Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

๗ เล่มสุดท้ายซีไรต์๕๔ ใคร? จะได้รางวัล

 

 
พลันที่มีการประกาศของคณะกรรมการคัดสรรรวมเรื่องสั้นซีไรต์ ให้รวมเรื่องสั้น ๗ เล่ม ดังต่อไปนี้ ๑. กระดูกของความลวงของ เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ๒. ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิตของ จักรพันธุ์ กังวาฬ เ ๓.แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟของ จเด็จ กำจรเดช ๔. 24 เรื่องสั้นของฟ้า ของ ฟ้า พูลวรลักษณ์ ๕. นิมิตต์วิกาล ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ ๖. รื่องของเรื่องของ พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์ ๗. บันไดกระจกของ วัฒน์ ยวงแก้ว
 
นี่คือรวมเรื่องสั้น ๗ เล่ม ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้ายซีไรต์ (รอบเรื่องสั้น) ในปี ๒๕๕๔ หลายคนต่างจับจ้องมองว่าเล่มใดจะได้รับรางวัลเมื่อมีการประกาศของคณะกรรมการตัดสินรอบสุดท้าย “ในกลไก” ของการตัดสินในเล่มที่ได้รับรางวัลอาจจะนำมาซึ่งยอดขาย แต่แท้ที่จริงแล้วยอดขายของเล่มที่ได้รับรางวัลนั้นมิใช่คำตอบที่แท้ว่า “เรื่องสั้นเล่มที่ไม่ได้รับรางวัลจะไม่ใช่หนังสือดี” เพราะแท้ที่จริง “ในกลไกของการตัดสิน” ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการตัดสินรางวัล แต่ คุณค่าของรางวัลนั้น กลับอยู่ ที่ตัวของ “งานวรรณกรรม" ที่ถูกสร้างขึ้นมาต่างหาก อย่าให้ “กลไกของการตัดสิน” มาบดบังภูมิปัญญาแห่งเราในการได้รู้จักงานวรรณกรรมที่ทรงคุณค่า ในส่วนของนักอ่าน เล่มใดใน ๗ เล่มคุณค่าแห่งงานจะเป็นอย่างไร? เรา สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น ได้นำงานวิจารณ์ ของ อ.สกุล บุณยทัต ที่มีต่อรวมเรื่องสั้น ทั้ง ๗ เล่มที่เข้ารอบสุดท้ายซีไรต์ ปี ๒๕๕๔ มานำเสนอไว้ ณ ที่นี้
 
จากรวมเรื่องสั้น ‘เหมือนว่าเมื่อวานนี้เอง’ ถึง รวมเรื่องสั้น๏ กระดูกของความลวง๏ ของ ‘เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์
๏บนวิถีแห่งคุณค่าของวรรณกรรมสำนึก๏
 
