โครงการพัฒนาเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น (4 ภาค) ระยะที่2:หลักสูตรนักถักทอชุมชน เพื่อพัฒนา เด็ก เยาวชนและครอบครัว
.jpg)
5 เมษายน 2558 มูลนิธิฯ นางสุดใจพรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายติดตามเสริมสร้างศักยภาพภาคี ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมาจล ภายใต้โครงการพัฒนาเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น (4 ภาค) ระยะที่ 2 : หลักสูตรนักถักทอชุมชน เพื่อพัฒนา เด็ก เยาวชนและครอบครัว โดย อาจารย์ทรงพล เจตนาวณิชย์ ผู้อำนวยการสถาบันเสริมสร้างการเรียนรู้ เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) รับผิดชอบดำเนินโครงการฯ ปี 2 งานครั้งนี้มีการนำเสนอผลงานตำบลต้นแบบ 4 พื้นที่ ได้แก่ 1) เทศบาลเมืองแก อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ 2) อบต.หนองอียอ อ.สนม จ.สุรินทร์ 3) อบต.หนองสนิท อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ และ 4) อบต.เมืองลีง อ.จอมพระ จ.สุรินทร์
ภายในเวทีมีการนำเสนอผลงานตามลำดับ ดังนี้

คุณทรงพล เจตนาวณิชย์ หัวหน้าโครงการฯ / ผู้อำนวยการสถาบัน สรส. มูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา “ข้อค้นพบของปัญหาเด็กคือความล่มสลายของเบ้าหลอมในการพัฒนาเด็กและเยาวชน คนที่อยู่รอบตัวเด็กไม่ได้ทำหน้าที่ดูและเด็กเหมือนอดีต และการทำกิจกรรมกับเด็กเป็นครั้งๆ ไป เป็น event ไม่ต่อเนื่อง ยากที่จะพัฒนาเด็กได้จริง ไม่ได้ดึงการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน สรส. เห็นช่องว่างดังกล่าวจึงเข้าไปดึง การมีส่วนร่วม ถักทอความร่วมมือของฝ่ายต่างๆ จากการวิเคราะห์พบว่าปัญหาคนทำงาน ในท้องถิ่น คือ ขาดการทำงานเป็นทีม ไม่ดึงการมีส่วนร่วมจากชุมชน จึงเป็นที่มาของหลักสูตรนักถักทอชุมชน เน้น on the job training สรส. เป็น coach ในการเข้าไปทำงานมากกว่าใช้วิชาการเป็นตัวตั้งและใช้วิธีProfessional Learning Community (PLC) คือ ให้ลงไปทำงานแล้วกลับมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน แล้วกลับไปทำงานต่อเป็นการให้แนวคิดหลักการและเครื่องมือตามจังหวะการทำงานเป็นหลัก
เน้นให้เด็กเรียนรู้จากการลงมือทำ คือ ทำโครงงานจะพบว่าเด็ก ได้ฝึกทักษะอะไรบ้าง ได้เพิ่มพูนความรู้เรื่องอะไร ได้บ่มเพาะนิสัยอะไร ได้ปรับแนวคิดหรือจิตสำนึกอะไร นักถักทอมีวิธีคิดและการทำงาน ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมีตัวอย่างการนำความรู้ และกระบวนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ การนำกระบวนการไปถักทอในชุมชน ปลัดและนายกเห็นการเปลี่ยนแปลง หรือเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จะเห็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์การทำงาน และจัดระบบการทำงานของข้าราชการส่วนท้องถิ่น การหนุนเสริมให้เกิดฐานการเรียนรู้ของเยาวชนโดยใช้ทุนในหมู่บ้านซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี”

