“ลูกป่วย” อ่านสร้างลูก สานสายใยรักแท้จากแม่
“ลูกป่วย” อ่านสร้างลูก สานสายใยรักแท้จากแม่"
“ตอนที่รู้ว่าลูกป่วยเป็นโรคปอดอักเสบและโรคหอบหืด เราก็ไม่สบายใจ เพราะลูกของเรายังเล็กมาก เพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือนเอง น้องต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล ช่วงแรกๆ นั้นแทบจะกินนอนที่โรงพยาบาลมากกว่าที่บ้านเลยก็ว่าได้ เราก็เป็นห่วงลูกและต้องอยู่กับลูกตลอดเวลา คนเป็นแม่ทุกคนถ้ารู้ว่าลูกป่วย ตัวเองก็อยากจะเป็นแทนลูก ไม่อยากให้ลูกทรมาน” คำกล่าวของ นริศรา มะหะหมัด หญิงสาวอายุ 29 ปี ซึ่งเป็นแม่ของ ด.ช.ซาลีม สูเจริญ อายุหนึ่งขวบครึ่งที่เข้ามารับการรักษาที่คลินิกสุขภาพเด็กดี หน่วยตรวจผู้ป่วยนอกเด็ก รพ.รามาธิบดี เป็นหนึ่งเสียงสะท้อนที่บอกเล่าถึงความเจ็บปวดของคนที่เป็นแม่เกี่ยวกับการเจ็บป่วยของลูกรักได้เป็นอย่างดี
นริศรามีอาชีพรับจ้างทั่วไป เมื่อลูกของเธอป่วยก็ต้องหยุดงาน กำลังหลักของครอบครัวจึงตกไปอยู่ที่สามี เธอบอกเล่าให้เราฟังเพิ่มเติมว่า ตอนที่ลูกของเธอป่วยนั้นน้องจะซึมไม่พูดจากับใคร เพื่อนเล่นก็ไม่ค่อยมี ทำให้น้องกลายเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบ เก็บตัวเล่นคนเดียว นอกจากกังวลในเรื่องการรักษาพยาบาลของลูกแล้ว เธอยังต้องกังวลในเรื่องพัฒนาการของลูกอีกด้วย แต่ด้วยคำแนะนำของ รศ.นิชราเรืองดารกานนท์ ผู้อำนวยการหน่วยพัฒนาการเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โครงการพัฒนาศักยภาพประชากรไทย คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ชักชวนเธอให้นำลูกเข้าร่วม“โครงการอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังระหว่างอยู่ในโรงพยาบาล” ก็ทำให้ความกังวลใจของเธอคลายลงไปได้หลายเปราะ
“เราได้รับแจกถุงหนังสือพร้อมหนังสือนิทาน 3 เล่ม พอได้รับแจกหนังสือ พี่ก็อ่านให้น้องฟังเลย ซึ่งพอเปิดหนังสือปุ๊บ น้องเขาชอบมาก ในถุงนี้มีหนังสือหลายเล่ม และหนังสือแต่ละเล่มก็เหมาะกับเด็กๆมากๆ น้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลและมีอะไรทำ น้องก็ไม่เหงาแล้ว เพราะแม่ก็จะอ่านหนังสือให้น้องฟังเกือบทุกวัน อุ้มน้องนั่งบนตักแล้วก็อ่านให้ฟัง เล่มที่น้องชอบมากเป็นพิเศษก็คือหนังสือนิทานเรื่องกุ๊กไก่ปวดท้อง จะชี้ให้แม่อ่านให้ฟังซ้ำๆ อ่านไปด้วย น้องก็หัวเราะไปด้วย ยิ้มไปด้วย พอแม่อ่านจบก็ให้แม่อ่านให้ฟังอีกเรื่อย ๆ หลายรอบเลย”นริศราบอกเล่าให้เราฟังพร้อมรอยยิ้ม