 
๏ เมื่อพูดถึง ‘เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์’ กับผลงานด้านการเขียนของเขา ผมมักจะนำเสนอความคิด ไปในทางที่มั่นใจว่า…ฝีมือในการเขียนเรื่องสั้นของเขานั้น..ล้ำลึกและตกผลึกอย่างยิ่งในมุมมองที่สลับ ซับซ้อนของชีวิต ที่ถูกเพ่งพินิจและตีแผ่ออกมาเป็นการอธิบายความถึงมโนสำนึกแห่งจิตวิญญาณที่เคลื่อนไหวอยู่ในความลึกซึ้งนับแต่รวมเรื่องสั้น ‘ชีวิตสำมะหาอันใด’ เมื่อร่วมทศวรรษที่ผ่านมา..เรื่องสั้นอย่าง ‘บุรุษไปรษณีย์ผู้หลงลืมเลขที่บ้านของตนเอง’ รวมทั้ง ‘เรื่องเล่าสายน้ำและความตาย’ นับเป็นบทพิสูจน์ถึงสัจจะนี้อย่างยากจะปฏิเสธได้… ‘เรวัตร์’ เขียนเรื่องสั้นด้วยวิถีคิดในเชิงลึก วิเคราะห์ถึงแก่นแท้แห่งนิยามความเป็นไปของชีวิตนับแต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆไปจนถึงปมปริศนาที่เป็นความหมายยิ่งใหญ่ในเนื้อในของมนุษย์ที่ต้องตีความ…แท้จริงเรื่องราวของเขามองดูเศร้าหมอง…วิถีจริตของตัวละครแปลกต่างจนน่าเวทนากับบทบาทของการเคี่ยวกรำตนเอง…แต่ภาษาแสดงที่สื่อสารออกมาด้วยภาวะแห่งจินตนาการและประสบการณ์ของชีวิตกลับมีสีสันที่สว่างไสวต่อเรื่องราว ท่ามกลางความหม่นทึบของสิ่งที่เป็นไป…ความเข้าใจรูปรอยของความเป็นมนุษย์ ในแต่ละจังหวะและโอกาสจึงเต็มไปด้วยอาการของความใคร่ครวญและตรึกตรอง โดยเฉพาะกับการพยายามที่จะหลุดพ้นไปจากเงื่อนงำเชิงอคติ…ว่ากันว่าถ้ารวมเรื่องสั้น ‘เหมือนว่าเมื่อวานนี้เอง’…ได้ส่งเข้าชิงรางวัลทางวรรณกรรมใดก็ตามในห้วงเวลาที่ผ่านมา เรื่องสั้นเล่มนี้จะสามารถสร้างปรากฏการณ์แห่งการอ่านและการเขียนของผู้ที่ใฝ่ใจในสิ่งนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์และเต็มไปด้วยมิติรับรู้ทางด้านสุนทรียศาสตร์อันงดงามเป็นแน่…
 
“วันเวลาของชีวิต เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความมีอยู่และเป็นอยู่เท่าที่ชีวิตได้ดำเนินไป ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยเงื่อนปมแห่งชะตากรรมที่ผสานเข้ากับรากลึกแห่งกมลสันดานส่วนตน กว่าจะรับรู้ กว่าจะรู้สึก…กว่าจะซาบซึ้งถึงข้อตระหนัก ชีวิตก็ได้กลับกลายเป็นฝุ่นผงของอดีตที่โหดร้าย อันเป็นความหมายของปัจจุบันที่เหมือนจะเปล่าดายและไร้ค่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ทุกสิ่งได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ…แม้จะผ่านมาเนิ่นนานแต่ก็รวดเร็วเกินกว่าสำนึกของชีวิตจะตั้งรับได้ทัน..” นั่นคือประกายความคิดที่ผมได้รับจาก ‘เหมือนว่าเมื่อวานนี้เอง’…รวมเรื่องสั้นจำนวน 12 เรื่อง เมื่อช่วงเกือบ 3 ปีที่แล้วของเขา…ผ่านแกนกลางแห่งตัวละครซึ่งเปรียบดั่งเงาร่างแห่งจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ในฐานะผู้เขียนที่เชื่อมโยงกับตัวละครอื่นๆรอบข้างในนามของญาติพี่น้อง ผองเพื่อนผู้ร่วมใช้ชีวิตที่ต่างก็ได้รู้ได้เห็น…ได้ประจักษ์ถึงความทุกข์ความสุข…
 
ซึ่งทั้งหมดล้วนดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างง่ายๆก่อนที่จะละจากไปอย่างเจ็บปวดและขมขื่น ‘เรวัตร์’ ถ่ายทอดเรื่องสั้นในชุดนี้ของเขาด้วยท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งประสบการณ์ด้านใน…ซึ่งเต็มไปด้วยอาการของความครุ่นคิดที่ผสานเข้ากับผัสสะของการเคี่ยวกรำที่เกี่ยวเนื่องกับความคับแค้นของชีวิตอันสาแก่ใจ…ไม่ว่าจะมองผ่านมิติแห่งความเป็นศาสนาหรือคำสอนชวนเชื่อใดใดในโลก…สำนึกแห่งจิตใจของ ‘เรวัตร์’ พุ่งเป้าไปที่ข้อเท็จจริงอันบริสุทธิ์…ข้อเท็จจริงแห่งโลกภายนอกในเชิงประจักษ์ที่นับเป็นกลไกสำคัญในการวาดแต่งชีวิตของเราให้ดำรงอยู่และดำเนินไปอย่างมีความหมาย “ชีวิตของเราจะค่อยๆหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับสิ่งแวดล้อม”… ‘เรวัตร์’ เริ่มต้นมุมมองของชีวิตด้วยวิถีคิดดังกล่าวนี้…พร้อมการขับเน้นเชิงคำถามถึงว่า ‘เฮ้ย! ชีวิตมันคืออะไรกันแน่วะ’ อันเป็นคำถามแห่งคำถามที่ถูกเอ่ยถามซ้ำๆกันโดยไม่หวังคำตอบ…แม้ว่าผู้เอ่ยถามจะยังคงจมอยู่กับความหวังในการที่จะหวนคืนกลับไปสู่ ‘ภูสูงแห่งความฝันของอดีต’ อักสักครั้ง แต่คำถามแห่งความหวังของชีวิตก็มีคำตอบของมันที่ล่องลอยอยู่กับจิตวิญญาณโดยไม่เปลี่ยนแปลง “มันยิ่งใหญ่ว่ามั๊ย…มันจะยิ่งใหญ่ว่ามั๊ย” ที่สุดแล้ว…เมื่ออ่านเรื่องสั้นของ ‘เรวัตร์’ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…ความเป็นทั้งหมดในส่วนผสานของความคิด ก็ค่อยๆตอกย้ำให้ได้รับรู้ว่า “ชีวิตคือเรื่องเล่าเดียวอันซ้ำซาก”…มันคือผลรวมแห่งวัฏจักรอันหมองหม่นของสรรพชีวิตที่ทั้งเชื่อมั่นและหลงใหลอยู่กับวิถีแห่งตน…แต่แท้จริงแล้ว… “เราต้องมองออกไปข้างนอก เราต้องมองออกไปข้างนอกกรอบชีวิตของตนเองให้ได้…เพื่อความมั่นคงในการดำรงอยู่แห่งชีวิตของตนเอง” ภาวะตรงส่วนนี้บ่งบอกถึงว่า…ชีวิตต้องจำเป็นดิ้นรนด้วยเงื่อนไขแห่งเสรีภาพทางด้านสัญชาตญาณที่บางทีบางครั้งก็อาจจะหมายถึงภาวะแห่งการไร้ตัวตนเสียด้วยซ้ำ “ดื่มด่ำ ร่ำริน โบกบิน เบิกบาน ด้านใน…”
 
‘เหมือนว่าเมื่อวานนี้เอง’ จบลงด้วยข้อสรุปที่ว่า… “ทุกสิ่งเกิดขึ้นและผ่านไปเนิ่นนาน…แต่ก็ยังคงอยู่เป็นพันธนาการที่แนบชิดกับวันเวลาของชีวิตที่ไม่อาจหลุดพ้นได้…” …มันแข็งแกร่งดุจการคงอยู่ของกระดูกแห่งหมู่มวลสัตว์นานาชนิดบนโลกนี้ ที่ถือเป็นดั่งร่องรอยแห่งซากร่างของชีวิต…ที่อาจมองเห็นได้ถึงความเป็นจริง…ความเหนือจริง กระทั่งเป็นความอัศจรรย์ที่เกินความจริง…
 
************************************************
 
‘กระดูกของความลวง’ รวมเรื่องสั้นเล่มใหม่ของ ‘เรวัตร์’ จำนวน 12 เรื่องเท่ากับเล่มที่แล้ว…เหมือนดั่งเป็นภาคต่อทางความคิดและจิตวิญญาณที่กลายเป็นสัญญะสำคัญของการชี้ให้เห็นความพลิกผันแห่งวัฒนธรรมแห่งชะตากรรมที่สามารถปรับแต่ง…ท้าทายเอากับความแปลกแยกในความมืดมนได้ทุกๆชนิด…แม้กับความรังเกียจเหยียดหยามด้วยกายร่างอันน่าสมเพชเวทนา…แต่กลไกแห่งกลลวงที่หลอกตาหลอกใจให้ได้ตื่นตระหนกก็นำมาซึ่งรอยเลื่อนของการเบิกประจานต่อความเป็นอคติที่สมบูรณ์แบบ… ‘เรวัตร์’ นำเสนอเรื่องสั้น ‘กระดูกของความลวง’ ด้วยการเล่นกับการยอกย้อนแห่งบทเริ่มต้นเชิงพันธุกรรมของมนุษยชาติ…สิ่งอันถือเป็นต้นรากแห่งวิวัฒนาการถูกแปรค่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อการพบเห็นและสื่อสัมผัส…ความงมงายที่ปลิ้นปล้อนหลอกลวงกลายเป็นอำนาจที่ชี้เป็นชี้ตาย…กระทั่งบังเกิดเป็นความเคียดแค้นชิงชังอันถาวร…สัญชาติญาณแห่งการเอาชีวิตรอดคือบทตอนแห่งการค้นพบอันยิ่งใหญ่…ในความจริงแท้ที่ว่าอำนาจแห่งชีวิตของโลก ณ วันนี้นั้นมันขึ้นอยู่กับการรู้จักตัวตนของตัวเองอย่างถ่องแท้ และสามารถพิเคราะห์ถึงว่าในนัยของความเป็นตัวตนนั้นๆจะสามารถนำส่วนไหนมาเล่นแร่แปรธาตุเพื่อเป็นสินค้าที่สามารถปั่นราคาจนบรรลุสู่ขั้นสูงสุดของการเป็นภาวะอันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครกล้าจาบจ้วงหรือหยามหมิ่นได้…
 
