญาอีกด้วย ยิ่งอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ สมองก็จะเกิดการพัฒนามากเท่านั้น และถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่รัฐบาลจัดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อกระตุ้นให้คนในประเทศ หันมาหยิบหนังสืออ่านมากขึ้น
หากกลับมามองในแง่ของความเป็นจริง พบว่าในยุคปัจจุบันคนไทยอ่านหนังสือน้อยลงมาก และให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยลงไปด้วย อาจเป็นเพราะคนไทยนิยมหันไปเสพสื่อเทคโนโลยีต่างๆ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน การอ่านในบ้านเรายังน้อยกว่า สิงคโปร์ และเวียดนาม และมีข้อมูลที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เมื่อพบว่า เด็กวัยประถมศึกษา และมัธยมศึกษาหลายคน อ่านหนังสือไม่ออก เพื่อให้การส่งเสริมการอ่าน นำสู่การสร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่ เพื่อสังคมไทย ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการอ่าน ร่วมกับ แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้จัดประชุมสัมมนาระดมความคิด เรื่อง “ศึกษาวิจัย สร้างไทยด้วยวัฒนธรรมการอ่าน” ณ ห้องประชุมชั้น 2 สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมจากหลากหลายสาขาวิชาชีพ อาทิ นักเขียน , นักสร้างสรรค์หนังสือและกิจกรรมเด็ก, ผู้แทนภาครัฐด้านส่งเสริมการอ่าน, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, สมาคมต่างๆ ฯลฯ
ดร.ครรชิต มาลัยวงศ์ ราชบัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์ ประธานในการประชุมครั้งนี้ ให้ความคิดเห็นในประเด็นเรื่องการอ่านว่า ในปัจจุบันการอ่านเป็นเรื่องที่คนไทยยังไม่ค่อยใส่ใจมากนัก ในปัจจุบันอัตราการเกิดของหนังสือมีมากกว่าจำนวนนักอ่าน และเมื่อผมสำรวจงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่ามีน้อยมาก“ผมว่าความสามารถของคนเรามีทั้ง ความสามารถในทางวิชาชีพ ,การสื่อสาร ,การไตร่ตรอง ,การใช้คอมพิวเตอร์ ,การคิดโดยตรง และการจัดการ ซึ่งความสามารถเหล่านี้จะไปเชื่อมโยงกับการอ่าน ถ้าเราเน้นให้เกิดพัฒนาการอ่าน ความสามารถในด้านต่างๆ ก็จะพัฒนาตามมาด้วย ยิ่งหากมีการชี้แนะ ชักชวนอ่านด้วยกัน หรือมีงานวิจัยที่มีข้อค้นพบว่า เราจะส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่ม ชักชวนอ่านด้วยกัน ตั้งชมรมการอ่านกันเองได้อย่างไร ก็จะเป็นประโยชน์” ดร.ครรชิต กล่าว
ส่วนครูสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์ ครูอาวุโส เจ้าของตำแหน่ง “คนดีศรีสยาม ครูของแผ่นดิน” ท่านได้แสดงความคิดเห็นว่า ทุกวันนี้การอ่านเป็นเครื่องมือหนึ่ง ในการสร้างเสริมศักยภาพของมนุษย์สู่กระบวนการสร้างปัญญา การที่จะให้เกิดปัญญานั้น กลุ่มเป้าหมายต้องรู้เท่าทันกระแสโลก ทั้งด้านข้อมูลข่าวสาร และความเคลื่อนไหว เป็นต้น ทุกวันนี้เยาวชนไทยถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมชาติตะวันตก อาทิ การแต่งกาย, การพูด, การเขียน ฯลฯ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เยาวชนเหล่านั้นหลงลืมวัฒนธรรมไทย
