ครม.เห็นชอบหลักการ มาตรการภาษีเชิงรุกหนุนการอ่าน มองไม่ได้ผลเพียงพอสั่งคลังศึกษาหาแรงจูงใจเพิ่มให้ลดราคาหนังสือ

     ครม.เห็นชอบหลักการ มาตรการภาษีเชิงรุกหนุนการอ่าน มองไม่ได้ผลเพียงพอสั่งคลังศึกษาหาแรงจูงใจเพิ่มให้ลดราคาหนังสือ เช่น ลดภาษีนำเข้ากระดาษและภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เวลา 2 สัปดาห์ชงเข้าครม.ใหม่


    
    

     นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเชิงรุกเพื่อสนับสนุนการอ่อน และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ 1.บุคคลธรรมดาให้ยกเว้นภาษีเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลด หย่อน ตามมาตรา 47 (1)(2)(3)(4)(5) หรือ (6) แห่งประมวลรัษฎากร จำนวน 2 เท่าของจำนวนเงินที่เป็นค่าใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมการอ่าน แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายสนับสนุนการศึกษา สำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบแล้ว ต้องไม่เกิน 10%ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนนั้น

      อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมอบหมายให้นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังไปหารือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อกำหนดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการอ่านมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการลดต้นทุนแก่ผู้ผลิตหนังสือ 2 มาตรการคือ 1.ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบหรือกระดาษที่ใช้พิมพ์หนังสือ และ 2.ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์สิ่งพิมพ์หรือหนังสือ

     “ครม.เห็นว่ามาตรการที่เสนอมายังไม่ได้ผลเพียงพอ จึงเสนอมาตรการจูงใจเพิ่มเติมเพื่อลดราคาหนังสือ โดยลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบและยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งนายประดิษฐ์จะหารือเรื่องนี้กับกระทรวงศึกษาธิการและเสนอครม.ใน 2 สัปดาห์ โดยที่ประชุมวิเคราะห์ว่าการลดภาษีนำเข้ากระดาษมาผลิตหนังสือมีแนวโน้มเป็น ไปได้มากสุด ส่วนการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มต้องพิจารณาอีกครั้ง” นายวัชระกล่าว

     นายวัชระ กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นประกอบการพิจารณาว่า การให้สิทธิประโยชน์ภาษีแก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กรณีซื้อหนังสือและสื่อเพื่อส่งเสริมการอ่าน โดยบริจาคแก่สถานศึกษาของราชการและเอกชน หรือห้องสมุดขององค์กร โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาตามประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และหลังพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว กรมสรรพากรจะมีการออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการได้รับสิทธิประโยชน์ให้สอดคล้องกัน

     ส่วนการให้สิทธิประโยชน์ภาษีแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กรณีซื้อหนังสือและสื่อเพื่อส่งเสริมการอ่านบริจาคแก่ห้องสมุดของเอกชนที่ ไม่เก็บค่าบริการมาหักเป็นค่าใช้จ่ายคำนวณภาษีได้ สามารถดำเนินการได้ โดยแก้ไขเพิ่มเติมประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 44) เรื่อง กำหนดรายจ่ายเพื่อการสาธารณประโยชน์ รายจ่ายเพื่อการศึกษาและรายจ่ายเพื่อการกีฬา ตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 กันยายน 2535

     ด้านนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการในการลดหย่อนภาษีให้ แก่ผู้บริจาคหรือซื้อหนังสือให้แก่สถานศึกษาหรือห้องสมุด โดยจะลดหย่อนภาษี 100% ให้แก่ผู้ซื้อหนังสือและผู้บริจาคหนังสือตลอดจนสื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าห้อง สมุด อย่างไรก็ตาม ครม.เห็นว่ายังเป็นมาตรการเบื้องต้นที่ไม่มีผลกระทบมากพอที่จะทำให้คนไทยได้ อ่านหนังสือและซื้อหนังสือราคาถูกมากยิ่งขึ้น

     รัฐมนตรีว่าการศธ. กล่าวอีกว่า ตนได้เสนอในที่ประชุมครม.ว่า หากกระทรวงการคลังพิจารณาเรื่องการลดหย่อนภาษีด้านกระดาษและปรับเปลี่ยนฐาน ภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ผลิตหนังสือและโรงพิมพ์ต่างๆ ให้เข้าสู่การพิจารณาภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคิดภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 0 จะมีผลโดยตรงที่จะทำให้ราคาหนังสือลดลงได้ ซึ่งจะจูงใจให้ประชาชนอ่านหนังสือมากขึ้นเพราะสามารถซื้อหนังสือราคาถูก ตลอดจนยังทำให้มีการซื้อและบริจาคหนังสือมากขึ้นด้วย ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเห็นด้วย ที่ประชุมครม.จึงเห็นชอบให้กระทรวงการคลังรับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณา และนำกลับเข้าสู่การพิจารณาของครม.อีกครั้งในอีก 2 สัปดาห์

     “หากครม.เห็นชอบ ก็จะส่งผลให้มีการปรับสาระเพิ่มในร่างพระราชกฤษฎีกาของกระทรวงการคลังต่อไป นอกจากนี้ศธ.และกระทรวงการคลัง จะร่วมกันออกระเบียบรองรับเพื่อเป็นมาตรการที่ส่งเสริมการอ่านอย่างแท้จริง” นายชินวรณ์ กล่าว

ขอขอบคุณข่าวจาก – คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net /detail/20101012/76110/สั่งคลังหาช่องจูงใจคนไทยอ่านเพิ่มเล็งลดภาษีนำเข้า กระดาษภาษีมูลค่าเพิ่มหนังสือ.html