“แนวคิดและเนื้อหาหนังสือต้นแบบ”
เมื่อวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา มูลนิเด็ก ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์กรมหาชน) และแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน (สสส.) ได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 1 ในหัวข้อ “แนวคิดและเนื้อหาหนังสือต้นแบบ” ให้แก่อาสาสมัครนักเขียน นักวาดที่เข้าร่วม โครงการพัฒนาหนังสือต้นแบบเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสอดคล้องกับพัฒนาการทางสมองของเด็กไทยวัย 0 – 3 ปี ณ ห้อง 201 อาคาร ดร.สิโรจน์ ผลพันธิน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัย และด้านสมองได้ให้เกียรติมาบรรยาย คือ ดร. อรชา ตุลานันท์ นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัย และ อ.พรพิไล เลิศวิชา นักวิชาการอิสระด้านBBL (Brain – Based Learning)
“บทบาทของหนังสือกับพัฒนาการของเด็ก 0 – 3 ปี” โดย ดร. อรชา ตุลานันท์
รู้จักเด็กปฐมวัย
1. เด็กวัยทารก 0 – 6 เดือน
เด็กในวัยนี้จะตอบสนองกับเสียงรอบตัว เรียนรู้ผ่านเสียง ยังไม่เข้าใจเนื้อหา แต่สนใจจังหวะของคำพูด สื่อสารผ่านภาษาท่าทางและการส่งเสียง สายตาต่างจากสายตาของผู้ใหญ่ (เห็นชัดช่วง 8 – 12 นิ้ว)
สิ่งที่เด็กสนใจมากที่สุด พบว่า คือ หน้าของคน สิ่งไหนน่าประหลาดใจ เด็กจะมองนาน เป็นกลไกเพื่อความอยู่รอด เขาจะมองหาคนใกล้ตัวที่จะอยู่กับเขา สายตาของเด็กมองเห็นแต่ไม่สมบูรณ์ จึงต้องการภาพที่เป็นสีที่แตกต่าง สีตัดๆ ภาพที่เป็นแม่สี ทำให้แยกองค์ประกอบได้ วัย 1 เดือน จะสนใจคนมากกว่าสิ่งของ ช่วง 4 เดือน เริ่มสนใจฟังผู้ใหญ่อ่านเรื่องสั้นๆ
2. เด็กวัย 7 – 12 เดือน
การอ่านหนังสือกับเด็กในวัยนี้ เป็นลักษณะของการอ่านให้เด็กฟัง และการอ่านกับเด็ก หลัง 6 เดือนขึ้นไป กล้ามเนื้อตาของเด็กจะพัฒนา มีความสามารถในการจดจำ จดจ่อ สนใจภาพประกอบมากขึ้น โดยปกติเด็กจะสนใจของจริง ภาพถ่าย ภาพเสมือนจริง และการ์ตูน (ตามลำดับ) ในวัย 7 – 9 เดือน เด็กจะจับสิ่งของด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ สนใจภาพมากกว่าเนื้อเรื่อง และเกิดภาวะกลัวคนแปลกหน้า กลัวว่าพ่อแม่ พี่เลี้ยงหายไปแล้วจะไม่กลับมา
1. เด็กวัยทารก 0 – 6 เดือน
เด็กในวัยนี้จะตอบสนองกับเสียงรอบตัว เรียนรู้ผ่านเสียง ยังไม่เข้าใจเนื้อหา แต่สนใจจังหวะของคำพูด สื่อสารผ่านภาษาท่าทางและการส่งเสียง สายตาต่างจากสายตาของผู้ใหญ่ (เห็นชัดช่วง 8 – 12 นิ้ว)
สิ่งที่เด็กสนใจมากที่สุด พบว่า คือ หน้าของคน สิ่งไหนน่าประหลาดใจ เด็กจะมองนาน เป็นกลไกเพื่อความอยู่รอด เขาจะมองหาคนใกล้ตัวที่จะอยู่กับเขา สายตาของเด็กมองเห็นแต่ไม่สมบูรณ์ จึงต้องการภาพที่เป็นสีที่แตกต่าง สีตัดๆ ภาพที่เป็นแม่สี ทำให้แยกองค์ประกอบได้ วัย 1 เดือน จะสนใจคนมากกว่าสิ่งของ ช่วง 4 เดือน เริ่มสนใจฟังผู้ใหญ่อ่านเรื่องสั้นๆ