“ครั้นเมื่อแม่คลอดเขาออกมา โลกของแม่กับพ่อกลับสั่นคลอนหวั่นไหว…เมื่อทารกน้อยนั้นไม่ต่างจากลูกลิงแสมตัวหนึ่ง…ผู้คนในหมู่บ้านย่านถิ่นนั้นต่างพากันมามุงดูเขาไม่เว้นวาย แล้วต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา ก่อนที่จะพากันลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า…นั่นเป็นเพราะผลกรรมที่แม่ของเขาได้กินเนื้อลิงแสมเข้าไปในระหว่างที่ตั้งท้อง แต่ก็เพียงไม่กี่เพลาหลอก ที่แม่กับพ่อได้ใช้มันปรับตัวปรับใจแล้วตั้งต้นชีวิตขึ้นใหม่…แม้ว่าต่อให้เขาเกิดมาเป็นยักษ์เป็นมารแม่ก็ยังรักเขาอยู่ดี”
 
ตัวละคร ‘ไอ้ลิง’ ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ถูกขับไล่ใสส่งให้พ้นไปจากหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยภาพร่างที่ถูกตอกย้ำถึงความเป็น ‘กาลี’ ของเขา…หญิงคนทรงดูเป็นผู้มีอำนาจผ่านความเชื่ออันน่าเคลือบแคลงแต่ก็เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งแห่งศรัทธา…แต่แล้ว…ด้วยชะตากรรมอันพลิกกลับ…อาการห้อยโหนโจนทะยานที่เก่งกล้าของเขาก็นำไปสู่เส้นทางของชัยชนะของความผูกพันที่ก่อเกิดขึ้นด้วยมายาคติ…สิ่งอันทบซ้อนด้วยอาการและความคิดสิ่งนี้คือนัยแห่งการบรรลุสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์เศร้าของเขา กระทั่งกลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่…ที่ถูกแปลงร่างเป็นความงามด้วยกรรมวิธีแห่งความจริงลวงที่แสนจะแนบเนียน…ในเชิงนามธรรมประสบการณ์ของชีวิตจะทำให้กระดูกแห่งความเป็นตัวตนของมนุษย์กล้าแกร่งจนเต็มไปด้วยพลังที่ไม่มีสิ่งใดจะมาทำลายได้…แต่ด้วยมโนสำนึกของ ‘เรวัตร์’ ภาพแสดงที่ปรากฏอยู่เสมอในเรื่องสั้นแต่ละเรื่อง กลับอยู่ที่…ความอ่อนโยนของความรักที่ถูกถ่ายทอดและสื่อผ่านถึงกันด้วยความสงบเย็น เป็นไมตรี และโบยบินไปสู่โลกแห่งความหวังโดยปราศจากอคติ…
 
“เขาสูงเอย มีแต่ฝูงกินริน เก็บเอาดอกซ่อนกลิ่น ร้อยเป็นสร้อยอาภรณ์ บ้างก็ทำเป็นฟูก…
บ้างก็ทำเป็นหมอน ทำกำไลใส่กร แล้วก็ฟ้อนรำเอย”
 