เทศบาลตำบลเมืองแก ในบทบาทของเทศบาลในการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการขับเคลื่อนกลไกเพื่อพัฒนาเด็กเยาวชนและครอบครัว” โดยนายสุรศักดิ์ สิงห์หาร ปลัดเทศบาลตำบลเมืองแก อ.เมือง จ.สุรินทร์ เผยว่า “เทศบาลตำบลเมืองแก ปฏิวัติการทำงานตั้งแต่ปี 2546 สำรวจตนเองพบว่ามีปัญหา ขาดวิธีทำ และคิดแยกส่วน ไม่ตั้งเป้าหมายร่วมกันกับโรงเรียนขาดเครื่องมือ/วิธีการที่เหมาะสม ขาดความเชื่อมั่นกับความสามารถในงาน ไม่เชื่อสิ่งที่ตนทำอยู่ ไม่ให้ความสำคัญเรื่องของเยาวชน ติดสั่งการไม่เข้าชุมชน แต่ยังหาทางแก้ไม่ตกปี 2555 จึงเข้าร่วมหลักสูตรนักถักทอชุมชน ขยายผลจากนักถักทอชุมชน 4 คน เป็น 34 คนให้เจ้าหน้าที่ทั้งตำบลมาเรียนรู้ เกิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ผ่าน โครงงานกิน/กอด/เล่น/เล่า เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก 4 มิติ คือ ได้ความรู้ ได้ฝึกทักษะ ลักษณะนิสัย ทัศนคติ เทศบาลตำบลเมืองแก ได้หนุนให้มี โรงเรียนคนท้อง โรงเรียนครอบครัว (วิชาชีวิต วิชาชีพ วิชาชุมชน วิชาการ) โรงเรียนชุมชน เพื่อครอบคลุมคนทุกช่วงวัยและบูรณาการคนทั้งตำบลเพื่อร่วมกันคิด ร่วมกันทำ นายสุรศักดิ์ สิงห์หาร กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าไม่ลงทุนเยาวชนในวันนี้ก็เท่ากับไม่ลงทุนสำหรับอนาคต” ปณิธานของ เทศบาลตำบลเมืองแก”

อบต.เมืองลีง “บทบาทของ อบต. กับการพัฒนาเยาวชนกลุ่มเสี่ยง” โดยคุณประเสริฐ สุขจิต นายก อบต. เผยว่า “ได้เข้าร่วมหลักสูตรนักถักทอชุมชน รุ่น 1 มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาเด็กและเยาวชนแกนนำในพื้นที่ จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสเยาวชนในหลายพื้นที่ พบว่าเยาวชนมีศักยภาพทั้งในส่วนสร้างสรรค์และทำลาย ทำอย่างไรจะกระตุ้นส่วนที่สร้างสรรค์มาพัฒนาประเทศชาติให้ได้มากสุด เด็กในโรงเรียน ทั้งกลุ่มเรียนดีและเรียนไม่ทันเพื่อน จะมีศักยภาพต่างกัน คือ เรียนดีแต่ไม่มีจิตอาสา กลุ่มเสี่ยงเรียนไม่ดีแต่ทำกิจกรรมได้ดีกว่าเด็กเก่ง มีศักยภาพศิลปะ ดนตรี กีฬา โดดเด่น แต่โรงเรียนไม่ได้ใช้โอกาสพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ มองเด็กว่าไม่ได้เรื่อง จึงสนใจเด็กกลุ่มนี้ พาเข้าค่ายพัฒนาแกนนำเยาวชน 21 วัน เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลง และนำกิจกรรมไปขยายผลต่อรุ่นพี่และเด็กนอกระบบ จากการขยายผลแกนนำรุ่น 1 สู่ รุ่น 2 เด็กโรงเรียนเมืองลีงวิทยา ห้อง ม.4/2 ทั้งห้อง 28 คน เป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง จึงจัดค่าย 3 วัน ให้น้องสำรวจตนเองสำรวจชุมชนโดยผ่านการทำโครงงาน ผลที่เกิดขึ้นเด็กเกิดการเปลี่ยนแปลงในตนเองในทางที่ดีขึ้น โรงเรียนยอมรับในเด็กกลุ่มนี้มากขึ้น แผนที่จะดำเนินต่อไป ต้องมีเวทีสรุปติดตามและประเมินผลต่อไป”

