Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

หนังสือในมุมมองนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ปกป้อง จันวิทย์

 

                                      


 
      นักวิชาการหนุ่มที่มีมุมมองด้านเศรษฐกิจและเจ้าของบทความด้านเศรษฐกิจที่น่าสนใจมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคปัจจุบันของเมืองไทย  คุณปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะมาตอบคำถามที่เกี่ยวกับวงการหนังสือตามที่เขามองผ่านสายตานักเศรษฐศาสตร์ มีความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อวงการหนังสือเป็นอย่างยิ่ง

Q : อยากให้ช่วยอธิบายความหมายของหนังสือในเชิงเศรษฐศาสตร์
A : "ดูเผินๆ หนังสือก็เป็นสินค้าประเภทหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วมีความแตกต่างจากสินค้าเพื่อการบริโภคทั่วไปตรงที่เป็นสินค้าที่เกี่ยวพันกับวัฒนธรรมและปัญญา  หนังสือดีมีมูลค่าใช้สอยที่เป็นประโยชน์ และประโยชน์ที่ว่าไม่ได้ตกอยู่กับตัวคนอ่านเองเท่านั้น แต่สร้างประโยชน์ต่อสังคมด้วย ถ้าคนในสังคมอ่านหนังสือ ฉลาดรอบรู้ขึ้น คนมีคุณภาพมากขึ้น สังคมก็จะมีคุณภาพมากด้วย ลักษณะแบบนี้นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่าส่งผลกระทบภายนอกด้านบวก (Positive Externality)  หมายถึง กิจกรรมที่การผลิตหรือการบริโภคไม่ได้ให้ประโยชน์เฉพาะกับผู้ผลิตหรือผู้บริโภคโดยตรงเท่านั้น แต่สังคมส่วนรวมได้ประโยชน์ด้วยพร้อมกัน"
       "บางคนอาจจะไม่ได้มองหนังสือเป็นแค่สินค้าเพื่อการบริโภค แต่มองการซื้อหนังสือเหมือนเป็น ‘การลงทุน’ เพราะการอ่านหนังสือช่วยให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น เก่งขึ้น มีฝีมือขึ้น เป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้น วงการหนังสือก็เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ที่ระบบทุนนิยมหรือระบบตลาดเข้ามามีอิทธิพลครอบงำมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันตลาดหนังสือขยายตัวมากขึ้นทุกปี จากข้อมูลของซีเอ็ดฯ พบว่า ในปี 2552 มีหนังสือออกใหม่ที่ขอ ISBN ประมาณ 26,000 ปก เข้าร้านหนังสือประมาณ 13,000 ปก เฉลี่ยแล้วมีหนังสือออกใหม่วันละ 37 เล่ม และแนวโน้มการเติบโตอยู่ในระดับใกล้เคียงกันนี้มา"
       "ตลอด 10 ปีหลัง คำถามตามมาที่น่าสนใจคือ หนึ่ง ตลาดหนังสือที่ว่าเติบโตขึ้นเป็นหนังสือประเภทไหน ผู้ผลิตนิยมผลิตหนังสืออะไร เป็นหนังสือที่ให้ปัญญามากน้อยแค่ไหน สอง คนซื้อนิยมซื้อหนังสืออะไร เพราะอะไร ซื้อแล้วได้อ่านหรือไม่ สาม การกระจายผลได้หรือส่วนเกินจากตลาดหนังสือที่เติบโตขึ้น เป็นไปอย่างเป็นธรรมระหว่างตัวละครในตลาดหนังสือแค่ไหน เค้กส่วนใหญ่ตกอยู่กับใคร ผลได้ไปกระจุกตัวอยู่กับผู้ผลิตขนาดใหญ่  ที่มีอำนาจในตลาดมากๆ ประกอบธุรกิจครบวงจรเท่านั้นหรือไม่ ขณะที่ชีวิตของผู้ผลิตรายเล็กหรือผู้ผลิตอิสระกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่งหรือเปล่า"
      "ลำพังการดูตัวเลขในภาพรวม อาจจะยังไม่เพียงพอในการสรุปว่า สถานการณ์ในช่วงหลายปีมานี้น่าพอใจแล้ว เพราะต้องดูประเด็นที่ผมกล่าวมาว่า ที่ว่าเติบโต หนังสือประเภทไหนเติบโต ใครเติบโต และตลาดหนังสือภายใต้ระบบทุนนิยมไทยตอบสนองเชิงปัญญาหรือไม่ อย่างไร"

