มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

“อ่านทุกวันสร้างสรรค์ปัญญา”

"อ่านทุกวันสร้างสรรค์ปัญญา" ถ้อยคำนี้ถูกกลั่นมาจากนักปราชญ์เนิ่นนานมาแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ สอดรับกับบทสรุปที่ว่า"หนังสือ" คือแสงสว่างที่จุดประกายความคิด จินตนาการ และประสบการณ์ให้กับผู้อ่านทุกวัย แต่เน้นว่าต้องส่งเสริมให้เด็กไทยรักการอ่านตั้งแต่เยาว์วัย รวมถึงให้สังคมเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ และเสริมสร้างสติปัญญาให้แก่เด็กอย่างเหมาะสมที่เกิดจากการอ่าน

      วันนี้มีแนวโน้มที่น่าห่วงจริงๆ ว่าเด็กไทยคนไทยอ่านหนังสือจากหนังสือเล่มน้อยลง
จึงต้องชื่นชมผู้ห่วงใยที่มองเห็นจุดนี้ก็คือ แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านภายใต้ การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สะกิดให้หลายฝ่ายหันมาตระหนักให้ปลูกฝังการอ่านแก่เยาวชนตั้งแต่เล็กๆ กันเลยทีเดียว โดยได้จัดมอบรางวัล โครงการ"หนังสือคัดสรร 108 หนังสือดี เปิดหน้าต่างแห่งโอกาส ในการพัฒนาเด็กวัยเรียน" ให้กับ 18 สำนักพิมพ์ ผู้จัดพิมพ์หนังสือที่ได้รับการคัดสรรเป็น 108 หนังสือดีสำหรับเด็กวัยเรียน พร้อมทั้งส่งมอบหนังสือให้กับหน่วยงานเครือข่าย และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ร่วมรณรงค์ส่งเสริมการอ่านแทนการบ้าน และการเรียนแบบเร่งรัดเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการ และเรียนรู้อย่างมีความสุขโครงการ"หนังสือคัดสรร 108 หนังสือดี เปิดหน้าต่างแห่งโอกาสในการพัฒนาเด็กวัยเรียน"เป็นโครงการที่จัดต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา

      โดยคัดเลือกหนังสือดีสอดคล้องกับ"หน้าต่างแห่งโอกาส"ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ พัฒนาการด้านสมองเรียนรู้ดีที่สุดของเด็กวัยเรียน 6-9 ปี ซึ่งหนังสือทั้ง 108 เล่ม เป็นหนังสือที่ให้ความสุขและความสนุก เนื้อเรื่องสอดคล้องกับพัฒนาการเรียนรู้ทักษะต่างๆ ของเด็กวัยเรียน มีทั้งหนังสือของไทย อย่างเช่นกล้วยน้ำว้าหน้าเหลือง การเดินทางของเมล็ดต้อยติ่ง บ้านฉันมหัศจรรย์ และหนังสือแปลจากต่างประเทศ อย่างเช่นนางฟ้าขี้โคลน เดินเล่นในป่า ใครว่าหมูบินไม่ได้ และอีกหลายเล่มผู้ให้ความสำคัญกับการอ่านอย่างสุดใจพรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน บอกว่า เด็กช่วงอายุ6-9 ปี เป็นช่วงเหมาะสม ที่จะส่งเสริมหลอมให้รักการอ่าน จุดเริ่มพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อกระบวนการเรียนรู้ด้านต่างๆ ทั้งด้านภาษา ความคิดวิเคราะห์ หรือการสื่อสารถือว่าเป็น"ช่วงโอกาสทอง"ของเด็กวัยนี้ ที่จะได้รับโอกาสของการเรียนรู้ การสร้างสัมพันธภาพให้กับครอบครัว และกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน รวมถึงโอกาสแห่งการบ่มเพาะ ปลูกฝัง กลั่นกรองการเรียนรู้และการอ่าน เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการและทักษะชีวิตเมื่อโตขึ้น

      ด้านคุณหมอใจดีอย่าง นพ.ทวีศิลป์วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็ก และวัยรุ่นราชนครินทร์ เล่าว่า มีลูกช่วงอายุ 6-9 ปี จะสังเกตเห็นได้เลยว่า เด็กช่วงวัยนี้จะเริ่มสนใจและเปิดรับโลกภายนอกมากขึ้น เริ่มมีจินตนาการ มีความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะส่งเสริมให้เขาได้อ่าน หนังสือ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือจากรูปภาพอย่างเดียว หรืออ่านหนังสือที่มีคำบรรยายประกอบภาพ ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาสมอง ทำให้เกิดการเรียนรู้ และจินตนาการ ที่เกิดจากการจำภาพ ตัวอักษรไปพร้อมกับมีอารมณ์ และความรู้สึกร่วม
 
      "การส่งเสริมให้เด็กได้อ่านหนังสือเป็นประจำจนเป็นกิจวัตรประจำวัน จะทำให้เด็กมีสมาธิและพัฒนาการหลายๆด้านดีขึ้น นอกจากนี้ บทบาทของคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อเมื่อไหร่ที่เข้ามาใกล้ชิดการทำกิจกรรมต่างๆ ของเด็ก อย่างการอ่านหนังสือให้เขาฟัง จะทำให้เขารู้สึกอบอุ่น มีความมั่นคงทางอารมณ์สูงมาก

      เมื่อได้รับการเอาใจใส่เป็นระยะเวลานานจะทำให้ผลการเรียนของเด็กดีขึ้นได้ อย่างชัดเจนอีกด้วย"คุณหมอใจดีบอก"หนูชอบอ่านหนังสือนิทาน เพราะในหนังสือมีรูปภาพต่างๆ ทำให้หนูได้จินตนาการตามภาพไปด้วย อ่านแล้วรู้สึกสนุก และผ่อนคลายค่ะ" น้องเกื้อ ด.ญ.กัญญาพัชรกระวนกิจ อายุ 11 ปี ป.6 รร.วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ บอกด้วยน้ำเสียงสดใสน้องเกื้อ หนอนหนังสือวัยจิ๋ว เล่าให้ฟังอีกว่า เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก โดยเฉพาะหนังสือนิทาน อ่านแล้วได้ทั้งความรู้ และสนุกสนาน ในชุมชนมีเพื่อนๆ ชอบอ่านหนังสือเยอะ

      ช่วงปิดเทอมตนกับเพื่อนๆจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเป็นประจำส่วนหนังสือที่ ชอบอ่านคือเรื่อง"เส้นทางถนนนางฟ้า" บอกให้มีความพยายามอีกเรื่องหนึ่งคือ "ตึ๋งหนืด" ย้ำให้รู้จักประหยัด ใช้เงินให้เป็นจุดเริ่มก็ต้องหันมาที่พ่อแม่ครูโรงเรียนหน่วยงานต่างๆ ต้องรณรงค์จริงจังปลูกฝังรักอ่านตั้งแต่เด็กไม่ว่าหนังสือเล่มนั้นจะเล็กหรือใหญ่หนาหรือบาง นวนิยาย เรื่องสั้น นิทาน หรือเล่มไหนๆ ต่างก็เป็นประโยชน์ มีคุณค่า และพัฒนาการเรียนรู้ทางปัญญาได้อย่างไม่สิ้นสุดมาเริ่มจุดประกายรักการอ่านนับหนึ่งจาก 108 หนังสือดีนี่เลย

 

ขอบคุณข่าวจากเว็บไซต์ คลินิกวัยุร่น