กิจกรรมโรงเรียนเชียร์อ่าน ณ TK Park วันที่ 17 มิถุนายน 2554
แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส.ออกสตาร์ทโรงเรียนเชียร์อ่าน ปี 2 หวังจุดติดกระแสเยาวชนรักการอ่าน
พร้อมเตรียมจัดเวทียื่นข้อเสนอนโยบายการอ่านให้พรรคการเมืองแสดงวิสัยทัศน์
หลังพบนโยบายด้านเด็กและเยาวชนยังขาดความชัดเจน
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ ทีเคปาร์ค แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. จัดสัมมนาเครือข่ายโรงเรียนเชีร์อ่านปีที่ 2 เพื่อรณรงค์ให้เกิดกระแสรักการอ่านที่ยั่งยืนในโรงเรียนทั่วประเทศ โดยมีตัวแทนนักเรียนและอาจารย์จากโรงเรียนแกนนำกว่า 100 คนจาก 10 โรงเรียน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น โรงเรียนสตรีวิทยา 2 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา จ.แม่ฮ่องสอน โดยบรรยายกาศเป็นไปด้วยความตื่นเต้นของนักเรียนหลายคนโดยเฉพาะน้องๆ จากต่างจังหวัด
ที่ไม่เคยสัมผัสกิจกรรมส่งเสริมการอ่านมาก่อน
ที่ไม่เคยสัมผัสกิจกรรมส่งเสริมการอ่านมาก่อน
นายปรีชา สอนมาลา อาจารย์ประจำโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 33 จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า สถานการณ์การอ่านของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร นับว่ายากลำบากอย่างมาก บางพื้นที่เด็กต้องเดินเท้าลงเขากว่า 4 ชั่วโมง เพื่อมีโอกาสได้อ่านหนังสือและไปโรงเรียน ไม่นับว่าหนังสือเหล่านั้นทั้งเก่าและไม่เหมาะสมกับวัย เป็นวังวนที่เด็กหลายรุ่นต้องเผชิญ ไม่พัฒนาขึ้นเลย แม้จะผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว งบประมาณเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับโครงการหลายพันล้านทั้งที่ การอ่านหนังสือเพียงสักเล่ม ก็เสมือนได้เปิดหน้าต่างสู่โลกกว้างแล้ว
ด้านน.ส. ชอชอ เด็กชาวเขาไร้สัญชาติ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ร.ร.ไทยรัฐวิทยา 33 อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอนกล่าวว่า ตั้งแต่เล็ก ไม่เคยมีหนังสือเป็นของตัวเองแม้แต่เพียงเล่มเดียว ในพื้นที่ห่างไกลอย่างพวกตนจะได้อ่านหนังสือดีๆต้องเดินทางขึ้นเขาลงห้วย เวลาได้ไปโรงเรียนก็จะนำหนังสือกลับไปบ้านอ่านให้น้องๆที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง เด็กๆส่วนใหญ่แม้อ่านหนังสือไม่ออกแต่ก็กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ มันเหมือนการเดินทาง พบเจอสิ่งต่างๆ โอกาสดีๆ ที่พวกเราไม่มีวันได้เจอ อยากขอให้รัฐบาลชุดใหม่ช่วยแก้ไขปัญหาทั้งเรื่องการเข้าถึงการอ่านและการศึกษาของเด็กๆทั้งประเทศ โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาสอย่างพวกเราให้เป็นรูปธรรมด้วย
น.ส. สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวว่า โรงเรียนเชียร์อ่าน เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ นณรงค์ระดับชาติ สสส. ให้เยาวชนร่วมคิดค้นกลยุทธ์สร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นในโรงเรียนและชุมชนของตนเอง ขณะนี้เครือข่ายโรงเรียนเชียร์อ่านครอบคลุมตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย และจะค่อยๆ ขยายแนวคิดนี้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้เยาวชนมีทัศนคติที่ดีและมองเห็นคุณค่าของการอ่านว่าสามารถพัฒนาตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ทำให้การอ่านเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตได้ ที่ผ่านมารัฐบาลประกาศให้ประเทศไทยเป็นทศวรรษแห่งการอ่าน แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง จึงอยากเห็นรัฐบาลชุดใหม่เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ เพราะการอ่านคือรากฐานของการศึกษา การเรียนรู้ ใฝ่รู้ หลายพรรคการเมืองขาดการชูเรื่องการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน และยังไม่มีพรรคการเมืองใดหยิบยกนโยบายการอ่านที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ภาคีด้านการอ่านเตรียมจัดเวทีรับฟังข้อเสนอจากภาคประชาชนพร้อมเชิญตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรคมาแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนนโยบายด้านการอ่านด้วย
น.ส. สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวว่า โรงเรียนเชียร์อ่าน เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ นณรงค์ระดับชาติ สสส. ให้เยาวชนร่วมคิดค้นกลยุทธ์สร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นในโรงเรียนและชุมชนของตนเอง ขณะนี้เครือข่ายโรงเรียนเชียร์อ่านครอบคลุมตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย และจะค่อยๆ ขยายแนวคิดนี้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้เยาวชนมีทัศนคติที่ดีและมองเห็นคุณค่าของการอ่านว่าสามารถพัฒนาตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ทำให้การอ่านเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตได้ ที่ผ่านมารัฐบาลประกาศให้ประเทศไทยเป็นทศวรรษแห่งการอ่าน แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง จึงอยากเห็นรัฐบาลชุดใหม่เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ เพราะการอ่านคือรากฐานของการศึกษา การเรียนรู้ ใฝ่รู้ หลายพรรคการเมืองขาดการชูเรื่องการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน และยังไม่มีพรรคการเมืองใดหยิบยกนโยบายการอ่านที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ภาคีด้านการอ่านเตรียมจัดเวทีรับฟังข้อเสนอจากภาคประชาชนพร้อมเชิญตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรคมาแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนนโยบายด้านการอ่านด้วย
นางสาวสรวงธร นาวาผล ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนรักการอ่านและการเรียนรู้ กล่าวว่า ภาคประชาชนอยากเห็นทุกพรรคการเมืองให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เราได้เสนอนโยบายข้อเรียกร้องแก่ทุกพรรคการเมือง ในสองประเด็น คือ การส่งเสริมให้หนังสือเด็กปฐมวัยมีคุณภาพ โดยจัดตั้งสถาบันวิชาการผลิตผู้สร้างสรรค์เรื่อง และภาพหนังสือเด็กปฐมวัยให้มากขึ้น พร้อมทั้งกำหนดนโยบายให้มีการสนับสนุน ส่งเสริม องค์กร ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคมให้มีศักยภาพในการผลิตหนังสือ เพื่อตอบสนองวัย พัฒนาการทางสมอง และสอดคล้องต่อวิถีชีวิตของชุมชน ท้องถิ่น สังคม และประเทศชาติ สองคือการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงหนังสือของเด็ก โดยให้ทุกครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัยได้มีโอกาสเป็นเจ้าของหนังสืออย่างน้อย คนละ 3 เล่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มเปราะบางทางสังคมในพื้นที่ต่างๆ และจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอให้โรงเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจัดซื้อหนังสือสำหรับเด็กปฐมวัยและสร้างปัจจัย สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าถึงการอ่าน