2. เด็กวัย 7 – 12 เดือน
การอ่านหนังสือกับเด็กในวัยนี้ เป็นลักษณะของการอ่านให้เด็กฟัง และการอ่านกับเด็ก หลัง 6 เดือนขึ้นไป กล้ามเนื้อตาของเด็กจะพัฒนา มีความสามารถในการจดจำ จดจ่อ สนใจภาพประกอบมากขึ้น โดยปกติเด็กจะสนใจของจริง ภาพถ่าย ภาพเสมือนจริง และการ์ตูน (ตามลำดับ) ในวัย 7 – 9 เดือน เด็กจะจับสิ่งของด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ สนใจภาพมากกว่าเนื้อเรื่อง และเกิดภาวะกลัวคนแปลกหน้า กลัวว่าพ่อแม่ พี่เลี้ยงหายไปแล้วจะไม่กลับมา
หนังสือสำหรับเด็กวัยทารก
ควรมีความคงทน ทำความสะอาดได้ เปิดง่าย รูปภาพน่าสนใจ สีสันสวยงาม รายละเอียดไม่มาก มีผิวสัมผัส เป็นผ้า วัย 0 – 2 ปี ยังไม่ค่อยสนใจเนื้อหา แต่เด็กจะชอบหนังสือเพราะได้สัมผัส เป็นเรื่องใหญ่ในวัยเด็ก 0 – 3 ปีที่เด็กจะชอบสิ่งที่รู้จัก คุ้นเคย อบอุ่น เพราะเขาอยากได้ความรู้สึกมั่นคง
เนื้อหาเน้นสิ่งที่เด็กรู้จักในชีวิตประจำวัน และมีคำเรียกชื่อสิ่งนั้นๆ เนื่องจากเด็กกำลังเรียนรู้ภาษาจึงติดภาพถ่าย หากเป็นภาษาคล้องจองเด็กจะชอบได้นานกว่าหนังสือสำหรับวัยเตาะแตะ (1 – 3 ขวบ)
ควรมีความคงทน ทำความสะอาดได้ เปิดง่าย รูปภาพน่าสนใจ สีสันสวยงาม รายละเอียดไม่มาก มีผิวสัมผัส เป็นผ้า วัย 0 – 2 ปี ยังไม่ค่อยสนใจเนื้อหา แต่เด็กจะชอบหนังสือเพราะได้สัมผัส เป็นเรื่องใหญ่ในวัยเด็ก 0 – 3 ปีที่เด็กจะชอบสิ่งที่รู้จัก คุ้นเคย อบอุ่น เพราะเขาอยากได้ความรู้สึกมั่นคง
เนื้อหาเน้นสิ่งที่เด็กรู้จักในชีวิตประจำวัน และมีคำเรียกชื่อสิ่งนั้นๆ เนื่องจากเด็กกำลังเรียนรู้ภาษาจึงติดภาพถ่าย หากเป็นภาษาคล้องจองเด็กจะชอบได้นานกว่าหนังสือสำหรับวัยเตาะแตะ (1 – 3 ขวบ)
วัยเตาะแตะตอนต้น (1 – 2 ขวบ)
เรียกได้ว่า อาจจะนับเป็นวัยรุ่นหนแรกของเด็ก คือ มีอารมณ์เหวี่ยง อารมณ์กว้างๆ มีอารมณ์แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร อธิบายไม่ได้ บอกไม่ได้ การใช้มีความภาษาชัดเจน ยึดตนเป็นศูนย์กลาง ต้องการความรัก ความอบอุ่นเป็นเรื่องใหญ่ ยังไม่พร้อมที่จะแบ่งปัน
เด็กสามารถเข้าใจได้ว่าหนังสือต่างจากสิ่งของอื่น / จับหนังสือได้ถูกทาง (แต่เด็กต้องมีประสบการณ์กับหนังสือมาก่อนด้วย) สนใจภาพ ชื่อภาพ มากกว่าเนื้อเรื่อง ความพยายามเป็นนาย ใจร้อน ชอบฟังนิทาน เพลง คำคล้องจอง เริ่มเดินเป็น พูดน้อยลง ชอบขีดเขียน
วัยเตาะแตะตอนปลาย (1 – 3 ขวบ)
เด็กวัยนี้สื่อสารได้มากขึ้น แต่การรับรู้ ถ้าเป็น 4 ขา ก็จะเรียกหมาหมด เข้าใจคลาดเคลื่อนจากการเรียกสิ่งของรอบๆ ตัว ใช้เกณฑ์กว้างในการอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง หวง ปฏิเสธ แสดงความเป็นเจ้าของ ชอบความท้าทาย ชอบคำซ้ำ คำคล้องจอง หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ควรเป็นหนังสือที่ทนทาน เปิดง่าย ประโยคซ้ำ ๆ หรือเพลง เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน