“เด็กต้องอยู่กับธรรมชาติ ต้องมองเห็นต้นไม้ ใบไม้ที่เคลื่อนไหว” หนึ่งเสียงจาก ศพด. ต้นแบบ 3 ดี วิถีพัฒนานอกห้องเรียนและพลังงานแห่งเสียงหัวเราะ
“เด็กต้องอยู่กับธรรมชาติ ต้องมองเห็นต้นไม้ ใบไม้ที่เคลื่อนไหว”
หนึ่งเสียงจาก ศพด. ต้นแบบ 3 ดี วิถีพัฒนานอกห้องเรียนและพลังงานแห่งเสียงหัวเราะ
บ้างว่าเด็กน้อยเป็นผ้าขาวที่ผู้ใหญ่ต้องทะนุถนอมไม่ให้หมองมีมลทิน บ้างก็ว่า แท้จริงเด็กน้อยนั้นเป็นผืนผ้าใบว่างเปล่า ที่รอคอยการแต่งแต้มจากผู้ใหญ่ แต่บางคนอาจมองว่า เด็กน้อย คือผวยผ้าสกปรกที่ผู้ใหญ่ต้องเข้ามาช่วยซักล้างให้สะอาดเอี่ยม
ต่างคน ต่างความคิด
ในงาน “สัมมนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสู่ ศพด.3 ดี ต้นแบบ” ดำเนินงานโดย สำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม(สำนัก ๖) ร่วมกับสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ (สำนัก ๕) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน รวมพลังครูของเด็กน้อยกว่า 30 ชีวิต เพื่อสร้าง ศพด. ต้นแบบ นำร่องให้เด็กๆ ได้เติบโตอย่างมีความสุขในทุกด้าน
ผู้เขียนมีโอกาสคุยกับคุณครูน้อง (นาง นพมาศ วงศ์ษาพาน) จากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จ. กาฬสินธุ์ คุณครูที่ไม่ได้เรียนครูมาโดยตรง ซึ่งนั่น ยิ่งเป็นเหตุผลให้เธอเชื่อว่า “เราก็เลยต้องหาให้มากกว่าคนอื่น”
คุณครูน้องเล่าว่าเข้ามาอยู่ในโครงการนี้ได้เนื่องจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดส่งหนังสือมา “มีโครงการ (ศพด.ต้นแบบ 3 ดี) ของ สสส. คุณสนใจไหม? ถ้าสนใจก็ลองติดต่อเข้ามาดู เราก็เลยเขียนโครงการเข้ามา”

เขียนเข้ามาเองเหรอครับ?
“ใช่ค่ะ เขียนเอง เพราะว่าเราเป็นนักวิชาการของที่ศูนย์อยู่แล้ว พวกโครงการต่างๆ เราก็เขียนเอง และเป็นครูด้วย ศูนย์เด็กเล็ก เป็นเด็กก่อนวัยเรียน 2-3 ขวบ ไม่ถึง 4 เพราะว่าถ้าถึง 4 ขวบจะส่งต่อไปที่อนุบาล”
หลังโครงการอนุมัติสิ่งที่ดำเนินการไปมีอะไรบ้างครับ?
“ครูน้องไปวาดรูปบนกำแพง เด็กๆ เขาก็สนใจ เราจะวาดเป็นสวนสัตว์ แล้วพาเด็กออกไปเรียนที่นั่นเลย ใช้ผนังของเรา ผนังจินตนาการในการสอน อย่างถ้าจะเรียนเรื่องทะเล เราก็ไปฝั่งทะเล วันต่อไปเราจะเรียนเรื่องอาเซียน เราก็ไปผนังฝั่งอาเซียน เข้าไปเรียนธงชาติอาเซียนที่เราใส่เข้าไป สลับกันไปแต่ละห้อง ทางศูนย์เรามีทั้งหมดแปดห้อง แต่ในอาคารของเรารับเด็กได้แค่ 80 คน แต่เด็กของเรามี 163 คน ตอนแรกมี 103 คน เพิ่มขึ้นมา 60 คน เพราะผู้ปกครองตอบรับดี”
ตอบรับดียังไงครับ?