อบต.หนองสนิท “บทบาทการใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชนเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนของชุมชนท้องถิ่น” คุณจินตนา แกล้วกล้า หัวหน้าสำนักงานปลัด อบต.เผยว่า “เป้าหมายของ อบต. ต้องการให้เด็กเป็นเด็กดีของพ่อแม่และชุมชน มีจิตอาสา มีความคิดที่ดีขึ้น คิดเชิงบวกในการทำงานเป็นทีม มีทักษะ ทั้งการพูด อ่าน เขียน ดีขึ้น ทักษะการจัดการจากการคิดและทำงานร่วมกัน มีคุณลักษณะพึงประสงค์ จึงดึงผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กและเยาวชนเข้ามาร่วม ทั้งโรงเรียน ชุมชน ปีแรกพบว่า ผู้ใหญ่ภูมิใจลูกหลาน เปิดใจรับ และเข้าใจมากขึ้น เปิดเวทีให้มากขึ้น มอบหมายงานที่ทำให้เด็กเกิดกระบวนการ คิดกลไกต่างๆ เข้าใจและทำงาน ปี 2 ได้บทเรียนจากปีแรก พบว่า มีจุดอ่อนในการทำกิจกรรม ขาดทักษะพาน้องทำกิจกรรม จึงทำค่ายพัฒนาแกนนำเยาวชนและพี่เลี้ยง โดยสยามกัมมาจล สรส. ยุวโพธิชน เป็นค่ายที่เสริมทักษะให้น้องๆ และพี่เลี้ยงได้อย่างดี มีการสำรวจชุมชนเพื่อเป็น ฐานข้อมูลทำโครงงาน โดยแต่ละภาคส่วนมาคิดร่วมกันว่าจะทำโครงงานอะไร น้องๆ เลือกเรียนรู้หลายๆ กิจกรรมที่มีอยู่ในชุมชน พี่เลี้ยง จัดให้เหมาะสมกับปฏิทินของชุมชน เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเป็นแกนนำเยาวชนของหมู่บ้าน พ่อแม่เกิดความไว้วางใจลูก ผู้นำชุมชนเห็นความสำคัญและเป็นกำลังสำคัญในการทำกิจกรรม ปัญหาการทะเลาะวิวาทหายไป ก้าวต่อไป คือจะคัดเลือกแหล่งเรียนรู้ เพื่อพัฒนาน้องๆ ให้ได้มีทักษะชีวิตพึงมี พึงเป็น มีแผนทำกิจกรรมกับน้องช่วงปิดเทอมส่งเสริมพัฒนาโครงงานที่น้องทำอยู่ให้เป็นอาชีพ ขยายการพัฒนาโครงการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก”
6 เมษายน 2558 ลงพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองอียอ
.jpg)
อบต.หนองอียอ “บทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลในการพัฒนาแกนนำเยาวชนรุ่นต่อรุ่นผ่านความร่วมมือของโรงเรียนและการทำโครงงาน” โดยคุณสมเกียรติ สาระ ตำแหน่งหัวหน้าสำนักปลัด อบต.หนองอียอ เผยว่า “สถานการณ์ในปี 2553 ของเด็ก เยาวชนในอบต.คือการจับกลุ่มไม่สร้างสรรค์ เช่น ตีไก่ชน ทะเลาะวิวาท ปลีกตัวไม่สนใจชุมชน สิ่งแวดล้อมรอบข้าง หนีเรียนสาเหตุเกิดจาก ติดเกม การใช้สื่อไม่สร้างสรรค์ชาวบ้านอาชีพหลักทำนา เมื่อทำนาเสร็จไปทำงานต่างจังหวัด ไม่มีเวลาดูแลครอบครัว อบต. ทำงานไม่บูรณาการกับชุมชน แนวคิดเยาวชนมีพลังและเวลา น่าจะสามารถเชื่อมกับกลุ่มอื่นๆ ได้ เช่น ครอบครัว ทุกภาคส่วนอยากให้คณะกรรมการเข้มแข็ง จึงเชื่อมต่อ ทั้งบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) และปราชญ์ ทรัพยากรต่างๆ เช่น แหล่งน้ำ ที่ดิน ภาคี อาทิ ยุวโพธิชน สรส. สสส. กศน . มหาพิชาลัยชุมชนท้องถิ่นปี 2556 ปราชญ์ชุมชนให้เด็กได้สืบค้นภูมิปัญญาท้องถิ่น มีครูและครูภูมิปัญญาช่วยกันขับเคลื่อน พอเข้ามาในหลักสูตรนักถักทอชุมชน ก็ได้เรียนรู้ในเรื่องของ “การวิเคราะห์ภาคีเครือข่าย” และ“การประสานงาน” หลังเยาวชนเข้าค่ายยุวโพธิชน 21 วัน สร้างจิตสำนึกให้เด็กรักถิ่นฐาน กล้าแสดงออก คิดวิเคราะห์เป็น ทำดีในชุมชน หลังค่าย แกนนำเยาวชนมาทำกิจกรรมต่อกับรุ่นน้อง เพื่อสืบทอด โดยทำเป็นโครงงานปั้นดินเป็นดาว ผลที่เกิดขึ้น เด็กมีความประพฤติดีขึ้นเกิดการพัฒนาอาชีพ สร้างผู้ประกอบการสังคม ชุมชนมีสุขภาพดีจากที่ได้บริโภคผักปลอดสาร โรงเรียนเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น”

