“จากโศกนาฏกรรมการเลี้ยงลูกด้วยหนัง…สู่เส้นทางเลี้ยงลูกด้วยหนังสือ” ครรชิต จักรสาร นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ รพ.สต.สร้างมิ่ง อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร
ลูกคือสิ่งที่มีค่าและงดงามที่สุดในชีวิต แต่การเลี้ยงลูกด้วยหนัง(เมื่อ 17 ปีก่อน) ทำให้ลูกผมกลายเป็นเด็กติดเกม สมาธิสั้น ใช้เวลากับหนังสือน้อยมาก เป็นข้อผิดพลาดครั้งสำคัญและผมคิดว่าไม่สามารถชดเชยด้วยอะไรได้เลย เพราะนั่นคืออนาคตทั้งชีวิตของลูก สิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนั้นคือ เด็กซึมซับและเรียนรู้จากพ่อแม่ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิดที่สุด และตัวผมเองก็ชอบดูหนังมาก ทุกๆครั้งที่มีเวลาว่างจะไปหาซื้อหนังมาดูพร้อมกับลูก นำมาซึ่งจุดเริ่มต้นของตราบาปจากการเลี้ยงลูกด้วยหนัง นั่นแสดงว่าเราปลูกสิ่งใดเราก็จะได้สิ่งนั้นเป็นการตอบแทน
วันหนึ่งในการประชุมที่จังหวัดยโสธรพี่นรรถฐิยา ผลขาว (รพ.สต.หนองคูน้อย) ได้ชักชวนเข้าร่วมทีมวิจัย “ชวนกันอ่านหนังสือให้เด็กฟัง” โดยได้รับงบประมาณสนับสุนนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ซึ่งจะเริ่มดำเนินโครงการในกลางปี 2550 ผมตอบตกลงทันทีแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะช่วงนั้นลูกคนที่สองกำลังอยู่ในครรภ์และผมต้องการเปลี่ยนวิธี “การเลี้ยงลูกด้วยหนัง มาเป็นหนังสือ” แต่โจทย์ของผมคือ ทำอย่างไรผมจึงจะไปชวนชาวบ้านให้มาอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ในเมื่อผมเองก็ยังไม่มีประสบการณ์หรือความรู้อะไรเลยในเรื่อง “การอ่าน” เคยได้ยินได้ฟังมาบ้างว่าถ้าเล่านิทาน อ่านหนังสือ หรือเปิดเพลงให้เด็กที่อยู่ในครรภ์ฟังอย่างสม่ำเสมอ เมื่อคลอดออกมาเด็กจะมีพัฒนาการที่ดี เก่งฉลาด เราเองเป็น จนท.สา’สุข แต่ก็ไม่เคยทดลองทำดูและจะได้แนะนำคนอื่นได้บ้าง ผมจึงคุยกับภรรยาอยากจะให้เธออ่านหนังสือให้ลูกฟังตอนก่อนนอน แต่เธอก็ให้เหตุผลว่าทำงาน(แฟนผมเป็นพยาบาลทำงานด้วยกัน)มาทั้งวันเหนื่อยอยากจะอ่านก็มาอ่านเอง ผมจึงหาหนังสือนิทานมาอ่านให้ลูกในครรภ์ฟัง แต่กลายเป็นว่าภรรยาผมรำคาญอยากจะพักผ่อน(สงสัยผมคงอ่านไม่เป็นสับปะรด ไม่ก็เรื่องที่อ่านไม่สนุก) ดังนั้น ผมมีเวลาประมาณ 6-7 เดือนก่อนที่โครงการวิจัยจะเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ลูกคนที่ 2 ของผม
23 ธันวาคม 2549 คือวันที่ลูกสาวผมเกิดและปฐมบทแห่งการอ่านที่มาพร้อมกับข้อกล่าวหาที่ว่าผมเป็นบ้า(5555) เมื่อภรรยาและลูกเข้าห้องพิเศษ ผมและลูกชาย(ที่ติดเกม)ไปซื้อหนังสือนิทานได้มา 3 เล่มแล้วรีบมาอ่านให้น้องฟัง ทันทีที่ผมอ่านหนังสือให้ลูกฟัง แม่ผมถามว่าอ่านให้ใครฟัง ผมตอบไปว่าอ่านให้คนที่พึ่งลืมตามาดูโลกนี่แหละ “บ้าหรือพึ่งเกิดจะรู้เรื่องได้ไง?”