เขามองเห็นบทเพลง ที่เปล่งออกมาจากชีวิตของแม่ กลายเป็นผีเสื้อสีขาวโบกบินว่อนไหว…
 
……………………ผีเสื้อสีขาวกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ ‘เรวัตร์’ ใช้บรรยายห้วงอารมณ์แห่งการคลี่คลายและปลดปลงของเขา นับแต่เรื่องสั้นอันงดงาม ‘หญิงร้อยดอกไม้’ ในชุด ‘เหมือนว่าเมื่อวานนี้เอง’ มาแล้ว…มันเป็นดั่งกลิ่นหอมของความดีงามแห่งมโนธรรม…แม้ว่าความเป็นชีวิตนั้นๆจะถูกตราหน้าว่าต่ำต้อยด้อยศักดิ์สักเ4เพียงใดก็ตาม…ความงามในความมืดดำของชีวิตและการจากไปของแม่ผู้ชอบทำบุญคนหนึ่ง ที่ชาติก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ชาตินี้เธอขอร้อยดอกไม้ไปทำบุญ และผลบุญนี้ก็ทำให้เธอได้สิ้นใจตายในยามสายของวันพระหนึ่ง ขณะนำดอกไม้ไปบูชาพระพุทธรูปในโบสถ์…เป็นความตายที่งดงามแห่งจิตใจ
 
… “ผีเสื้อสีขาวกลุ่มใหญ่ได้โบกบินออกมาจากโลงศพ พรูขึ้นว่ายเวิ้งฟ้าเป็นสีเทาของเมฆฝน ผีเสื้อสีขาวซึ่งมีกลิ่นหอมดั่งดอกมะลิ…”
 
‘เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์’ เขียนเรื่องสั้นของเขาด้วยความหนักแน่นและอิ่มเอมทางจิตวิญญาณ…ด้วยนัยภาษาแบบกวีนิพนธ์ (Poetic) รูปทรงในการเขียนของเขาคือประดิษฐกรรมที่มีพื้นผิวอันเรียบเย็นและสุขสงบ…ที่เต็มไปด้วยผัสสะของมโนสำนึกที่รู้ค่าความหมายในสถานะแห่งการเป็นชีวิตทุกๆชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ใจ…มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอีกครั้งว่า…หากเรื่องสั้นทั้งสองเล่มนี้ของ ‘เรวัตร์’ ถูกส่งเข้าสู่เส้นทางแห่งการประกวดประขันรางวัลด้านวรรณกรรมในปีนี้หรือเมื่อใด ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะได้ถูกค้นพบ…หรือลึกลงไปในพื้นที่ชีวิตด้านในของเขาก็จะถูกพิสูจน์ด้วยสายตาที่หยั่งลึกของการอ่านที่เต็มไปด้วยสติและภาวะที่เจิดกระจ่างของความไม่เคลือบแคลง…แต่นั่นคือข้อยืนยันถึงเรื่องของอนาคตที่ยากจะคาดเดา…” พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย…โลกของเราจะสงบสุขเพียงใดหากว่าเราไม่ตัดสินผู้อื่นด้วยอคติและอวิชชาทั้งหลายทั้งปวง…นอกจากพระเจ้าตายแล้ว…อะไรต่อมิอะไรก็ตายตามเป็นหางว่าว อุดมการณ์เอย อุดมคติเอย วรรณคดีเอย บทกวีเอย…แต่กลับมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยืนยงไม่ยอมตาย…ก็อคติไงเล่า มันแพร่ขยายงอกงามและเติบโตเร็วกว่าวัชพืชในฤดูฝนเสียอีก…อคติไม่มีวันตาย!”
 
