มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

เล่มโปรด หนังสือเปลี่ยนชีวิต

ลกหนังสือจำกัดอยู่ที่หน้ากระดาษอันมีตัวอักษรร้อยเรียงเป็นเรื่องราวความรู้ ความบันเทิง หลากรส หลายอารมณ์ ทว่าอัดบดย่อย่อยสาระย่นเวลาค้นหา เพียงแค่ใช้เวลานั่งอ่านจากเล่ม หลายคนจึงยกให้หนังสือเป็นอาหารสมอง คลังแห่งความรู้ เข็มทิศนำทาง อันมอบทั้งสาระ ความบันเทิง สุดแต่ใครจะไขว่คว้าเล่มไหนมาครอง

หนังสือถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลทางมุมมอง ความคิด ความเชื่อและทัศนคติของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับว่า คนคนนั้นหยิบจับเล่มไหนมาอ่าน แล้วจะซึมซับต่อยอดได้แค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

บางครั้งอ่านเล่มเดียวกัน การตีความอาจเหมือนหรือต่างกันได้ หลายคนยอมรับว่า หนังสือเล่มแรกที่หยิบจับมาอ่านจะส่งผลถึงอนาคตคนคนนั้น แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะช่วงชีวิตมนุษย์แบ่งได้หลายช่วง ดังนั้น อิทธิพลของหนังสือแต่ละเล่มก็มีช่วงวัยเช่นเดียวกัน

 

โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์

 

ดังที่ อาจารย์พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักวิชาการ นักวิจารณ์ชื่อดัง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ สะท้อนถึงการอ่านหนังสือที่ชอบและเล่มที่เปลี่ยนชีวิตว่า หนังสือที่ชอบกับหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตอาจไม่เหมือนกัน หากถามถึงหนังสือที่เปลี่ยนชีวิต

"ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตสมัยเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยคือ "หนี" ของ ขรรค์ชัย บุนปาน"

หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตตอนเรียนปริญญาตรีคือ "บททดลองเสนอว่าด้วยทฤษฎีสังคมนิยมในแง่วัตถุนิยามประวัติศาสตร์" ของ สุวินัย ภรณวลัย และ "รู้สึกแห่งยุคสมัย" ของ เกษียร เตชะพีระ

หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตตอนปริญญาโท คือ "City and the Grassroots" ของ Manuel Castells หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตตอนปริญญาเอก คือ "Selections from the Prison Notebooks" ของ Antonio Gramsci

แต่ถ้าถามว่าหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผมมากที่สุดที่อ่านตั้งแต่เด็กถึงวันนี้ก็คือ หนังสืองานศพของพินิจ พงษ์สวัสดิ์ พ่อของผมเอง

ส่วนเปลี่ยนชีวิตอย่างไรนั้น อาจารย์พิชญ์ไม่ได้ให้เหตุผลไว้ แน่นอนว่าหนังสือคือสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตนักคิดนักวิชาการผู้นี้ในแต่ละช่วงวัย

สำหรับคนที่เดินในสายวรรณกรรม หนังสือก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ อย่าง "ทรงศีล ทิวสมบุญ" นักเขียนหนังสือแนว "กราฟิกโนเวล" อาทิ ถั่วงอกกับหัวไฟ, Improvise, Nine Lives, Once Upon Sometimes, บ็อบบี้ สวิงเกอร์ส และฝุ่นกับฝนมรกต อธิบายถึงแรงบันดาลใจสำหรับการตกผลึกสร้างสรรค์ผลงานแต่ละชิ้นของตนเองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์, ดนตรี, หนังสือ และสิ่งที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ถูกนำมาร้อยเรียงใหม่ด้วยรูปภาพผสานข้อความในสไตล์เหนือจริง

"หากพูดถึงนักเขียนที่เป็นไอดอลจริง ๆ คงไม่มีสักเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะหยิบเล่มไหนมาอ่านมักจะเกิดคำถามกับงานชิ้นนั้นอยู่ตลอด แต่ถ้าต้องเลือกที่ชอบจริง ๆ แล้วขอเลือก สตีเฟ่น คิง กับ นิว กายแมน"

เหตุผลที่ "ทรงศีล" ตัดสินใจเลือกนักเขียน 2 รายนี้ เพราะผลงานเขียนของ "สตีเฟ่น คิง" เต็มไปด้วยความล้น เกินพอดี รสชาติแปลกประหลาด พิลึกพิลั่น กล้าเล่าเรื่องในลีลาเกรดบี ไม่สมบูรณ์ (บางครั้งแลดูเยิ่นเย้อ) แต่กลับมีสเน่ห์ให้ความสนุกสุดขีด

ขณะที่ "นิว กายแมน" อาจจัดได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของสตีเฟ่น คิง เนื่องจากเนื้อหามีความพอดีลงตัว เลือกเล่าเรื่องแต่ส่วนที่จำเป็นเท่านั้น

"ความจริงถ้าเอา 2 คนนี้มารวมกันแล้วหารสองมันจะเป็นงานที่สนุกมาก ขณะที่คนนึงสนุกเต็มที่ กับอีกคนระวังทุกย่างก้าวที่เดิน"

"วาสนา นาน่วม" นักข่าวสายทหาร เจ้าของหนังสือ "ลับ ลวง พราง" ที่ยกให้คอลัมน์จากหนังสือพิมพ์เปลี่ยนชีวิตของเขา หลังได้อ่านคอลัมน์ "ซอยสวนพลู" ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ตั้งแต่เรียนมัธยมฯ

จุดนั้นเองทำให้วาสนาตัดสินใจจะเป็นนักหนังสือพิมพ์ ตั้งใจแน่วแน่จะเข้าเรียนวารสารศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ จากเดิมอยากเป็นมัคคุเทศก์

"สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นหนังสือพิมพ์ อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์รอบรู้ และวาทะ สำนวนการเขียนสุดยอด อยากเป็นแบบท่าน โดยเฉพาะเรื่องความรู้และการใฝ่หาความรู้แก่ผู้อ่านนั้นสุดยอด"

นักข่าวสาวสายทหารบอกว่า การอ่านหนังสือพิมพ์มาก ๆ ทำให้รับรู้ปัญหาบ้านเมือง และคิดว่าการเป็นนักข่าวน่าจะเจาะถึงปัญหาได้

"อาจเพราะพี่ฮาร์ดคอร์ด้วย บ้าธรรมศาสตร์ เรื่อง 14 ตุลา 6 ตุลา รู้ว่ามหา"ลัยศักดิ์สิทธิ์ผสมกัน"

วาสนายอมรับว่า เธอเกิดมาเพื่องานข่าว และนำประสบการณ์ทำข่าวมาเขียนรวมเล่มอาจจะยังไม่ดีมาก

"หนังสือที่เขียนเน้นกระชับ ตรงประเด็น แต่ภาษาไม่สวย โดนด่าอยู่เสมอ" (หัวเราะ)

สักวันหนึ่ง นักข่าวสาวสายทหารบอกว่าเธออยากจะคลอดวรรณกรรมเพื่อชิงรางวัลซีไรต์ โดยดึงเอาความอ่อนไหวที่ซ่อนอยู่ในตัวเองออกมา

นักแปลหนังสือแนววิทยาศาสตร์ "ดร.ภาณุ ด่านวานิชกุล" ผู้แปลหนังสือ "Non-Fiction" แนว "Popular Science" อย่าง "ฟิสิกส์เพื่ออนาคต", "E=mc2 ชีวประวัติสมการปฏิวัติโลก", "20 คำถามสำคัญของเอกภพ" และ "เบนจามิน แฟรงคลิน บุรุษหลายมิติ"

นักแปล Non-Fiction เล่าว่า หนังสือที่ชอบอ่านส่วนใหญ่เป็นแนว Popular Science เพราะมีเนื้อหาที่เล่าเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้คนส่วนใหญ่มองว่าเป็น เรื่องยากและห่างไกลจากการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปให้กลายเป็นเรื่องเข้าใจ ง่ายและรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์กระจายอยู่รอบตัวเรา อีกอย่างหนังสือแนวนี้ยังแนะนำให้นักศึกษาไปหามาอ่าน เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ให้ย่อยง่ายยิ่งขึ้น เป็นการเสริมสิ่งที่เรียนในตำรา