เชื่อมโยงกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น กินข้าว อาบน้ำ แต่งตัว หนังสืออ่านก่อนเข้านอน จะช่วยผ่อนคลาย และยอมนอน ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น มั่นคง ซึ่งหนังสือประเภทนี้จะจบแบบนุ่มๆ หรือหนังสือที่สื่อเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กที่ต้องจากแม่ ซึ่งช่วยในเรื่องของการรอคอย ทำให้เห็นว่าเด็กคนอื่นก็รอคอยเหมือนกัน
ตัวหนังสือไม่มาก (150 – 300 คำ/ เล่ม) เฉลี่ย 12 หน้า ภาพกับตัวหนังสือสัมพันธ์กัน ตัวละครเป็นสัตว์ก็มีผลมาก และการใช้คำซ้ำจะทำให้เด็กจดจำ สนุก แล้วรู้สึกว่าตัวเองเก่งที่อ่านได้แล้ว ทั้งที่จริงยังอ่านหนังสือไม่ออก และควรเป็นหนังสือที่มีตัวช่วยในการคาดเดา ภาพชัดเจน รายละเอียดไม่มาก มีอารมณ์ขัน เด็กดูรายละเอียดเยอะจากภาพ ดังนั้นภาพต้องชัดเจน
หนังสือสอนการเข้าห้องน้ำ ในประเทศไทยไม่ค่อยมี เพราะผู้ใหญ่ไม่ค่อยกังวลว่าเด็กจะทำหรือไม่ทำ ซึ่งในทางกลับกัน ฝรั่งจะเข้มงวดมากๆ ถือเป็นเรื่องใหญ่ ต้องเข้าห้องน้ำให้เป็น หนังสือกลุ่มนี้จึงมีเยอะในต่างประเทศ
คุณลักษณะที่พึงประสงค์และการสร้างเสริม
คุณธรรมและกฎบางอย่างเป็นไปตามวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ ดังเช่น ฟรอยด์ เชื่อว่าด็กเกิดมาไม่ดี ไม่เลว เกิดมาเป็นศูนย์แล้วค่อยๆ พัฒนาความดี ความเลว
มีงานวิจัยพบว่า การที่ทารกแรกเกิด เห็นเพื่อนร้องไห้แล้วตัวเองร้องตาม เป็นความสามารถในการเริ่มรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้สึกสงสารคนอื่น ถ้ามีตัวร่วมรู้สึกนี้ เด็กคนนั้นจะมีศีลธรรม แต่หากไม่มีจะน่ากลัวมาก อารมณ์สงสาร เห็นใจ ช่วยเหลือ เด็กมีตั้งแต่เล็กแต่แสดงออกไม่ได้ จึงร้องไห้ตามเมื่อได้ยินเสียง คนที่เห็นคุณค่าในตัวเองจะมีภูมิคุ้มกันให้ตัวเองสูง เราสามารถถ่ายทอดผ่านวรรณกรรมเพื่อสอนให้เด็กเห็นคุณค่าในตัวเองได้ พัฒนาการทางอารมณ์ สังคม การควบคุมตัวเอง ความต้องการ สมาธิ และระยะเวลาของความสามารถในการรอคอยในแต่ละช่วงอายุจะเปลี่ยนไปตามวัย
ความรัก ความผูกพัน ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด การได้รู้ว่าในโลกนี้มีคนที่รักเขาอย่างที่สุด ทำทุกอย่างให้ฉันได้ ก็จะรักผูกพันกับคนนั้น เขาจะเห็นคุณค่าในตัวเองและเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
หากเด็กเล็กไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเรียกว่าอะไรเขาจะไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้ แต่หากรู้จัก เขาก็จะสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้โดยที่ไม่เกิดปัญหาตามมา
เกี่ยวกับการเขียนหนังสือประเภทบันเทิงคดี
• คุณภาพการเขียน มีจังหวะจะโคน ภาษาสวยงาม กระชับ
• ตั้งชื่อเรื่องน่าสนใจ สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง
• แก่นเรื่องไม่ซับซ้อน (เด็กความสนใจสั้น ประสบการณ์น้อย ถ้าซับซ้อน เขาจะไม่เข้าใจ)
• หลีกเลี่ยงการเน้นคุณธรรมอย่างออกหน้าออกตา ไม่ต้องสั่งสอนเยอะ ตรงเกินไป
• วางโครงเรื่องดี
• โครงเรื่องแปลกใหม่
• มีอารมณ์ขัน
• สนับสนุนให้เด็กเกิดการคาดเดา จินตนาการ ประเมินตัวเลือก
• ดึงดูดความรู้สึกของเด็ก เป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น แม่ เพื่อน การกินข้าว
• อ่านแล้วสนุก
• เด็กจะไม่สามารถรับได้กับเรื่องราวที่โหดร้ายมากๆ ดังนั้นเรื่องต้องไม่หนักเกินไป
หนังสือที่ดีจะต้องส่งสารแก่ผู้รับสารได้ 3 ทาง คือ
1. ตัวหนังสือ
2. ภาพ
3. จากภาพและเรื่องพร้อมกัน
เรียกได้ว่า อาจจะนับเป็นวัยรุ่นหนแรกของเด็ก คือ มีอารมณ์เหวี่ยง อารมณ์กว้างๆ มีอารมณ์แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร อธิบายไม่ได้ บอกไม่ได้ การใช้มีความภาษาชัดเจน ยึดตนเป็นศูนย์กลาง ต้องการความรัก ความอบอุ่นเป็นเรื่องใหญ่ ยังไม่พร้อมที่จะแบ่งปัน
เด็กสามารถเข้าใจได้ว่าหนังสือต่างจากสิ่งของอื่น / จับหนังสือได้ถูกทาง (แต่เด็กต้องมีประสบการณ์กับหนังสือมาก่อนด้วย) สนใจภาพ ชื่อภาพ มากกว่าเนื้อเรื่อง ความพยายามเป็นนาย ใจร้อน ชอบฟังนิทาน เพลง คำคล้องจอง เริ่มเดินเป็น พูดน้อยลง ชอบขีดเขียน
วัยเตาะแตะตอนปลาย (1 – 3 ขวบ)
เด็กวัยนี้สื่อสารได้มากขึ้น แต่การรับรู้ ถ้าเป็น 4 ขา ก็จะเรียกหมาหมด เข้าใจคลาดเคลื่อนจากการเรียกสิ่งของรอบๆ ตัว ใช้เกณฑ์กว้างในการอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง หวง ปฏิเสธ แสดงความเป็นเจ้าของ ชอบความท้าทาย ชอบคำซ้ำ คำคล้องจอง หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ควรเป็นหนังสือที่ทนทาน เปิดง่าย ประโยคซ้ำ ๆ หรือเพลง เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน เชื่อมโยงกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น กินข้าว อาบน้ำ แต่งตัว หนังสืออ่านก่อนเข้านอน จะช่วยผ่อนคลาย และยอมนอน ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น มั่นคง ซึ่งหนังสือประเภทนี้จะจบแบบนุ่มๆ หรือหนังสือที่สื่อเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กที่ต้องจากแม่ ซึ่งช่วยในเรื่องของการรอคอย ทำให้เห็นว่าเด็กคนอื่นก็รอคอยเหมือนกัน
ตัวหนังสือไม่มาก (150 – 300 คำ/ เล่ม) เฉลี่ย 12 หน้า ภาพกับตัวหนังสือสัมพันธ์กัน ตัวละครเป็นสัตว์ก็มีผลมาก และการใช้คำซ้ำจะทำให้เด็กจดจำ สนุก แล้วรู้สึกว่าตัวเองเก่งที่อ่านได้แล้ว ทั้งที่จริงยังอ่านหนังสือไม่ออก และควรเป็นหนังสือที่มีตัวช่วยในการคาดเดา ภาพชัดเจน รายละเอียดไม่มาก มีอารมณ์ขัน เด็กดูรายละเอียดเยอะจากภาพ ดังนั้นภาพต้องชัดเจน
หนังสือสอนการเข้าห้องน้ำ ในประเทศไทยไม่ค่อยมี เพราะผู้ใหญ่ไม่ค่อยกังวลว่าเด็กจะทำหรือไม่ทำ ซึ่งในทางกลับกัน ฝรั่งจะเข้มงวดมากๆ ถือเป็นเรื่องใหญ่ ต้องเข้าห้องน้ำให้เป็น หนังสือกลุ่มนี้จึงมีเยอะในต่างประเทศ