๏ ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต ๏
ของ จักรพันธุ์ กังวาฬ
“วัฒนธรรมแห่งชะตากรรม…ที่ชีวิตควบคุมไม่ได้”
 
“ภาพแสดงของชีวิตล้วนมีฉากแห่งการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง ด้วยนัยแห่งเหตุการณ์ที่ไม่รู้จบรู้สิ้น เป็นทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่ฝังใจฝังจำ หรือกระทั่งเกิดขึ้นด้วยการรับรู้อย่างฉับพลัน บทบาทของชีวิตในแต่ละครั้ง อาจดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ด้วยตัวของมันเอง…แต่ก็มีในหลายๆโอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเกิดขึ้นด้วยความเมามาย ที่สื่อสะท้อนถึงรอยแผลที่บาดลึกและเจ็บปวดภายในจิตใจ…ทั้งหมดทั้งสิ้นดำรงอยู่และดำเนินไปในวัฏฏะแห่งความเป็นเนื้อแท้ของชีวิตที่แต่ละชีวิตต่างก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อความอยู่รอดทางจิตวิญญาณอยู่คนแล้วคนเล่า…จนกลายเป็นดั่งเชื้อปะทุของการถูกบันทึกไว้ด้วยเงาร่างของความเป็นภาพยนตร์ที่มีองค์ประกอบอันลึกซึ้งคาบเกี่ยวกันระหว่างตัวละคร สถานการณ์ เจ้าของชีวิต…และผู้บันทึกในแต่ละคนที่จะต้องใช้สายตาเพื่อการมองรูปรอยของการก่อเกิดอย่างพินิจพิเคราะห์ จนบังเกิดเป็นหัวใจแห่งสำนึกคิดที่ไม่สิ้นสุด…กลายร่างเป็นนิยามแห่งความต่อเนื่องและเป็นนิรันดร์ของชีวิต บนพื้นฐานที่เป็นทั้งโศกนาฏกรรมหรือสุขนาฏกรรมในคราวเดียวกัน”
 
บริบทอันเกี่ยวเนื่องกับบทสะท้อนแห่งการบันทึกเนื้อในแห่งความเป็นชีวิตเบื้องต้นคือแก่นเรื่องอันสำคัญและเป็นความหมายของรวมเรื่องสั้น ‘ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต’ โดย ‘จักรพันธุ์ กังวาฬ’ นักเขียนสารคดีผุ้มีทักษะในการผูกเรื่องราวอันสลับซับซ้อนของชีวิตให้บังเกิดเป็นเรื่องราวแห่งการแสดงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของชีวิต…ผ่านมุมมองของการสะท้อนถ่ายปรากฏการณ์ที่ทั้งอยู่เหนือความคาดคิด และอยู่ต่ำลงไปจากสำนึกอันงดงามของชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น…ถูกไล่เรียงออกมาท่ามกลางความโกลาหลและไร้ระเบียบ ในวิกฤตแห่งศรัทธาของความเป็นตัวตนที่ชีวิตทุกๆชีวิตเป็นเจ้าของ..หากจะเปรียบเทียบในเชิงการประพันธ์ ภาวะที่เกิดขึ้นโดยรวมทั้งหมด ก็เกิดขึ้นภายใต้โครงเรื่องที่เป็นไปอย่างไร้ทิศทางในโครงเรื่องหลัก และถูกแทรกเข้าด้วยโครงเรื่องรองที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขอันยิบย่อยที่คลุกเคล้ากันอย่างยากจะตีความและเต็มไปด้วยอุปสรรคต่อการแยกแยะถึงผลต่างแห่งการรับรู้ที่ควรมีควรเป็น…ชีวิตคืออะไรกันแน่บนพื้นฐานที่ซ่อนลึกอยู่ในก้นบึ้งของเรื่องสั้นทั้ง 8 เรื่องนี้…นั่นเป็นคำถามที่ต้องค่อยๆ ค้นหาฝ่านัยที่พร่ามัว ซึ่งเป็นวิกฤตของเหตุการณ์…ดูเหมือนว่า ‘จักรพันธุ์’ จะใช้จุดเริ่มต้นแห่งการเดินเรื่องทั้งหมดจากจุดๆนี้…จุดที่ผู้เขียนยังไม่สามารถที่จะรู้คำตอบในเรื่องราวของตนเองได้…ขณะที่ตัวละครทุกตัวที่ปรากฏเป็นเรื่องราว ก็ถูกกระทำให้ดำเนินชีวิตไปด้วยวิถีอันยอกย้อน ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ตัวและตระหนักในสำนึกเลยว่า…ทำไมพวกเขาถึงได้แสดงบทบาทแห่งการจำยอมนั้นๆออกมา…นั่นเป็นสถานะขั้นสูงสุดของความเป็นตลกร้ายที่เสียดแทงหัวใจมนุษย์อย่างไม่ปราณี… ‘จักรพันธุ์’ เริ่มต้นเรื่องสั้นเรื่องแรกของเขาด้วยนัยของ ‘คนสองใจ’ ที่เหมือนเป็นมิติเริ่มต้นที่เป็นสามัญในชีวิตมนุษย์ แต่แล้วในท่ามกลางการโถมทับตัวตนด้วยการเยียวยาความเจ็บช้ำแห่งจริตด้วยโอสถหลอนจิต…” และ ‘เกมชีวิต’ ที่ถูกลากผ่านความเมามายจากน้ำเมาเพื่อการลืมเลือน…
 