“ค่ะ อย่างเมื่อก่อน เรายังไม่มีบ่อดิน บ่อน้ำ บ่อทราย เหตุผลเพราะผู้ใหญ่เป็นห่วง กลัวเลอะ กลัวเข้าตา กลัวเสื้อผ้าเด็กเปื้อน จนกระทั้งโครงการ สสส. ปีที่แล้วเข้ามาสนับสนุน ทำความเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ถึงได้กล้าลงมือทำ ปรากฏว่าเด็กเล่นทุกวัน เด็กสนุกมาก ขนทรายกลับบ้าน ใส่กระเป๋ากลับบ้าน เขาบอกว่าที่บ้านเขาไม่มีทราย บางคนถอดถุงเท้ามา แล้วก็ยัดทรายใส่ถุงเท้ากลับบ้านแทบทุกวัน ผู้ปกครองก็ชอบ บอกว่าดี เพราะว่าส่วนมากเด็กจะอยู่ในเมือง แล้วพื้นที่เล่นทรายเล่นดินกลางเมืองไม่มี มีแต่ตึก ผู้ปกครองบอกมาโรงเรียนแล้วดี เด็กได้ขนทรายกลับบ้าน”
แล้วคิดยังไงครับที่มีคนบอกว่าไม่ควรมี สกปรก?
“เราคิดว่าไม่ถูกต้องนะ เด็กต้องอยู่กับธรรมชาติ ต้องมองเห็นต้นไม้ ใบไม้เคลื่อนไหวเด็กก็หัวเราะ นี่คือความเป็นจริง แต่ผู้ใหญ่บางท่านเขาอาจจะไม่มองเหมือนครูว่าเวลาเด็กเล่นน้ำเล่นทรายเขาสนุก แต่ถ้าไปนั่งท่อง เขาไม่สนุก ซึ่งผู้ใหญ่เขาก็คงต้องการให้เด็กเก่ง แต่ไม่ได้มองว่าทำยังไงเด็กจะสนุกสนาน ทำยังไงเด็กจะมีจินตนาการ (เสียงเศร้า) เขาไม่ได้คิดถึงตรงนี้”
เป้าหมายของโครงการ ศพด. ต้นแบบ คุณครูต้องการให้นำไปสู่อะไรครับ?
“พื้นที่ 3 ดีค่ะ (สื่อดี พื้นที่ดี ภูมิดี) แต่ว่าตอนนี้หลายที่ที่มาดูงานเราเขาบอกว่าศูนย์เรานี่ดี พื้นที่สวยงาม ดีทุกอย่าง แต่เรายังไม่มี BBL (Brain based Learning) เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่วางแผนว่าจะทำในขั้นต่อไปของโครงการ”
BBL คืออะไรครับ?
“การพัฒนาสมองค่ะ ทั้งซีกซ้ายและซีกขวาของเด็ก และพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ ทั้งมือทั้งเท้า อาจจะเป็นลานเล่นก็ได้ เป็นต้นไม้ก็ได้ ทำยังไงก็ได้ ให้เด็กได้พัฒนาร่างกาย กล้ามเนื้อ สมอง พัฒนาจินตนาการของเด็กค่ะ โดยที่เด็กเป็นคนลงมือปฏิบัติเอง ไม่ใช่ครูเป็นคนปฏิบัติ แล้วให้เด็กทำตามเหมือนครูท่อง ก.เอ๋ย ก.ไก่ แล้วเด็กต้องพูดตาม แบบนั้นไม่ใช่ BBL , เหมือนครูสอนแต่ในกระดาษว่า “ลูก นี่นะคะต้นไม้ เขาก็จะเห็นแต่ในกระดาษ แต่ถ้าออกไปข้างนอก เขาสามารถรู้ไหมว่าสิ่งนี้คือต้นไม้? เขาไม่รู้ เราต้องพาเด็กไปเรียนรู้จากสถานที่จริง”
แล้วมีตัวชี้วัดไหมครับว่าทำเสร็จครบ ตอนนี้เด็กพัฒนาการขึ้น?
“มีค่ะ เรามีสรุปพัฒนาการด้วยว่าเด็กพัฒนาส่วนไหนบ้าง ที่เห็นเด่นชัดคือ เราให้เด็กเดินบนบันไดที่เราทำขึ้นมา ซึ่งตอนแรกมีเสียงติงมาว่าเด็กสองขวบเขาจะไม่ล้มเหรอ? แต่ว่าเห็นผลชัดคือผ่านไปไม่ถึง 3 เดือน เด็กสามารถขึ้นและเดิน และกระโดดได้ทุกคน ทุกคนเลยนะคะ ผู้ปกครองยังเห็นได้ จากวันแรก อุ้มลูกมา ลูกเดินยังไม่แข็ง ไม่กล้าปล่อยลูกลง กลัวลูกล้ม แต่คนอื่นอาจจะเร็วกว่านี้ เข้ามาในศูนย์ได้หนึ่งเดือน ห้าวัน สิบวัน ก็แข็งแรงขึ้น แต่ที่เรานับคร่าวๆ คือสามเดือน เราขอความร่วมมือจากสาธารณสุขเข้ามาวัดพัฒนาการเด็กเลย ติดกระดุมเองได้ไหม? ใส่เสื้อเองได้ไหม? เดินได้ไหม? สาธารณสุขก็ยังยอมรับเลยว่าพัฒนาการเด็กดีขึ้น”
จากที่ฟัง มีเรื่องร่างกาย การพูด แล้วนอกจากนั้นมีเรื่องอะไรอีกไหมครับที่เห็นว่าเด็กเปลี่ยนแปลง?