คุณลักษณะที่พึงประสงค์และการสร้างเสริม
คุณธรรมและกฎบางอย่างเป็นไปตามวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ ดังเช่น ฟรอยด์ เชื่อว่าด็กเกิดมาไม่ดี ไม่เลว เกิดมาเป็นศูนย์แล้วค่อยๆ พัฒนาความดี ความเลว
มีงานวิจัยพบว่า การที่ทารกแรกเกิด เห็นเพื่อนร้องไห้แล้วตัวเองร้องตาม เป็นความสามารถในการเริ่มรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้สึกสงสารคนอื่น ถ้ามีตัวร่วมรู้สึกนี้ เด็กคนนั้นจะมีศีลธรรม แต่หากไม่มีจะน่ากลัวมาก อารมณ์สงสาร เห็นใจ ช่วยเหลือ เด็กมีตั้งแต่เล็กแต่แสดงออกไม่ได้ จึงร้องไห้ตามเมื่อได้ยินเสียง คนที่เห็นคุณค่าในตัวเองจะมีภูมิคุ้มกันให้ตัวเองสูง เราสามารถถ่ายทอดผ่านวรรณกรรมเพื่อสอนให้เด็กเห็นคุณค่าในตัวเองได้ พัฒนาการทางอารมณ์ สังคม การควบคุมตัวเอง ความต้องการ สมาธิ และระยะเวลาของความสามารถในการรอคอยในแต่ละช่วงอายุจะเปลี่ยนไปตามวัย
ความรัก ความผูกพัน ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด การได้รู้ว่าในโลกนี้มีคนที่รักเขาอย่างที่สุด ทำทุกอย่างให้ฉันได้ ก็จะรักผูกพันกับคนนั้น เขาจะเห็นคุณค่าในตัวเองและเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
หากเด็กเล็กไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเรียกว่าอะไรเขาจะไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้ แต่หากรู้จัก เขาก็จะสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้โดยที่ไม่เกิดปัญหาตามมา
เกี่ยวกับการเขียนหนังสือประเภทบันเทิงคดี
• คุณภาพการเขียน มีจังหวะจะโคน ภาษาสวยงาม กระชับ
• ตั้งชื่อเรื่องน่าสนใจ สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง
• แก่นเรื่องไม่ซับซ้อน (เด็กความสนใจสั้น ประสบการณ์น้อย ถ้าซับซ้อน เขาจะไม่เข้าใจ)
• หลีกเลี่ยงการเน้นคุณธรรมอย่างออกหน้าออกตา ไม่ต้องสั่งสอนเยอะ ตรงเกินไป
• วางโครงเรื่องดี
• โครงเรื่องแปลกใหม่
• มีอารมณ์ขัน
• สนับสนุนให้เด็กเกิดการคาดเดา จินตนาการ ประเมินตัวเลือก
• ดึงดูดความรู้สึกของเด็ก เป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น แม่ เพื่อน การกินข้าว
• อ่านแล้วสนุก
• เด็กจะไม่สามารถรับได้กับเรื่องราวที่โหดร้ายมากๆ ดังนั้นเรื่องต้องไม่หนักเกินไป
หนังสือที่ดีจะต้องส่งสารแก่ผู้รับสารได้ 3 ทาง คือ
1. ตัวหนังสือ
2. ภาพ
3. จากภาพและเรื่องพร้อมกัน
“การก่อเกิดกระบวนการคิดและพฤติกรรมในเด็ก 0 – 3 ปี” โดย อ.พรพิไล เลิศวิชา
“การคิดเกิดจากการบูรณาการของการรู้จักเรื่องราว – ภาษา – รับรู้มิติ”
ไม่มีใครเข้าใจเด็กได้ดีเท่ากับตัวเด็กเอง แต่ข้อจำกัดทางภาษา เป็นข้อจำกัดหนึ่งที่ทำให้เราไม่เข้าใจเด็ก ซึ่งข้อจำกัดของการรู้จักเด็กเป็นปัญหาใหญ่ที่มีมานาน ด้วยเหตุนี้ “คนที่ทำหนังสือเกี่ยวกับเด็ก จะต้องคิด ค้นค้นคว้าว่าเด็กจะเป็นอย่างไร ชอบอะไร คิดอะไร”