และทุกครั้งที่ผมอ่านคุณพยาบาลที่เข้ามาตรวจมักจะปรากฏคำถามในสายตาของเขาเสมอว่าผมเพี้ยนไป แต่ผมจะสนใจไปใย ทุกครั้งที่ผมเปล่งเสียงออกไปปฏิกิริยาการตอบสนองของเด็กที่เกิดใหม่คือ “จะตั้งใจฟัง หยุดดูดนม และเมื่อหยุดหรือพลิกหน้าต่อไปจึงดูดนมต่อ”(ภรรยายืนยันกับผมเองซึ่งตรงกับที่ผมสังเกต) คนที่สนุกและมีความสุขอีกคนคือลูกชายคนโตนั่นเอง แม้ว่าลูกคนเล็กจะหลับไปแล้วแต่เรื่องราวยังไม่จบ เราก็ออกไปหามุมสงบและอ่านให้เขาฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่โรงพยาบาล หนังสือนิทาน 3 เล่มคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของเรา นี่ถ้าย้อนเวลาได้เหมือนหนัง “Back to the Future” ผมจะอ่าน อ่าน และอ่านหนังสือให้ลูกชายฟัง ลูกผมคงไม่ติดเกม และทุกวันนี้ผมได้แต่พร่ำบ่นเสียดายอยู่ร่ำไป
หลังจากเริ่มอ่านหนังสือให้ลูกฟังผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าผมติดหนังสือเข้าให้แล้ว มันคงเป็น Side effect หรือผลข้างเคียงทั้งๆที่เมื่อก่อนนั้นไม่เคยคิดเลย ผมเริ่มค้นหาข้อมูลหนังสือภาพดีๆระดับโลกสำหรับเด็กทาง Internet ที่ชาวโลกอย่างเราๆต้องเสิร์ฟและสรรหาให้กับเด็กๆ แต่แถวบ้านนอกบ้านนาที่ผมอาศัยอยู่ไม่มีร้านหนังสืออย่าง นายอินทร์ SE-ED หรือ B2S ระยะทางที่จะไปซื้อหาหนังสือใกล้ที่สุดก็แค่ 60-70 กม. แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพื่อให้ได้หนังสือดีๆไม่เกี่ยงเรื่องราคาและระยะทาง (แต่สำหรับชาวบ้านล่ะนั่นคือโจทย์อีกข้อในเรื่องการเข้าถึงหนังสือ?) ผมเริ่มรู้จักหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็กที่มีคุณภาพเป็นอย่างไร ทักษะการอ่าน การเล่นกับลูกด้วยหนังสือ รวมทั้งรู้จักนักเขียน นักแปลทั้งชาวไทยและต่างชาติจากชื่อบนปกหนังสือ ทุกๆเดือนผมจะต้องค้นหาข้อมูลหนังสือดีๆที่ออกใหม่ หนังสือที่ได้รับการคัดสรร หรือหนังสือที่ได้รับรางวัลต่างๆ เช่น หนังสือดีของมูลนิธิ SCG นายอินทร์อะวอร์ด เป็นต้น ทุกๆเรื่องที่ได้รับการคัดสรรจะต้องถูกนำเสนอด้วยการอ่านสู่ลูกของผม สถิติสูงสุดในการอ่านหนังสือให้ลูกฟังน่าจะอยู่ที่ 100 เรื่อง/วัน เพื่อทดสอบว่าเด็กรับได้เท่าไร ปรากฏว่าเด็กรับได้ตลอดง่วงก็หลับตื่นก็อ่านต่อ สุดท้ายคนอ่านก็เจ็บคอสิครับ และนั่นคือโหมดของการก้าวย่างเข้าสู่ถนนการอ่านสำหรับครอบครัวผม
เมื่อสิ้นสุดการลาคลอดของภรรยา ผมเอาลูกไปเลี้ยงที่ทำงานด้วยโดยมีเหตุผล 4 อย่าง คือให้ลูกกินแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน อ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกๆครั้งที่ผมว่าง ประชาสัมพันธ์ผลที่เกิดขึ้นจากการอ่านและเพื่อชักชวนกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมโครงการวิจัย(ยากมากเลยขอบอก) ซึ่งพื้นที่ผมได้โควตา 20 ครอบครัวที่มีเด็กแรกเกิด-5 ปีกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1 แห่ง และในกระบวนการจะมีการเก็บข้อมูล/ สำรวจการมีหนังสือนิทานสำหรับเด็กในครอบครัว การดูทีวีของเด็ก ประชุมพูดคุยแนวทางการดำเนินงาน การจัดหา/แจกจ่ายหมุนเวียนหนังสือ การติดตาม การถอดบทเรียน ประเมินผลก่อนและหลังดำเนินการ สรุปบทเรียนและขยายผล ซึ่งผลการดำเนินงาน เราพบว่า เด็กมีพัฒนาการต่างๆที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เช่น ร่างกาย ภาษา สติปัญญา อารมณ์ สังคม สมาธิ รักการอ่าน พ่อแม่ผู้ปกครองและครูศูนย์เด็กมีนิสัยรักการอ่านเพิ่มขึ้น ใช้หนังสือเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเด็กและมีทักษะ/เทคนิคในการอ่านหนังสือให้เด็กฟัง และที่สำคัญการอ่านหนังสือให้เด็กฟังได้สร้างความรัก ความอบอุ่นให้กับทุกๆครอบครัว เป็นต้น
แม้ว่ากระบวนการวิจัยได้สิ้นสุดลงเมื่อปี 2552 แต่งานของผมแค่เพิ่งเริ่มต้น มันคงเป็นเรื่องเศร้าและเห็นแก่ตัวมากถ้าเราจะเก็บสิ่งที่มี พลัง คุณค่าและความสุขที่เกิดจากการอ่านไว้กับตัวเองโดยไม่แบ่งปันใคร ดังนั้นผมจึงหาแนวทางในการขยายผลสู่ครอบครัวต่างๆหลากหลายวิธีการ ทั้งต่อยอดงานวิจัย ส่งเสริมการอ่านผ่านงานประจำ(ทั้งๆที่ไม่มี KPI ก็ช่างปะไร) จัดทำโครงการของบประมาณ ขอสนับสนุนหนังสือ ประสานงานกับผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เช่น พ่อแม่ผู้ปกครอง อสม. ครูศูนย์เด็ก โรงเรียน และ อบต. เพื่อส่งเสริมการอ่านในพื้นที่ แม้ว่าเกือบจะทุกหน่วยงานที่ประสานไปจะมองว่า การส่งเสริมการอ่านไม่น่าจะใช่ของทาง สา’สุข(ก็ช่างปะไรอีกครั้ง 555) ซึ่งจริงๆแล้ว “การอ่าน”เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการเด็ก และเป็นงานชิ้นสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขด้วย แต่คนส่วนใหญ่กลับมองไม่เห็นซะงั้น
“หนังสือ”เป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาเด็ก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีหนังสือที่ดีและมีคุณภาพ(ขอย้ำดีและมีคุณภาพ)อย่างหลากหลายเพื่อให้ทุกครอบครัวที่มีเด็กๆ ได้สัมผัส ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ชาวชนบทอย่างพื้นที่ของพวกผมจะเข้าถึง และเป็นความโชคดีของเด็กๆในพื้นที่ที่มีผู้ใหญ่ใจดีเห็นคุณค่าและความสำคัญ เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต.สร้างมิ่งให้การส่งเสริมและสนับสนุนในการดำเนินโครงการปีละ 80,000 บาท ครูชีวัน วิสาสะ และมูลนิธิ SCG สนับสนุนหนังสือ เป็นต้น กระผมขอกราบขอบพระคุณผู้ให้การสนับสนุนไว้ ณ ที่นี้ด้วย
จากวันที่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ ผมมีความสุข ภาคภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เด็กๆมีความสุข และสนุกกับการอ่าน แม้คำว่า “วัฒนธรรมการอ่าน”จะยังอีกยาวไกล แต่เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เราเพาะปลูกลงไป จะเจริญงอกงาม แผ่กิ่งก้านขยายวงกว้างออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทุกๆครั้งที่ผมเห็นพ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง ช่างเป็นภาพที่งดงามที่สุด ขอบใจภรรยาที่รักและลูกๆทั้งสองที่เป็นดั่งครูให้พ่อได้เรียนรู้ความผิดพลาด และเป็นแรงบันดาลใจในการก้าวย่างต่อไป
Story by Dr.K. Jaksarn