ปัจจุบันนี้น้องซาลีม ได้กลับไปรักษาตัวที่บ้านแล้ว และกลับมาหาหมอตามนัดในบางครั้ง แต่ในเรื่องของการอ่านนั้น นิศราผู้เป็นแม่กลับไม่ได้ละทิ้ง เธอเพียรหาซื้อหนังสือเพิ่มเติมมาให้ลูกรักของเธออ่าน เธอบอกว่าการอ่านนั้นมีประโยชน์กับลูกของเธอมาก เพราะทำให้เด็กที่เก็บตัวเงียบกลายเป็นเด็กร่าเริง และที่สำคัญพัฒนาการทางการเรียนรู้ของลูกเธอเพิ่มมากขึ้น และดูเหมือนจะมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ โดยจะสังเกตได้จากการพูดที่ลูกของเธอมีพัฒนาการด้านการพูดและการจำดีมาก เช่น เห็นเค้กในหนังสือนิทาน หรือเห็นสัตว์ในหนังสือนิทาน ลูกของเธอก็จะพูดขึ้นมาตามแบบอย่างที่เห็นในหนังสือ เมื่อเห็นของเหล่านั้นจริงๆ
นอกจากครอบครัวข้องน้องซาลีมแล้ว ครอบครัวของแม่ติ๊ก หรือ ปิยนุช เวียงอินทร์ ก็ได้เข้าร่วมโครงการนี้ด้วยเช่นกัน แม่ติ๊กของลูกๆ จะใช้เวลาว่างจากการทำงานพาลูกเข้ามาอ่านหนังสือในศูนย์สร้างเสริมสุขภาพโรงพยาบาลรามา และให้เด็ก ๆได้เลือกหนังสือที่อยากอ่านด้วยตัวเอง “เราโชคดีหน่อยที่ทำงานที่นี่ เราก็เอาน้องมาเลี้ยงมาเล่นที่โรงพยาบาล คุณหมอท่านเห็นน้องวิ่งเล่นอยู่ก็เลยชวนเข้าร่วมโครงการด้วย มันเหมือนเป็นโชคดีของครอบครัวเรานะ เพราะว่าเราไม่ต้องไปเสียเงินซื้อของเล่นที่ราคาแพงเหมือนครอบครัวอื่นๆ แต่เราได้ให้ความรู้ ให้พัฒนาการกับลูกของเราให้ลูกของเราได้เล่นกับจินตนาการของเขาด้วยหนังสือที่เขาชอบ หนังสือทุกเล่มเขาจะเลือกอ่านเองทั้งหมด เขาชอบเล่มไหน เราก็ให้เขาเลือกเอง เอาไปอ่านเอง การอ่านหนังสือมีประโยชน์กับเขามาก เพราะผลการเรียน การจำ การแยกแยะและการวิเคราะห์ของเขานั้นดีๆมากๆ" แม่ติ๊กเล่า
อย่างไรก็ตามจากสถิติการสำรวจของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขระบุตัวเลขอย่างชัดเจนถึงพัฒนาการทางสมองของเด็กๆในช่วงปฐมวัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547-2550 พบว่า เด็กๆมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้ามากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ตัวเลขพัฒนาการทางด้านภาษาล่าช้าของเด็กในต่างประเทศจะอยู่ที่ 5-15 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
รศ.นิชรา เรืองดารกานนท์ ผู้อำนวยการหน่วยพัฒนาการเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์โครงการพัฒนาศักยภาพประชากรไทย คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลได้ระบุถึงกระบวนการในการใช้การอ่านพัฒนาศักยภาพของเด็กภายในงานเวทีสาธารณะเรื่อง "หนังสือและสื่อการอ่านเพื่อการพัฒนาสุขภาวะและพัฒนาการของเด็กปฐมวัย" ซึ่งจัดขึ้นโดยแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านและเครือข่ายองค์กรส่งเสริมการอ่าน สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พูดถึงครอบครัวของน้องซาลีมที่แม่ใช้การอ่านเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกว่า “ พัฒนาการของเด็กทารกนั้นจะค่อยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉลี่ยเด็กในอายุ 