สมองทารกวัยแรกเกิด – 3 ขวบ เริ่มมีการเรียนรู้แล้ว สิ่งที่อยู่ในสมองของเด็กมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น ในมุมของวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเด็กเปลี่ยนได้ พัฒนาได้ (ตามแนวคิดแบบมอนเตสเซอรี่)
เมื่อทารกเริ่มมองเห็น เซลสมองเริ่มยาว เด็กจะฉลาดขึ้น เด็กที่ถูกทอดทิ้งตามศูนย์เลี้ยงดู แขนของเซลจะเหี่ยว นักวิทยาศาสตร์ได้นำเซลสมองของเด็กทั้ง 2 กลุ่มไปศึกษา พบว่า เด็กที่ได้รับการกระตุ้นสายตาด้วยโมบายจะมีพัฒนาการสูงกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่ได้รับการกระตุ้น และการร้องเพลงเห่กล่อม ไกวเปลไปมาก็ช่วยกระตุ้นการเติบโตของสมองเด็ก ซึ่งสมองของมนุษย์จะเติบโตมากที่สุดในขณะที่หลับ
ในวัยเด็ก ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เซลสมองเติบโต ซึ่งหนังสือเด็กย่อมมีบทบาทต่อการกระตุ้นเซลสมองของเด็กแน่นอน ทั้งนี้การงอกของเซลสมองมีผลจากการกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม และความรู้ ความคิด เกิดจากการเชื่อมโยงของเซลในสมอง หากเด็กได้รับการกระตุ้นซ้ำๆ เมื่อโตขึ้นสมองจะอัศจรรย์มาก
วัย 3 ขวบแรก เป็นช่วงเวลาทอง เด็กวัย 0 – 3 ปี เป็นวัยมหัศจรรย์ที่สุดในโลก เด็กสามารถเรียนรู้มากกว่าที่เรารู้ มนุษย์ไม่รู้ว่าเด็กรู้อะไรบ้าง เด็กต้องรีบใช้สมองช่วงนี้ ถ้าไม่ใช้ ไม่ได้รับสิ่งที่ควรได้ เซลสมองแต่ละส่วนจะถูกตัดไปเรื่อยๆ ซึ่งสมองส่วนของภาษาจะถูกตัดเร็วที่สุด ส่วนคณิตศาสตร์จะถูกตัดช้า
• สมองใหญ่ – คิดและจำ
• สมองน้อย – ชำนาญการในเรื่องของจังหวะ เก่งกว่าและเกิดก่อนสมองใหญ่ ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เรียกได้ว่าเป็นผู้ช่วยของสมองใหญ่อีกที
ความชอบของเด็กที่มีต่อหนังสือ เกิดได้หลายแบบ ต่างกันไป ซึ่งความชอบ – ไม่ชอบ เป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาในการทำหนังสือ การหลั่งของสารเคมีมีผลกับมนุษย์ มีบทบาทในการกระตุ้น สารโดปามีน (Dopamine) เมื่อเกิดในสมองทำให้มีเรี่ยวแรง สนุก ในเด็กจะหลั่งเอง ทำให้กระตุ้นการอยากเรียนรู้ของเด็ก เกิดความชอบ – จำได้ – คาดเดา รู้ล่วงหน้าได้ ในทางกลับกัน คอร์ติซอล (Cortisol) ทำให้เซลสมองเริ่มตายลง เครียด อารมณ์ไม่ดี ไม่อยากทำ ดังนั้นถ้าจะพัฒนาการคิด ไม่จำเป็นต้องยัดเยียดให้แก่เด็ก
สมองต้องการรางวัล หนังสือแต่ละหน้าต้องสามารถคาดเดา (Predictable) ได้ หนังสือกลอนสัมผัสเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับเด็ก อาจเกินความสามารถนิดหนึ่ง แต่มันมีความท้าทาย เด็กจะชอบมาก สิ่งที่ต้องพึงระวังคือ สัมผัสห้ามผิด หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ คือหนังสือที่ใช้คำซ้ำบ่อยๆ มีเหตุการณ์ซ้ำๆ เพราะสมองชอบการซ้ำและมีผลต่อเด็ก สมองจะจำเหตุการณ์ได้ง่าย คาดเดาได้ ส่วนหนังสือบทเห่กล่อม / บทร้องเล่น หนังสือกลุ่มนี้จะมีมุมตลก ซึ่งสำคัญ แต่ต้องระวังตลกแบบน่าเกลียด ไร้สาระ การหัวเราะมีผลต่อมนุษย์มาก มีความหมายไม่ให้มนุษย์จมดิ่งสู่ภาวะเศร้าสุดๆ