"ส่วนตัวคิดว่าการหนังสือแนว Popular Science ช่วยทำให้มองโลกเล็กลงและลึกขึ้นในระดับนาโนและโมเลกุลของสสาร ซึ่งปกติไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหากไม่ใช่เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย"

พิธีกรอารมณ์ดีเปี่ยมความฮา"จอห์น-วิญญู วงศ์สุรวัฒน์" พิธีกรรายการโทรทัศน์ออนไลน์ "i-here TV" และผู้เขียนหนังสือเรื่อง "กระชาก ต่อมงึด" และ "จอห์น เกรียน ยู" เลือกหยิบหนังสือ "Blink" ของ "มัลค่อม กลาดเวลล์" ขึ้นมาเป็นเล่มที่ชอบและติดใจตอนนี้

"หนังสือเล่มนี้มันช่วยให้เปิดมุมมองกับต่อยอดความคิดของผมในการทำงานได้ดีทีเดียวเป็นการรวบรวมบทความที่มัลค่อมเขียนลงหนังสือพิมพ์ ซึ่งเนื้อหาในเล่มจะเป็นการหยิบเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา หรือพฤติกรรมทางเศรษฐศาสตร์ขึ้นมานำเสนอ ด้วยข้อมูลที่ละเอียด ชัดเจน และเป็นระบบ"

จอห์นอธิบายคอนเซ็ปต์ของหนังสือเล่มนี้ด้วยประโยคหนึ่งว่า บางครั้งการที่คนเราคิดว่าตัวเองไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบด้านก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว อาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ เช่น การแต่งงาน ไปจนถึงการรบ แต่ความจริงมันอาจจะยังมีมุมมองอื่นที่เรายังมองไม่เห็นก็เป็นได้

"เท่าที่เห็นในตอนนี้ คนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะเสี่ยงตัดสินใจลงมือทำหรือเลือกเชื่อ ทั้งที่ตัวเองยังมีข้อมูลในเรื่องนั้นไม่เพียงพอ หลายครั้งมันได้แสดงให้เห็นว่าการขาดข้อมูลแล้วลงมือทำมันส่งผลเสียมากกว่าได้"

ส่วนหนังสือที่ทำให้จอห์นกลายเป็นนักอ่านโดยไม่รู้ตัวก็คือ"The Chronicles of Narnia" ของ "ไคลฟ์ สเตเปิล เลวิส" มีเหตุผลมาจากการถูกบังคับให้อ่าน พร้อมกับถกเถียงประเด็นนี้กับพ่อแม่มาตั้งแต่ยังเด็ก

"ตุล ไวฑูรเกียรติ หรือตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า" นักดนตรี นักแต่งเพลง นักกวี และนักลงทุนผู้ชื่นชอบศาสตร์แห่ง "เศรษฐศาสตร์" บอกว่า "หนังสือที่มีอิทธิพลสำหรับผมต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ยังเด็ก ๆ เป็นหนังสือที่ง่ายมาก แต่ทำให้รักการอ่านนั่นคือหนังสือที่ชื่อว่า "ชีวิตสัตว์โลก" เป็นหนังสือสะสมสติ๊กเกอร์ให้เราติดรูปสัตว์ต่าง ๆ ผมว่านี่เป็นจุดกำเนิดที่ทำให้เราติดตามอยากเรียนรู้เรื่องของสัตว์ และทำให้รักการอ่าน"

พอโตขึ้นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขามีหลายเล่มมาก และชอบอ่านที่สุดคือ หนังสือของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" เกี่ยวกับการลงทุนในแนวเศรษฐศาสตร์ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ แต่ใช้ชีวิตเรียบง่ายมาก ไม่ใช่เงินฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช้ชีวิตหวือหวา และเงินก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด

"ผมมองการลงทุนของเขาเป็นเหมือนงานศิลปะ นี่เป็นเรื่องสนุกนะ ส่วนเล่มที่อ่านเล่มแรกชื่อว่า วาทะของวอร์เรน บัฟเฟตต์"