Q : แล้วรัฐบาลควรเข้ามามีบทบาทในธุรกิจหนังสือหรือไม่ อย่างไร
A : "ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เสนอว่า การผลิตหรือการบริโภคสินค้าที่มีผลกระทบภายนอกด้านบวกต่อสังคม รัฐบาลควรจะต้องเข้ามามีบทบาทสนับสนุน เพื่อให้มีการผลิตและการบริโภคมากๆ เพราะสังคมจะได้ประโยชน์ ถ้ารัฐบาลไม่เข้ามามีบทบาทสนับสนุน ราคาสินค้าก็จะสูงเกินไป คนอ่านก็จะน้อยเกินไปกว่าระดับที่สังคมได้ประโยชน์สูงสุด"
       "ตรรกะที่รัฐบาลควรจะเข้ามาสนับสนุนวงการหนังสือ เป็นตรรกะเดียวกันกับการเข้ามาลงทุนในมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลรัฐ แต่วิธีไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน รัฐบาลไม่จำเป็นต้องมาเป็นผู้ผลิตหนังสือเสียเอง เพราะมีผู้ผลิตจำนวนมากแล้วในตลาด รัฐบาลควรเข้ามาสนับสนุนในการลดต้นทุนของทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภค อย่างการลดภาษี เช่น ลดภาษีกระดาษ หรือที่เพิ่งได้ยินว่าจะมีการเสนอให้นำรายจ่ายซื้อหนังสือไปช่วยลดหย่อนภาษีได้ โจทย์ใหญ่คือ ทำอย่างไรให้หนังสือราคาถูกลง ให้คนเข้าถึงตลาดหนังสือได้มากขึ้น"
      "นอกจากนั้นโจทย์สำคัญอีกโจทย์หนึ่งคือ ทำอย่างไรให้หนังสือประเภทที่ขายไม่ได้ หรือตลาดไม่ทำงาน คือหนังสือดีมีคุณภาพให้ปัญญา แต่ไม่เป็นที่นิยมของตลาด ไม่ได้มุ่งหวังกำไรสูงสุด สามารถอยู่ภายใต้ระบบตลาดด้วย ไม่ใช่ใครทำหนังสือดี ต้องเจ๊งไปทุกรายไป เพราะตลาดไม่อ่าน ตลาดสนใจหนังสือแบบอื่น เช่น หนังสือแฉชีวิตรักส่วนตัว หนังสือที่เป็นสินค้า talk of the town แต่ตลาดไม่สน หนังสืออ่านยากมีคุณค่าให้ปัญญา แต่ต้องใช้เวลาขบเคี้ยวนาน ทำอย่างไรให้หนังสืออย่างหลังอยู่ได้ด้วย แล้วพวกที่ชอบทำหนังสือดีๆ มีคุณภาพ จำนวนไม่น้อยเป็นกลุ่มคนทำหนังสือรายเล็กและอิสระ แต่ต้องแบกรับภาระทางการเงินอย่างหนัก"
       "ในประเด็นนี้ ภาครัฐอาจเข้ามาช่วยเรื่องการจับคู่ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค เช่น ใช้เป็นหนังสือประกอบการเรียนการสอนในโรงเรียนรัฐหรือมหาวิทยาลัยของรัฐ มีส่วนร่วมในการให้ทุนสนับสนุนผู้ผลิตรายเล็กที่ผลิตหนังสือดีมีคุณค่า หรือการันตีรับซื้อหนังสือจำนวนหนึ่ง ตลาดหนังสือมีหลายระดับ สำหรับผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งมีสายป่านยาว มีกำลังทุนมากเพียงพอ และมีกลไกที่ครบวงจรความต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐอาจจะไม่จำเป็นหรือไม่ควรได้ ความช่วยเหลือควรพิจารณาจากสองมิติคือ ขนาดของผู้ประกอบการ และประเภทหนังสือที่ควรสนับสนุน"
 