“อารมณ์ค่ะ การเข้าสังคม ดีขึ้น อย่างน้องไม้(นามสมมุติ) เมื่อก่อนอยู่ในห้องไม่เคยออกจากมุมห้อง เขามาโรงเรียนต้องไปนั่งมุมห้องตลอด ไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะกลับ ไม่คุยกับเพื่อน ไม่คุยกับครู แต่พอเราพาออกไปข้างนอก เขาก็ดีขึ้น เขาบอกว่าไม่อยากอยู่ในห้อง ไม่อยากโดนขัง เด็กชอบการเรียนรู้นอกห้องเรียนอยู่แล้ว ยังไงก็ได้ ไม่ต้องขังเขาไว้ในห้องสี่เหลี่ยม จินตนาการเขาเกิดอยู่แล้วค่ะ ใบไม้ตกแล้วปลิวไปตามพื้น เขาก็จินตนาการว่านี่คือตัวหนอน เราก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวหนอนตรงไหน แต่เขาบอกว่าคุณครู ตัวหนอน หนอนมันกำลังเดิน เราก็ต้องหนอนไปกับเขา (หัวเราะ) เพราะนี่คือจินตนาการของเขา การเกิดแรงบันดาลใจของเขา
แล้วกับคุณครูเองได้เรียนรู้อะไรจากโครงการนี้บ้างครับ?
“เยอะมากเลยค่ะ ตัวเราไม่เคยคิดว่าจะสอนเด็กได้ เพราะเราเป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่ได้จบครูมาโดยตรง ไปวันแรก จะสอนยังไง แต่หลังจากที่มาเข้าอบรมกับ สสส. ครั้งแรก ได้เรียนรู้เรื่องการดูแลเด็กเยอะมาก ประทับใจ เด็กเขาทำอย่างนี้เหรอ เขาต้องเรียนอย่างนี้เหรอ ต้องเอาเขาออกนอกห้องเหรอ ต้องสร้างจินตนาการให้เขา ในขณะที่เราคิดว่า เด็กแค่ท่อง ก.ไก่ ก็พอมั้ง อนุบาลเนอะ ไม่ต้องทำอะไรมาก ท่อง ก.ไก่ ABC ผู้ปกครองก็คงชอบแล้ว”
แล้วหลังจากที่มาทำรู้สึกตัวเองใจเย็นขึ้นไหมครับ?
“ก็เย็นขึ้นนะคะ ไม่เคยตีเด็ก ไม่เชื่อในเรื่องการใช้ไม้เรียว ยิ่งตีเขายิ่งไม่ฟัง ตีเลย ตีเสร็จก็เสร็จ แต่ถามว่าแล้วต่อไปเขาจะฟังคุณไหม? สอนเขาให้เขาเข้าใจดีไหม? ดีกว่าการลงโทษ ถามเขาดีๆ ด้วยเหตุผลจะดีกว่าการลงโทษไหม? ถ้าคุณลงโทษ เขาก็จะจำอยู่แค่นั้น ว่าทำไปแล้วก็จะโดนตี แล้วก็จบ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าแล้วผิดอะไร แล้วเขาก็จะไม่รู้ว่าสิ่งนี้ทำได้หรือไม่ได้ เขาก็จะไม่รู้อะไร…”
เสียงเรียกของวิทยากรบอกว่าได้เวลาสำหรับกิจกรรมต่อไป ผู้เขียนกล่าวขอบคุณคุณครูน้องที่สละเวลามาให้ความคิดเห็นดีๆ และรู้สึกขอบคุณที่เด็กไทยโชคดี มีครูที่มองเห็นเด็กเป็นเด็ก เยาววัยที่ควรได้ยิ้ม หัวเราะ และเห็นโลก ไม่ใช่ขลุกอยู่แต่ในห้องจ้องกระดาน คุณครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็นกลไกสำคัญยิ่งของการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตเด็กช่วงวัย 2-5 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เรียนรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวได้รวดเร็วที่สุด และเป็นช่วงที่สมองพัฒนาสูงสุดกว่า 80 % ของชีวิตมนุษย์ เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาศักยภาพ และทักษะความสามารถของครู จึงเป็นหัวใจของการพัฒนาเด็กไทยทั้งชาติ ขอเป็นกำลังใจให้คุณครู ศพด. ทุกท่านครับ
ประธาน สำราญรัมย์ รายงาน

