คนไทยอ่านมากขึ้น 37 นาทีต่อวัน
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ จับมือสำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลน่ายินดี คนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้นเป็น 37 นาทีต่อวัน และอัตราการอ่านเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 10แต่ยังพบผู้ไม่อ่านและไม่รู้หนังสือ พร้อมเร่งกำลังพัฒนาการอ่านระดับประเทศ เพื่อคนไทยอ่านหนังสือมากขึ้น
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของประชาชน จึงได้ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยนายวิบูลย์ทัต สุทันธนกิตติ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติจัดงานแถลงข่าวผลสำรวจสถิติการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ.2556 และเสวนาในหัวข้อ “ก้าวต่อไป รณรงค์ส่งเสริมคนไทยรักการอ่าน” โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานคณะอนุกรรมการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ และกรรมการบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ นางศกุนตลา สุขสมัย หัวหน้ากลุ่มพัฒนาและส่งเสริมวิทยบริการ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และนางวันทนีย์ นามะสนธิ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านและรับรู้ข้อมูลที่จะนำไปใช้ประกอบแนวทางการทำงานส่งเสริมการอ่านต่อไป

สำหรับสถิติการอ่านของประชากรไทยจัดทำขึ้นโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติทุกรอบ2 ปี โดยปี พ.ศ. 2556ทำการสำรวจจากประชากรตัวอย่าง 55,920 ครัวเรือนได้ผลปรากฏว่า คนไทยตั้งแต่อายุ 6 ปี ขึ้นไป มีอัตราการอ่านหนังสือร้อยละ 81.8 และใช้เวลาอ่านหนังสือต่อวันเฉลี่ยคนละ 37 นาที โดยเพิ่มขึ้นจาก พ.ศ. 2554 มากกว่าร้อยละ 10 ทั้งชายและหญิง โดยการอ่านหนังสือในที่นี้ หมายถึงการอ่านหนังสือทุกประเภท นอกเวลาเรียนหรือเวลาทำงาน รวมทั้งการอ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตด้วย นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงกลุ่มวัยที่อ่านหนังสือมากที่สุด คือวัยเด็ก อ่านหนังสือร้อยละ 91.5ตามด้วยเยาวชน ร้อยละ 90.1 วัยผู้ใหญ่ ร้อยละ 83.1 และวัยสูงอายุ ร้อยละ 57.8 ตามลำดับ
เมื่อแยกตามภูมิภาค ในภาพรวมปรากฏว่า ประชากรกรุงเทพมหานครอ่านหนังสือมากที่สุด ร้อยละ 94.6 ตามด้วยภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนือและภาคอีสาน และเมื่อพิจารณาตามช่วงวัยสำคัญคือวัยเด็กและเยาวชน พบว่า เด็กและเยาวชนในกรุงเทพมหานครอ่านหนังสือมากที่สุดร้อยละ96.6 ตามมาด้วยภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางและภาคใต้ตามลำดับ
นอกจากนี้สถิติดังกล่าวชี้ว่าหนังสือที่คนไทยอ่านมากที่สุดคือหนังสือพิมพ์ร้อยละ 73.7 ตามด้วยวารสาร/เอกสารรายประจำ ร้อยละ 55.1 ตำรา ร้อยละ 49.2 นิตยสารร้อยละ 45.6 หนังสือทางศาสนา ร้อยละ 41.2 ส่วนนิยาย การ์ตูน หนังสืออ่านเล่น มีผู้อ่านร้อยละ 38.5 และแบบเรียนตามหลักสูตรร้อยละ 29.5 โดยสถานที่ที่ใช้อ่านหนังสือมากที่สุดคือที่บ้าน ตามด้วยสถานที่เอกชน ที่ทำงาน และสถานศึกษาและท้ายสุดข้อมูลสถิติยังกล่าวถึงนโยบายการสนับสนุนการอ่านว่า วิธีการรณรงค์ให้คนรักการอ่านที่ดีที่สุดคือ ลดราคาหนังสือให้ถูกลง ปลูกฝังการอ่านผ่านครอบครัว ให้สถานศึกษารณรงค์รักการอ่าน รวมถึงการจัดทำห้องสมุดประชาชนในชุมชน และการปรับเนื้อหาหนังสือให้อ่านง่ายขึ้นด้วย
ข้อมูลดังกล่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติสามารถใช้เป็นเครื่องบ่งชี้และเป็นเครื่องมือหาแนวทางเพื่อส่งเสริมการอ่าน ความรู้ และความเข้าใจของประชากร เพื่อสนับสนุนแนวทางการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างยุทธศาสตร์ เป้าหมายการดำเนินงานของสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับการพัฒนาตามความเป็นจริง โดย ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุลรองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้และผู้อำนวยการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ ได้กล่าวถึงสถิติการอ่าน พ.ศ.2556 นี้ว่า “ในสังคมไทยยังคงพบว่ามีอัตราในการใช้เวลากับการอ่านน้อย เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือประเทศที่อยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งนี้ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้เชื่อว่านิสัยรักการอ่าน การแสวงหาความรู้ตลอดชีวิต จะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของทรัพยากรบุคคลของประเทศ ที่จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของสังคมไทยให้สามารถเทียบเคียงได้กับนานาประเทศต่อไปในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลดังกล่าวก็พบว่า ยังมีผู้ที่ไม่อ่านหนังสือ เพราะสาเหตุต่างๆ กัน ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือปัญหาการไม่อ่านเพราะไม่รักการอ่านหรือไม่สนใจ พบมากถึงร้อยละ 18.1 ของผู้ที่ไม่อ่านหนังสือ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ที่ต้องร่วมมือกับองค์กรการศึกษา หน่วยงานภาครัฐเอกชนตลอดจนพันธมิตรต่างๆ ที่เข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหา เพื่อส่งเสริมการอ่านการเรียนรู้ต่อไป
โดย ดร.ทัศนัยยังเน้นย้ำอีกว่า การรายงานสถิติการอ่านครั้งนี้ จะช่วยจุดประกายให้ทุกภาคส่วนเกิดความตื่นตัว และให้ความสำคัญกับการรณรงค์เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับประชากรของประเทศไทยในทุกช่วงวัยได้เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาสังคมไทยไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ขอบคุณข่าวจากเว็บไซต์ TK Park http://www.tkpark.or.th