ทั้งหมดได้ดำเนินไปด้วยกระบวนการที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต…ที่เป็นทั้งสิทธิอันชอบธรรมในความเป็นส่วนตัว ที่จะแสดงอะไรออกมาก็ได้ผ่านคราบไคลของชีวิตที่ไม่ต้องปิดบังอำพราง…มันคือจุดเดือดอันสูงสุดที่ยังหาบทจบให้แก่ตนเองไม่ได้…นอกจากระหว่างทางของการกระทำ…พวกเขาจะโก่งคออาเจียนเอาอาจมของมายาจริตออกมาทางปาก…ขับถ่ายออกมาทางก้น…ทำสมาธิจิตกับความเน่าเหม็นของจิตวิญญาณ…กระทั่งใจร้ายพอที่จะบันทึกภาพเหล่านั้นไว้ด้วยกล้องถ่ายภาพยนตร์ที่มุ่งหวังผลประโยชน์มากกว่าจะเป็นความงดงามของความทรงจำ…แน่นอนว่า!…ชีวิตของมนุษย์โดยสามัญแล้วเป็นสิ่งที่น่าเกลียด…แต่ภูมิหลังที่ซ่อนอยู่กับก้นบึ้งของหัวใจนั้นกลับเป็นสิ่งที่เดือดพล่านและน่ารังเกียจมากกว่าเมื่อมันได้มีโอกาสหลุดออกมาสู่โลกภายนอกอย่างเต็มพลัง ‘ละครด้นชีวิต’ ที่ปรากฏในเรื่องสั้นเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่กดดัน ด้วยภาพแสดงที่อุจาดและขมขื่นด้วยความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจระคนกัน…ลึกลงไปในความเป็นมนุษย์ ว่ากันว่าใจของเราทุกๆคนล้วนถูกฉาบแต้มไว้ด้วยสีขาวและสีดำ…ซึ่งล้วนต่างส่งผลและมีอิทธิพลต่อชีวิต…ที่สื่อผ่านทั้งความ ‘ดี..งาม..จริง..ลวง’ อย่างเหลือเชื่อ ทั้งนี้ก็อยู่ที่ว่าใครจะสามารถควบคุมสีในใจของเราทั้งสองสีนี้ไว้กับหัวใจดวงไหนเพื่อที่จะไม่ให้มันระเบิดออกมาทั้งด้วยความจริงแท้และด้วยความจริงลวง…ภาวะโกลาหลอลหม่านที่บานปลายจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่หลงจริตบนเส้นทางของชีวิต…พร้อมการติดตามถ่ายภาพชีวิตสดๆนั้นอย่างไม่ลดละของผู้ไม่เมามาย แต่กลับเมาสถานการณ์ที่ยอกย้อน ซึ่งบังเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างสับสนและเลือดเย็น…ผลลัพธ์ที่เขาได้รับคือภาพบันทึกแห่งการแสดงอันน่าพอใจ ทั้งจากผู้แสดงที่กรีดเลือดกรีดเนื้อเพื่อจงใจแสดง และทั้งจากผู้ร่วมผสมโรงด้วยความรื่นรมย์และบันเทิงที่จะเหยียบย่ำและกระทืบซ้ำคนอื่น…ทั้งๆที่ไม่ได้ร่วมสถานการณ์และรู้เรื่องราวอะไรเลยมาแต่ต้น…แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะร่วมอยู่ในวงจรนี้ด้วยความบ้าคลั่งแห่งโมหจริตอันสุดจะยับยั้ง…มันคือสัญชาตญาณของความดิบเถื่อนที่ปะทุออกมาท่ามกลางความทุรนทุรายที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของชีวิต…ไม่มีเหตุผลใดๆในการกระทำที่เหมือนจะเต็มไปด้วยเหตุผล…
 