“ในหลวงทรงตรัสไว้ว่าปัจจุบันการสูญเสียของชาติ ไม่ใช่เสียแผ่นดินเหมือนในครั้งประวัติศาสตร์ แต่เป็นการสูญเสียวัฒนธรรม ถ้าจะมีงานวิจัยด้านการอ่าน ทำอย่างไรให้การอ่านมีความเหมาะสมในแต่ละวิถีของท้องถิ่น อาจจะลองตอบโจทย์ เช่น 1. การอ่านคืออะไร เป้าหมายที่ต้องการจะให้ไปถึงไหน ถ้ามองว่าการอ่านเป็นเครื่องมือหนึ่ง ในการสร้างเสริมศักยภาพมนุษย์ เราอาจต้องการเป้าหมายให้ไปถึง “ปัญหา” อ่านชีวิตออก ไม่ใช่แค่อ่านหนังสือ 2. เราจะสร้างเสริมการอ่านที่เข้มแข็งได้อย่างไร สร้างแรงจูงใจในแต่ละกลุ่มเป้าหมายให้เขาเกิดทัศนคติที่ดีต่อการอ่านได้อย่างไร 3. ทำอย่างไรให้ชุมชน ในยุคที่กำลังหลงลืมรากเหง้าของตนเอง คืนกลับเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ด้วยการอ่าน และเราจะสร้างให้เกิดผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร หากมีภาควิชาการมาเสริมด้านนี้ เชื่อว่าภาคนโยบายน่าจะสนองตอบ” ครูสุรินทร์ อภิปราย
รศ.ดร.อรศรี งามวิทยาพงษ์ สำนักบัณฑิตย์อาสาสมัคร เสนอความคิดเห็น “การอ่านสามารถพัฒนามนุษย์ได้ เพราะมีลักษณะเฉพาะ คือ ต้องมีคนสอน ซึ่งนั่นเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แล้วเราจะใช้การอ่านสร้างความสัมพันธ์แบบไหน อย่างไรในกลุ่มต่างๆ เช่น เด็กปฐมวัย วัยรุ่น ฯลฯ ในขณะที่สื่ออื่นมักจะสำเร็จรูป แต่คุณค่าสื่ออ่านมีคุณค่าสูงมาก ในการสร้างจินตนาการ และการอ่านสามารถทำได้จนถึงการพัฒนาจิตวิญญาณ แล้วเราจะทำให้ถึงตรงนั้นได้อย่างไร” รศ.ดร.อรศรี กล่าว
ด้านนายภูเบศร์ จูละยานนท์ ได้แสดงทัศนะ “การที่จะสร้างวัฒนธรรมการอ่านนั้น ก่อนอื่นต้องสร้างที่สถาบันครอบครัวเป็นอันดับแรก ถ้าพ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกอ่าน เด็กก็จะเกิดความกระหายที่จะหาหนังสือมาอ่าน ซึ่งวิธีการที่จะทำให้เด็กอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ คือ ให้เขาอ่านที่ไหนก็ได้ อย่าไปรบกวนเขา แต่เมื่อเด็กเดินเข้าร้านหนังสือก็มักจะถูกคนดูแลร้านเชิญให้ออกจากร้าน เพราะคิดเพียงแต่ว่าเด็กมาอ่านเฉยๆ ไม่ได้ซื้อกลับไป นี่เป็นการขัดขวางกระบวนการอ่านของเด็ก โดยสิ้นเชิง”
“ หากมีงานวิจัย งานวิชาการ น่าจะนำเสนอให้เกิดการส่งเสริมการอ่าน ในเชิงปฏิบัติ ผมว่าเราน่าจะมีมุมหนังสือบนโบกี้รถไฟ สำหรับในพื้นที่ จัดรถอีแต๋น หรือรถตู้ ให้เข้าถึงชุมชน เช่น ห้องสมุดเคลื่อนที่ ฯลฯ ” นายภูเบศร์ กล่าวทิ้งท้าย
รศ.ดร.สรนัฐ ไตลังคะ นายกสมาคมภาษา และหนังสือแห่งประเทศไทย ให้ความเห็น “ดิฉันว่าน่าจะมีการศึกษาด้านสถานภาพของการอ่าน ว่ามีมากน้อยแค่ไหน เรามีองค์ความรู้ด้านนี้เรื่องใดบ้าง อะไรขาด อะไรมีอยู่แล้ว จะได้ไม่ซ้ำซ้อนกับงานที่เคยทำไปแล้ว อยากให้งานวิจัยที่จะเกิดขึ้น ให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายเด็ก และเยาวชน และควรนำเสนอการลงทุนด้านการอ่านในระดับท้องถิ่น ,ชุมชน ถ้าเป็นงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ นำไปปฏิบัติได้ ก็จะยิ่งดี” รศ.ดร.สรนัฐ กล่าว
คุณเสาวนิตย์ ยโสธร หัวหน้ากลุ่มโสตวัสดุ และกิจกรรมห้องสมุด แสดงความเห็นว่า แนวทางการส่งเสริมการอ่านที่จะบังเกิดผล มักจะขึ้นอยู่กับนโยบายด้วย ถ้าเป็นงานวิจัยที่สามารถนำเสนอต่อระดับนโยบาย ก็จะช่วยเรื่องการขับเคลื่อนการอ่านได้มาก
คุณชนินทร์ ชมะโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทพาโนราม่า เวิลด์ ไวด์ จำกัด แสดงทัศนะคติ “ การสร้างบรรยากาศที่ดีจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการอ่าน ก่อให้เกิดสมาธิที่ดี และการสร้างบรรยากาศนั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างแต่ในห้องสมุด ทุกพื้นที่ในชุมชนก็สามารถสร้างบรรยากาศเกิดการอ่านได้” คุณชนินทร์ เสนอข้อคิดเห็น
อ.อัจฉรา ประดิษฐ์ หัวหน้าสาขาวิชาเอกวรรณกรรมสำหรับเด็ก แสดงความเห็น “ ขณะนี้มีข้อมูลที่พบว่า เด็กประถมฯ อ่านไม่ออกทั่วประเทศ ราวหกหมื่นคน จะทำอย่างไรให้งานวิชาการ งานวิจัย มาสนับสนุน เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จะมีวิธีส่งเสริมอย่างไรให้เด้กอยากอ่านหนังสือด้วยตัวเอง หรือปัจจัยที่สร้างความหลากหลายของหนังสือ เพื่อสร้างความสนใจแก่ผู้อ่าน หรือแม้กระทั่งทำอย่างไรให้ราคาหนังสือไม่แพง และกระจายได้ทั่วถึง ทำอย่างไรให้บรรณารักษ์ได้มุ่งมั่นทำหน้าที่ส่งเสริมการอ่าน ฯลฯ” อ.อัจฉรา พูด
นายสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียนเจ้าของนามปากกา “นิ้วกลม” นักเขียนรุ่นใหม่ขวัญใจวัยรุ่น โดยได้กล่าว “ ทำไมคนไม่อ่านหนังสือ กับ ทำอย่างไรให้คนอ่านหนังสือ ผม ว่าเมืองไทยเราน่าจะมีวันกวีแห่งชาติ เหมือนอย่างสากล อาทิ วัน “รงษ์ วงศ์สวรรค์” หรือถ้าเป็นละครก็อยากให้มี ละครเกี่ยวกับชีวประวัตินักเขียนคนสำคัญ คนรุ่นใหม่จะได้เข้าใจความเป็นนักเขียนมากขึ้น รวมทั้งดึงเอาต้นแบบที่เด็กชอบ มาเป็นไอดอลด้านการอ่าน อย่างเช่น เด็กชอบตูน นักร้องวงบอดี้แสลม ก็จะไปถามพี่ตูน ว่า หนังสือเล่มไหนที่เป็นแรงบันดาลใจให้พี่ตูนแต่งเพลง พอเด็กได้คำตอบจากไอดอลของเขา ก็จะไปหาหนังสือเล่มโปรดของไอดอลมาอ่านตาม หากจะมีงานวิจัย ก็อาจเป็นไปเพื่อสร้างความสนใจ ทั้งการ”อ่านทำไม ? จะอ่านอะไร และอ่านอย่างไร” คุณสราวุธ กล่าว
นี่คือบางส่วน บางแง่มุม จากการประชุมระดมความคิด เพื่อร่วมกันหาแนวทางจัดทำงานวิจัย งานวิชาการ เพื่อเป็นฐานสำคัญของการเสริมสร้างวัฒนธรรมการอ่าน ด้วยความปรารถนาให้คนไทยรักการอ่านยิ่งขึ้น ขณะนี้แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ได้เปิดการสนับสนุนทุน สำหรับวิทยานิพนธ์ และสาระนิพนธ์ ด้านการส่งเสริมการอ่านด้วยแล้ว สามารถติดตามเวทีวิชาการที่น่าสนใจ และติดตามรายละเอียดได้ที่ www.happyreading.in.th