ไม่มีใครเข้าใจเด็กได้ดีเท่ากับตัวเด็กเอง แต่ข้อจำกัดทางภาษา เป็นข้อจำกัดหนึ่งที่ทำให้เราไม่เข้าใจเด็ก ซึ่งข้อจำกัดของการรู้จักเด็กเป็นปัญหาใหญ่ที่มีมานาน ด้วยเหตุนี้ “คนที่ทำหนังสือเกี่ยวกับเด็ก จะต้องคิด ค้นค้นคว้าว่าเด็กจะเป็นอย่างไร ชอบอะไร คิดอะไร”
สมองทารกวัยแรกเกิด – 3 ขวบ เริ่มมีการเรียนรู้แล้ว สิ่งที่อยู่ในสมองของเด็กมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น ในมุมของวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเด็กเปลี่ยนได้ พัฒนาได้ (ตามแนวคิดแบบมอนเตสเซอรี่)
เมื่อทารกเริ่มมองเห็น เซลสมองเริ่มยาว เด็กจะฉลาดขึ้น เด็กที่ถูกทอดทิ้งตามศูนย์เลี้ยงดู แขนของเซลจะเหี่ยว นักวิทยาศาสตร์ได้นำเซลสมองของเด็กทั้ง 2 กลุ่มไปศึกษา พบว่า เด็กที่ได้รับการกระตุ้นสายตาด้วยโมบายจะมีพัฒนาการสูงกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่ได้รับการกระตุ้น และการร้องเพลงเห่กล่อม ไกวเปลไปมาก็ช่วยกระตุ้นการเติบโตของสมองเด็ก ซึ่งสมองของมนุษย์จะเติบโตมากที่สุดในขณะที่หลับ
ในวัยเด็ก ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เซลสมองเติบโต ซึ่งหนังสือเด็กย่อมมีบทบาทต่อการกระตุ้นเซลสมองของเด็กแน่นอน ทั้งนี้การงอกของเซลสมองมีผลจากการกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม และความรู้ ความคิด เกิดจากการเชื่อมโยงของเซลในสมอง หากเด็กได้รับการกระตุ้นซ้ำๆ เมื่อโตขึ้นสมองจะอัศจรรย์มาก
วัย 3 ขวบแรก เป็นช่วงเวลาทอง เด็กวัย 0 – 3 ปี เป็นวัยมหัศจรรย์ที่สุดในโลก เด็กสามารถเรียนรู้มากกว่าที่เรารู้ มนุษย์ไม่รู้ว่าเด็กรู้อะไรบ้าง เด็กต้องรีบใช้สมองช่วงนี้ ถ้าไม่ใช้ ไม่ได้รับสิ่งที่ควรได้ เซลสมองแต่ละส่วนจะถูกตัดไปเรื่อยๆ ซึ่งสมองส่วนของภาษาจะถูกตัดเร็วที่สุด ส่วนคณิตศาสตร์จะถูกตัดช้า
• สมองใหญ่ – คิดและจำ
• สมองน้อย – ชำนาญการในเรื่องของจังหวะ เก่งกว่าและเกิดก่อนสมองใหญ่ ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เรียกได้ว่าเป็นผู้ช่วยของสมองใหญ่อีกที
ความชอบของเด็กที่มีต่อหนังสือ เกิดได้หลายแบบ ต่างกันไป ซึ่งความชอบ – ไม่ชอบ เป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาในการทำหนังสือ การหลั่งของสารเคมีมีผลกับมนุษย์ มีบทบาทในการกระตุ้น สารโดปามีน (Dopamine) เมื่อเกิดในสมองทำให้มีเรี่ยวแรง สนุก ในเด็กจะหลั่งเอง ทำให้กระตุ้นการอยากเรียนรู้ของเด็ก เกิดความชอบ – จำได้ – คาดเดา รู้ล่วงหน้าได้ ในทางกลับกัน คอร์ติซอล (Cortisol) ทำให้เซลสมองเริ่มตายลง เครียด อารมณ์ไม่ดี ไม่อยากทำ ดังนั้นถ้าจะพัฒนาการคิด ไม่จำเป็นต้องยัดเยียดให้แก่เด็ก