ศิลปินผู้มากความสามารถ "โก้ Mr.Saxman" เล่าว่า เล่มล่าสุดที่อ่านแล้วมีอิทธิพลต่อเขามาก คือ "งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า" ของวิสูตร แสงอรุณเลิศ (บอย)

"ผมเห็นหน้ารูปหน้าปกหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว ยืมคนรู้จักมาอ่านทีเดียวจบแล้ว เป็นมุมมองปัจจุบัน ของคนทำงาน อยู่กับเงินที่ต้องทำประโยชน์ให้มากที่สุด คิดให้เป็นสุขมากที่สุด"

แต่หนังสือเล่มแรก ๆ ที่อ่านในช่วงยังเด็ก ถ้าเป็นนิยายชอบเรื่อง "เราจะข้ามเวลามาพบกัน" (Only love is real) เป็นงานเขียนของ ดร.ไบรอัน แอล. ไวซ์ จิตแพทย์ที่ค้นพบวิธีสะกดจิตบำบัดระลึกชาติโดยบังเอิญ ผมอ่านตอนเด็ก ๆ หนังสือเล่าแบ็กกราวนด์ของตัวละครแต่ละตัวได้ดี ผ่านการบันทึกถ้อยคำที่มาพบหมอ สะกดจิตรักษาให้ผู้ป่วยย้อนอดีต

"อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หรือ เล็ก-Greasy Cafe" ศิลปินอินดี้ แม้จะไม่ได้เป็นหนอนหนังสือ แต่ก็มีหนังสือที่เขาประทับใจคือ "พันธุ์หมาบ้า" ของ "ชาติ กอบจิตติ" ผมอ่านตอนอายุ 20 กว่า ๆ เป็นเรื่องที่สนุกและนักเขียนเก่งมาก อ่านแล้วเหมือนได้นั่งอยู่ในวงสนทนาด้วย

"เหมือนเราหลุดไปอยู่ในหนังสือด้วย"

"อุทิศ เหมะมูล" นักเขียนซีไรต์ 2552 จาก "ลับแล, แก่งคอย" เลือกให้ "พี่น้องคารามาซอฟ ของ ฟีโอโดร์ ดอสโตเยฟสกี" เป็นหนังสือที่ดึงเขาเข้าสู่โลกวรรณกรรม

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ต้องบอกว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิกขนาดหนาหนักเล่มแรกที่ใช้เวลาไม่นานอ่านจนจบ ด้วยเนื้อหาเรื่องราวที่เร่งเร้า ชวนติดตามไปทุกบท ทุกตอน เป็นนวนิยายที่อ่านด้วยความเหนื่อย ตื่นเต้น และใจสั่น เพราะเร้าความสนใจของเราตั้งแต่ต้นจนจบ

"ในพี่น้องคารามาซอฟมีจักรวาลของตัวละครอันกว้างใหญ่อยู่ในนั้น ทุกตัวละครมีบุคลิกภาพโดดเด่นเฉพาะตัว ยิ่งไปกว่านั้นคือมีมิติ มีชีวิตจิตใจ ตัวละครแทบทุกตัวในนวนิยายเรื่องนี้สอนให้ผมรู้จักการสร้างตัวละครของตัวเอง ในแง่ที่ให้ตระหนักว่า มนุษย์ทุกผู้มีตื้นลึกหนาบาง และพร้อมจะเปลี่ยนแปลง ผกผันไปตามสถานการณ์หรือกาลเวลาที่ดำเนินไป ภาวะที่นักเขียนจะต้องเข้าใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ดอสโตเยฟสกีได้สำแดงการเฝ้าสังเกตชีวิต กาลเวลา สถานการณ์ ความเชื่อ ความคิด อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ของผู้คนและสังคมได้อย่างมีหูและตาชั้นเอกดังว่าไม่อาจมีอะไรหลุดรอดไปจากการเฝ้าสังเกตตลอดเวลาของนักเขียนผู้นี้ไปได้"

การอ่านเปรียบเหมือนการเพิ่มต้นทุนชีวิตอย่างหนึ่ง

 

ขอบคุณบทความดีๆจากเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ
http://เล่มโปรด หนังสือเปลี่ยนชีวิต