12-15 เดือน ถึงจะพูดได้ ซึ่งก่อนที่เด็กจะพูดได้นั้น จะต้องมีความเข้าใจในด้านภาษาและคำพูดประมาณ 50-200 คำ ถึงจะพูดคำแรกได้ ระหว่างที่แม่ให้นมลูกยังสามารถสร้างการเรียนรู้ทางด้านคำศัพท์ให้ลูกฟังได้ด้วยการอ่านหนังสือนิทานหรือการเล่านิทานให้ลูกฟังได้ด้วย เด็กๆ ที่ดื่มนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6เดือนนั้น น้ำหนักจะขึ้นเยอะและสุขภาพร่างกายจะสมบูรณ์และแข็งแรง
การอ่าน เรื่องเล่า หรือร้องเพลงกล่อมให้ลูกฟังไปพร้อมกับช่วงของการให้นมลูกนั้นจึงเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญที่ลงทุนต่ำแต่สร้างความคุ้มค่าระยะยาวให้ลูกรักของเราได้ ทางคณะของเราได้จัดทำโครงการแจกหนังสือนิทานเพื่อเป็นสื่อการอ่านให้กับการพัฒนาเด็กๆที่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลมีหลายครอบครัวที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ โดยคณะเราได้ร่วมสังเกตการณ์และจดบันทึกข้อมูลซึ่งเราพบว่าเด็กที่เข้าร่วมโครงการมีพัฒนาการทางด้านสมาธิดีขึ้น พูดได้มากขึ้น พี่น้องในครอบครัวรักกันมากขึ้น และเด็กอารมณ์ดีขึ้น “ผู้อำนวยการหน่วยพัฒนาการเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์โครงการพัฒนาศักยภาพประชากรไทย คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดลระบุ
นอกจากนี้แล้ว รศ.นิชรายังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ความรู้ของเด็กที่จะได้จากการอ่านนิทาน 1 เรื่อง เด็กก็จะได้ความรู้มากขึ้น และได้คำศัพท์และการเรียนรู้ทางด้านภาษามากขึ้น หากพ่อแม่อ่านหนังสือนิทานให้เด็กฟังตั้งแต่อายุ 4 เดือน อย่างสม่ำเสมอจนเด็กอายุ 36 เดือน หรือ 3 ขวบ เด็กๆจะได้รับความรู้ที่ส่งเสริมพัฒนาการอย่างมหาศาล โดยเทียบเป็นสถิติได้ดังนี้ หากพ่อแม่อ่านหนังสือนิทานให้เด็กฟังอย่างสม่ำเสมอทุกวันวันละ1 เรื่อง จนเด็กอายุครบ 3 ขวบ เด็กก็จะได้รับความรู้จากหนังสือนิทานมากถึง960 เรื่อง ถ้าอ่านอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3 เรื่อง เด็กก็จะได้รับความรู้ 390 เรื่อง สัปดาห์ละ 1 เรื่อง เด็กก็จะได้รับความรู้จนถึง 3 ขวบ 128 เรื่อง การพัฒนาอย่างมหาศาลก็จะเกิดขึ้นกับเด็กๆ หากพ่อแม่ใส่ใจและสนใจในเรื่องของการอ่านให้ลูก
ดังนั้นเนื่องในโอกาสวันของแม่ทุกคนทั่วประเทศ การเลือกหนังสือดี ๆ สักเล่มให้ลูกอ่าน จะเป็นสะพานเชื่อมสายใยความรักและความผูกพันให้เชื่อมต่อยาวนาน ให้ลูกของเราเติบโตขึ้นเป็นบุคลากรที่ดีและมีคุณภาพในสังคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็ได้ เรื่อง่ายๆ ที่แม่คนไหนก็ทำได้ แค่เพียงเลือกหนังสือที่เหมาะสมให้กับลูกอ่านเท่านั้นเอง!!!!