Q : ถ้าตลาดไม่ทำงานกับหนังสือที่ให้ปัญญา จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เอกชนโดยเฉพาะทุนเล็กๆ ต้องมาแบกรับภาระ
A : "ภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทในเชิงโครงสร้าง เช่น ระบบภาษี ระบบให้ทุนสนับสนุน ระบบสินเชื่อราคาถูก ฯลฯ โจทย์หลักคือ จะออกแบบกติกาอย่างไรที่จะทำให้ตลาดหนังสือมีความหลากหลาย ทำให้ตลาดหนังสือดีมีคุณค่าทางปัญญาอยู่ได้  ให้ผู้ผลิตหนังสือขนาดเล็กหรือผู้ผลิตหนังสืออิสระอยู่ได้   ผมอยากเห็นตลาดหนังสือที่มีความหลากหลาย มีทางเลือก ที่พูดมาไม่ได้จะให้มีแค่หนังสือดีๆ ยากๆ เข้มข้นๆ เท่านั้น หรือดูถุกหนังสือประชานิยมที่หลากหลาย ตอบสนองรสนิยมคนหลายๆ ประเภท แต่ระบบตลาดหนังสือปัจจุบันมันทำลายความหลากหลาย ไม่มีพื้นที่ให้หนังสือบางประเภท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือดี"
       " เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ทำอย่างไรที่จะให้ตลาดหนังสือมีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก ผมคิดว่าตลาดหนังสือยังเติบโตได้อีกมาก ถ้าเปรียบเทียบยอดพิมพ์หนังสือปกติประมาณ 2,000 – 3,000 เล่ม ผมคิดว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรไทย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม ตลาดหนังสือมันควรจะใหญ่ขึ้นได้อีก ซึ่งจะทำให้นักเขียนอยู่ได้มากขึ้นจากค่าลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น สำนักพิพม์ก็อยู่ได้มากขึ้น"
 
Q : ช่วยเสนอการแก้ปัญหาที่จะทำให้วงการหนังสือยั่งยืนทั้งระบบ
A : "การดูแลกันเองของวงการหนังสือน่าจะดีกว่าการให้รัฐบาลมากำกับดูแล เพราะจริงๆ แล้วรัฐบาลไม่เข้าใจหรอกว่า วงการหนังสือเป็นอย่างไร ต้องคนในวงการหนังสือมาดูแลและช่วยเหลือกันเอง แต่ถามว่ารายใหญ่ทุนมากยินดีเสียสละไหมเรื่องกองทุน เอาด้วยไหม คนในธุรกิจหนังสือพร้อมที่จะดูแลจัดการกันเองหรือยัง สามารถสรรหาคณะกรรมการที่น่าเชื่อถือกันเองได้ไหม นี่เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของคนในวงการหนังสือกันเอง"
       "อีกด้านหนึ่งผมอยากเห็นสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่ในการปกป้องสิทธิประโยชน์ของนักเขียน  ที่ผ่านมาสมาคมฯ ทำกิจกรรมที่มีประโยชน์มากมาย ซึ่งผมเคารพนับถือผู้บริหารสมาคมที่เสียสละเพื่อวงการ แต่ผมอยากเห็นสมาคมฯ ให้ความสนใจเรื่องระบบมากขึ้น และเป็นปากเสียงของนักเขียนมากขึ้น"
 
Q  : กรณีมีสื่อใหม่ๆ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ อย่างอินเตอรืเน็ต จะทำให้คนอ่านหนังสือน้อยลงไหม
A :  "หลายคนบอกว่า การมีสื่อใหม่ทำให้คนอ่านหนังสือน้อยลง แต่ผมกลับมองว่าสื่อใหม่เป็นโอกาส เป็นส่วนเสริมให้คนอ่านมากขึ้น การมีสื่อที่ช่วยสร้างปัญญา ที่ทำให้การทำกิจกรรมทางปัญญาสะดวกขึ้น ง่ายขึ้น ต้นทุนต่ำลง เป็นเรื่องดีกับสังคมโลก แม้จะมีสื่อใหม่ แต่หนังสือเล่มก็จะยังคงอยู่ เพราะยังมีหน้าที่ของมันที่สื่อใหม่ทดแทนไม่ได้  ภายใต้โลกยุคสื่อใหม่ โอกาสทางการอ่าน การเขียน และการทำธุรกิจหนังสือ เปิดกว้างขึ้นกว่าเดิม นักเขียนสามารถขายตรงกับผู้อ่านได้  ราคาถูกลง คนลิ้มลองหนังสือได้มากขึ้น ผมเชื่อว่าถ้าคนได้ลิ้มลองหนังสือแล้วรู้สึกว่าเล่มนี้อร่อย คนอ่านหนังสือก็จะซื้ออ่านเป็นเล่มมากกว่าอ่านในคอมพิวเตอร์ ผมเชื่อว่าเทคโนโลยีจะไม่ทำร้ายคนที่เขียนหนังสือมีคุณภาพ"
 
 
 
ขอบคุณบทสัมภาษณ์จาก : สมาคมผู้จัดพิมพ์แห่งผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย