มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

ประชุมสัมมนาวิชาการ “หนังสือ สื่ออ่าน และการอ่าน : กลไกและเครื่องมือปฏิรูประบบการเรียนการสอนในสถานศึกษาเพื่อความสุข ความใฝ่รู้ ตลอดชีวิต”

ศธ. จับมือ สสส. และภาคีเครือข่าย รุกสร้าง วัฒนธรรมการอ่านในสถานศึกษาทั่วไทย ชินวรณ์หนุนใช้วาระ การอ่านเป็นพลังเคลื่อนปฏิรูปรอบ 2 นักวิชาการชี้วิกฤต โอเน็ตสะท้อนว่าถึงเวลาต้องเพิ่ม “Demand – Supply”กลไกกระตุ้นเด็กไทยขยันอ่าน แนะเพิ่มปริมาณหนังสือดี-อ่านสนุก ในโรงเรียน ไม่เน้นเฉพาะเนื้อหาวิชาการ

 

        เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ห้องประชุมลำพอง มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) ร่วมกับโครงการมหานครแห่งการอ่าน:Bangkok Read For Life กรุงเทพมหานคร เครือข่ายความร่วมมือการอ่านในคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต และแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)  จัดประชุมสัมมนาวิชาการ หนังสือ สื่ออ่าน และการอ่าน : กลไกและเครื่องมือปฏิรูประบบการเรียนการสอนในสถานศึกษาเพื่อความสุข ความใฝ่รู้ ตลอดชีวิต

โดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะด้านการศึกษา เป็นการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนแก่ประเทศชาติอย่างคุ้มค่าในระยะยาว ในส่วนกระทรวงศึกษาธิการ กำลังดำเนินการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง เป้าหมายสูงสุดคือ ต้องการทำให้คนไทยเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ซึ่งตนอยากให้สถานศึกษาทุกแห่ง ใช้การอ่านเป็นพลังขับเคลื่อนทางสังคม โดยสนับสนุนให้เด็กไทยมีนิสัยรักการอ่าน ใช้หนังสือเป็นกลไกและเครื่องมือสร้างความสุขในการอ่าน สร้างสรรค์ความคิด เกิดความใฝ่รู้ และเป็นรากฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาได้ เป็นคนดี คนเก่งของสังคมในอนาคต

 

            รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์สื่อสารสังคม สสส. กล่าวว่า การผลักดันให้สังคมแห่งการอ่าน เป็นวิถีชีวิตของคนไทย ต้องทำงานร่วมกันหลายภาคส่วน ที่ผ่านมา สสส. เน้น 2 ส่วน คือ        1. สร้างอุปทาน (Supply)คือ มีหนังสือดีที่เหมาะสมกับเด็ก โดย สสส. ร่วมกับ ศธ. และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนสนับสนุนให้เกิดการผลิตหนังสือดี ราคาถูก มีช่องทางกระจาย อาทิ ศูนย์เรียนรู้ระดับตำบลทั่วประเทศ รวมทั้งมีกลไกคัดเลือกหนังสือ กลไกพัฒนาองค์ความรู้ผู้ผลิต ผู้เขียนหนังสือสำหรับเด็ก ขณะเดียวกันต้องมีกลไกควบคุมดูแลให้หนังสือมีราคาถูก  2.เกิดอุปสงค์ (Demand)หรือ ความต้องการในการอ่านหนังสือดี โดยส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายส่งเสริมการอ่านตั้งแต่ระดับตำบล จนถึงระดับประเทศ โดย สสส. เข้าไปสนับสนุนกระบวนการภาคสังคม ที่ช่วยสร้างกระแสรณรงค์ให้เกิดนวัตกรรม ส่งเสริมให้คนอยากอ่านหนังสือมากขึ้น อาทิ ตะกร้าแลกอ่าน อาสาสมัครรักการอ่านประจำตำบล

 

        “กระแสความร่วมมือการสร้างวัฒนธรรมการอ่านเป็นไปในระดับดีขึ้น เพราะทุกฝ่ายเห็นความสำคัญที่จะร่วมกันผลักดัน ซึ่งจากสถานการณ์ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กไทยในด้านต่างๆ โดยเฉพาะผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน(โอเน็ต) ที่เกิดขึ้น เชื่อว่าจะเป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญยิ่งขึ้น และมองเห็นภาพการทำงานที่ต้องเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่างๆเพราะการอ่านเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากระบวนการคิดและภูมิปัญญาของเด็กไทย”รศ.ดร.วิลาสินี กล่าว

        น.ส.สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านกล่าวว่า ปัจจุบันหนังสือน่าอ่าน หรือหนังสือดีสำหรับเด็กในโรงเรียนยังมีอยู่น้อย ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสังคมแห่งการเรียนรู้ เห็นว่า หากไม่ปรับหนังสือในโรงเรียน โอกาสที่จะทำให้เด็กรักการอ่านก็ยากมาก ที่ผ่านมา สสส. ได้เข้าไปส่งเสริมเรื่องนี้แก่เด็กเล็กโดยได้มีชุด 108 หนังสือดี ออกมาเพื่อสร้างฐานรากการอ่านตั้งแต่เด็กๆ และควรต้องรุกคืบต่อสำหรับเด็กในโรงเรียนจะทำอย่างไรให้โรงเรียนเห็นความสำคัญจึงเป็นที่มาของการจัดงาน "หนังสือ สื่ออ่าน และการอ่าน " ที่จะให้ภาคีต่างๆ ได้เข้ามาร่วมกับขบคิดเพื่อผลักดันเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันโรงเรียนส่วนใหญ่มีหนังสือแบบเรียนให้เด็กได้เรียน แต่เป็นเรื่องกฎเกณฑ์ วิชาการ ซึ่งก็เป็นหนังสือที่ดี แต่อีกส่วนหนึ่งควรให้ความสุข ความเพลิดเพลินแก่เด็กจากการอ่าน เช่น การอ่านหนังสือการ์ตูน สารคดี เป็นต้น ดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้หนังสือเหล่านี้ได้เข้าไปในโรงเรียนมากขึ้น และจะทำอย่างไรให้เด็กอ่านอย่างมีความสุข และทำให้การอ่านเป็นเรื่องรื่นรมย์