สมองต้องการรางวัล หนังสือแต่ละหน้าต้องสามารถคาดเดา (Predictable) ได้ หนังสือกลอนสัมผัสเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับเด็ก อาจเกินความสามารถนิดหนึ่ง แต่มันมีความท้าทาย เด็กจะชอบมาก สิ่งที่ต้องพึงระวังคือ สัมผัสห้ามผิด หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ คือหนังสือที่ใช้คำซ้ำบ่อยๆ มีเหตุการณ์ซ้ำๆ เพราะสมองชอบการซ้ำและมีผลต่อเด็ก สมองจะจำเหตุการณ์ได้ง่าย คาดเดาได้ ส่วนหนังสือบทเห่กล่อม / บทร้องเล่น หนังสือกลุ่มนี้จะมีมุมตลก ซึ่งสำคัญ แต่ต้องระวังตลกแบบน่าเกลียด ไร้สาระ การหัวเราะมีผลต่อมนุษย์มาก มีความหมายไม่ให้มนุษย์จมดิ่งสู่ภาวะเศร้าสุดๆ
สิ่งที่อยู่ในหนังสือต้องทำให้เด็กรู้สึกว่าเขาอยากฉลาด ไม่ใช่สร้างแต่เรื่องอะไรก็ได้ที่ไม่เกิดการกระตุ้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกชาติจะมีวรรณกรรมที่ตัวละครต้องต่อสู้ ฝ่าฝันกับปีศาจหรือความร้ายกาจ ความเหี้ยมโหด นักวิทยาศาสตร์ Neuro Science ได้ไปทำการศึกษาว่าทำไมเด็กจึงชอบเรื่องโหดเหี้ยม ระทึกขวัญ ผลการศึกษาที่ได้คือ เหตุที่เด็กชอบความโหดร้าย เหี้ยมโหด ร้ายกาจ เพราะสมองจะต้องเตรียมตัวที่จะพบสิ่งนี้ในอนาคต ไม่มีโลกใบใดที่จะไม่เจอความเหี้ยมโหด สมองต้องการฝึกให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
สำหรับหนังสือที่ให้ข้อมูลข่าวสาร ประเภทหนังสือข้อมูลล้วน (Information book) จะมีเด็กส่วนหนึ่งที่ชอบหนังสือประเภทนี้ อีกส่วนอาจจะไม่ชอบ ทั้งนี้เพราะพัฒนาการของเด็กแต่ละคนต่างกัน โดยพันธุกรรมมีบทบาท 30% ต่อความชอบหนังสือประเภทนี้ของเด็ก
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทยนั้นเหมาะกับการนำมาทำหนังสือภาพสำหรับเด็กมาก แต่เราจะสามารถนำ “ภาพไทย” เข้าสู่วงการหนังสือเด็กได้หรือไม่? นั้นเป็นสิ่งที่ฝากให้นักเขียน นักวาดอาจจะต้องนำไปคิดต่อ
“เด็กในปัจจุบันนี้คือผลผลิตของหนังสือเด็กเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ดังนั้น เด็กในอนาคตก็คือผลผลิตของหนังสือเด็กในวันนี้”
สำหรับหนังสือที่ให้ข้อมูลข่าวสาร ประเภทหนังสือข้อมูลล้วน (Information book) จะมีเด็กส่วนหนึ่งที่ชอบหนังสือประเภทนี้ อีกส่วนอาจจะไม่ชอบ ทั้งนี้เพราะพัฒนาการของเด็กแต่ละคนต่างกัน โดยพันธุกรรมมีบทบาท 30% ต่อความชอบหนังสือประเภทนี้ของเด็ก
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทยนั้นเหมาะกับการนำมาทำหนังสือภาพสำหรับเด็กมาก แต่เราจะสามารถนำ “ภาพไทย” เข้าสู่วงการหนังสือเด็กได้หรือไม่? นั้นเป็นสิ่งที่ฝากให้นักเขียน นักวาดอาจจะต้องนำไปคิดต่อ
“เด็กในปัจจุบันนี้คือผลผลิตของหนังสือเด็กเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ดังนั้น เด็กในอนาคตก็คือผลผลิตของหนังสือเด็กในวันนี้”