“พาหนังสือขึ้นเกาะ”
“พาอะไรมา พาอะไรมากัน” เป็นประโยคที่พวกเราได้ยินตลอดเส้นทาง นับแต่ลงจากรถตู้ที่ท่าเรือบ้านหาดยาว แล้วลงเรือ ขึ้นเรือ ต่อรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ก็ยังมีเสียงชาวบ้านถามไถ่ตลอดทางว่า “พาอะไรมาด้วย”
หลังจากคุ้นเคยกับคำว่า ‘พา’ ไม่ช้าก็ตอบออกไปไม่ลังเลว่า “พาหนังสือมาให้เด็กๆ ที่นี่ละค่ะ”
เมื่อไม่นานมานี้ พวกเราได้มาเที่ยวที่เกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นเกาะไม่เล็กในทะเลอันดามัน ซึ่งโดยปกตินักท่องเที่ยวชาวไทยมักไม่ค่อยมากันนัก เพราะชายหาดไม่งดงามเท่าเกาะใกล้เคียง แต่เมื่อเรามาถึง ได้เดินเล่นในหมู่บ้าน จึงพบเสน่ห์ชวนให้ติดหนึบ เนื่องจากชาวบ้านใจดีมากๆ อีกอย่างคือมีเด็กๆ เยอะมาก เยอะจริงๆ ซึ่งที่อื่นอาจจะมีเด็กมากเช่นกัน แต่คงไม่ได้ออกมาเล่นนอกบ้านกันเป็นล่ำเป็นสันมากขนาดนี้ เหตุเพราะที่นี่มีไฟฟ้าเพียงแค่ ๑๒ ชั่วโมงในหนึ่งวัน ดังนั้น เด็กๆ จึงไม่ต้องเสียเวลาจ่อมจมอยู่หน้าจอโทรทัศน์ นี่แหละเสน่ห์ที่หมายถึง เพราะทั้งเช้าทั้งเย็นเราแทบจะไม่ได้ยินเสียงจากจอโทรทัศน์เลย นอกจากเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างร่าเริงของเด็กๆ
ตามประสาคนชอบยุยงให้แด็กๆ ได้มีหนังสืออ่านกัน จึงเกิดความคิดว่าน่าจะกลับไปหาหนังสือดีๆ มาให้เด็กๆดีกว่า เพราะที่นี่ไม่มีคู่ต่อสู้หมัดหนักอย่างโทรทัศน์ ฉะนั้น เด็กๆ และพ่อแม่คงจะสนใจหนังสือมากเป็นพิเศษ และนี่เองคือที่มาของการ “พาหนังสือมาขึ้นเกาะ”
การหอบหิ้วหนังสือมาในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน พวกเรากำหนดกลุ่มเป้าหมายเอาไว้ ๓-๔ กลุ่ม คือ ครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก กลุ่มครอบครัว ครูและนักเรียนชั้นอนุบาล เมื่อได้รับข้อมูลจำนวนเด็กแล้วตกใจ เหลือบมองหนังสือที่นำมาด้วย…มันจะเพียงพอไหมเนี่ย เด็กๆ ตั้งหลายร้อยคน นี่แค่วัยแรกเกิดจนถึง ๗ ขวบเองนะ จึงเกิดการชักเข้าชักออกตลอดเวลาที่คัดแยกหนังสือออกเป็นกองๆ เพื่อเตรียมไปมอบวันต่อๆ มาหลังจากทำกิจกรรมกันแล้ว
เกาะลิบงตั้งอยู่ในตำบลเกาะลิบงซึ่งมีด้วยกัน ๘ หมู่บ้าน แต่บนเกาะลิบงจริงๆ มี ๔ หมู่บ้าน อีก ๔ หมู่บ้านอยู่ในเขตตำบลเกาะลิบงเช่นกัน แต่ไปตั้งอยู่บนฝั่งแผ่นดินไม่ใช่อยู่บนเกาะ ทำเอาพวกเรางงกันอยู่พักใหญ่ บนเกาะลิบงมีถนนสายหลักสายเดียวตรงจากท่าเรือ (บ้านพร้าว) ผ่านสวนยาง ผ่านหมู่บ้านอีก ๒ หมู่ ถึงบ้านหลังเขา ความยาวประมาณ ๗ กิโลเมตร ทำให้เราแสนสะดวกในการทำงาน เพราะซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปมาได้เป็นสิบๆ รอบในหนึ่งวัน และที่น่ารักที่สุดคือ ชาวบ้านทุกคนบนเกาะต่างรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งหมด สามารถร้องทักทาย สนทนาปราศัยกันได้หมด … ขอบอกว่า สี่พันกว่าคน !!!
ในไม่ช้าชาวบ้านเกือบทั่วทั้งเกาะก็รู้ว่า ผู้หญิง ๓ คนนี้ เอาหนังสือมาให้เด็กๆ มาเล่านิทานให้เด็กฟัง และมาพูดคุยกับพ่อแม่เรื่องการอ่าน จนทำให้ในวันต่อๆ มา พวกเราสามคนเดินไปไหนมาไหน ก็มีเสียงทักทาย โบกไม้โบกมือกันไปมาตลอด ๔-๕ วันที่อยู่บนเกาะ
วันที่สนุกและน่าประทับใจ คือวันที่มอบหนังสือให้กับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ อายุไม่เกินสองขวบครึ่ง เริ่มกันที่บ้านหลังเขา หมู่ ๔ หลังจากนัดหมายกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ว่าขอให้เชิญชวนผู้ปกครองที่มีลูกเล็กๆ มาพบกัน (ไม่เห็นบอกเลยว่าเจอกันตรงไหน) เมื่อถึงเวลาพวกเราหอบหนังสือซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กันมา มุ่งหน้าไปบ้านผู้ช่วยฯ ยังไม่ทันถึงบ้านผู้ช่วยฯ ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกฮิ้วๆ และเสียงตบมือลั่นอยู่ที่ลานใต้ต้นมะขามใหญ่ เขานัดกันที่นี่เอง เห็นบรรดาแม่ๆ และเด็กๆ กลุ่มใหญ่ จอดมอเตอร์ไซค์พรืด คว้าหนังสือทันที เตรียมเล่านิทานให้เด็กฟัง แต่เสียงผู้ช่วยตะโกนบอก “เดี๋ยว เดี๋ยว รออีกแป๊บหนึ่ง กำลังมีคนมาเพิ่มอีก”
ระหว่างรอผู้ฟัง เราจึงเริ่มเล่าถึงความเป็นมาของ “โครงการแบ่งกันอ่าน ปันความสุข (เกาะลิบง)” พลางงัดหนังสือขึ้นมาพูดคุยให้พ่อแม่ฟังว่า ในหนังสือภาพสำหรับเด็กนั้นมีอะไรบ้างที่สำคัญต่อเด็กๆ เมื่อพ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเล็กแล้วจะส่งผลดีต่อเด็กอย่างไร และประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายจากหนังสือ จากนั้นก็เริ่มใช้หนังสือทีละเล่ม ทีละเล่มเพื่อให้เด็กๆ ได้ฟังอย่างหลากหลาย และให้พ่อแม่ได้เห็นวิธีใช้หนังสือ และได้เห็นว่าเด็กๆ มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อหนังสือ ซึ่งพ่อแม่ต่างเห็นว่าลูกๆ สนใจหนังสืออย่างจริงจัง ไม่เว้นแม้เจ้าตัวเล็กสุดที่อายุยังไม่ทันครบปี
เมื่อถึงเวลามอบหนังสือ เราเชิญผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นคนมอบให้แต่ละครอบครัว โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่เข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ปรากฏว่า เด็กโตที่เข้าศูนย์ฯ แล้ว แต่ก็ยังเล็กเกินว่าจะไม่สนใจเงื่อนไขของผู้ใหญ่ จึงร้องไห้ (ร้องอย่างหนักจนเราใจเสีย) เพราะตัวเองไม่ได้หนังสือ ซึ่งทำให้ทีมงานรู้สึกลำบากใจมาก จนต้องขอฝ่าฝืนเงื่อนไข โดยมอบหนังสือให้เจ้าของเสียงร้องไห้ไป ท่ามกลางเสียงถอนหายใจจากผู้ปกครอง และรอยยิ้มของทุกๆ คน รวมทั้งรอยยิ้มบนคราบน้ำตาของเด็กน้อยคนนั้นด้วย
ขอขอบคุณบทความและรูปภาพจาก "กลุ่มแบ่งกันอ่านปันความสุข"