“เอามันเลยอยากซ่านัก…”
“กระทืบมันให้เละ เสือกมาก่อความวุ่นวาย………………………
 
ขณะที่บางคนกระทืบเท้าเร่าๆกับพื้นต่อหน้าภาพชุลมุนแผดเสียงลั่น
 
“ฆ่าผู้ร้ายไม่บาป! ฆ่าผู้ร้ายไม่บาป”
ชั่วอึดใจ…กลุ่มคนจึงแยกย้าย…บางคนต้องผลักเพื่อนที่ยังกระเหี้ยนกระหือรือออกมา…หลายคนเหนื่อยหอบเหลือเพียง ‘เหยื่อของสถานการณ์ผู้เจ็บช้ำ’ ที่นอนคว่ำหน้านิ่งอยู่บนพื้นเวทีใต้ผ้างานวันเด็ก แขนขากางออกจากลำตัว ก้นเปลือยเห็นเป็นก้อนเด่นรับแสงไฟ…เด็กชายตัวน้อยพลันสะบัดมือจากแม่ที่ยืนดูอยู่ห่างๆแต่แรกวิ่งขึ้นไปบนเวที แล้วขึ้นไปกระโดดขย่มบนร่างของ‘เหยื่อที่ไม่รู้สึกรู้สา’ ตนนั้น…พร้อมเสียงหัวเราะสดใสดังจากปากอย่างร่าเริง ครู่หนึ่ง ‘ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์’ ค่อยลดกล้องวิดีโอและระบายลมหายใจยาวออกมา…
 
 
แต่ทั้งหมดในบทสนทนาและคำบรรยายดังกล่าวนี้เป็นเรื่องจริง มันเป็นภาพแสดงที่โหดร้ายซึ่งอยู่กับความมืดดำในจิตใจของเหล่ามวลมนุษย์… ‘ช้วน’ คือเหยื่อ…ผู้พยายามเปิดเปลือยบาดแผลที่กรีดเฉือนหัวใจจนเป็นความฝังใจแต่ครั้งอดีต…ออกมาสู่โลกภายนอกด้วยภาวะสำนึกที่กึ่งดิบกึ่งดี…เหมือนจะไม่รู้ตัวแต่ก็ยืนอยู่ใต้ความมัวเมา… ‘สำรวย’ คือใครบางคน…ที่ตะโกนเน้นย้ำถึงการฆ่าที่ไม่บาป…ซึ่งตลอดเวลาของความเมามายในกลุ่มชีวิตที่เธอสังกัด ซึ่งเป็นไปอย่างคอขาดบาดตาย เธอทำหน้าที่ช่วยหั่นใบไม้ที่นำไปสู่การหลอนจิต…พร้อมกับการนั่งสมาธิด้วยภาวะจริตที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ท่ามกลางห้วงเวลาที่เป็นวิกฤตแห่งวิกฤตนั้น…ขณะที่ ‘หนังตีน’ ผู้ถ่ายภาพยนตร์ แม้จะเป็นผู้มีสติและครองสติได้มากที่สุด แต่สำนึกของเขาก็ติดลบในภาพแสดง ที่เหนือคาดคิดในเป้า ประสงค์แห่งโจทย์เพื่อการกระทำของเขาคือ “การทำหนังสั้นส่งประกวดในเรื่องเกี่ยวกับสันติภาพและสิทธิมนุษยชน”
 
บทเริ่มต้นแห่งความบ้าคลั่งดำเนินไปแบบช้อทต่อช้อทโดย ‘จักรพันธุ์’ ดำเนินเรื่องของเขาด้วยอาการที่เครียดเกร็งต่อการรับรู้ จนกลายเป็นความเขม็งเกลียวต่อความรู้สึกที่โหมกระพือจนสุดขีดก่อนที่จะถูกเชิงชั้นทางการประพันธ์ตัดแยกออกมาอย่างฉับพลัน เพื่อให้เกิดสำนึกคิด (Detaching)…นั่นหมายถึงว่าก่อนที่ผู้อ่านจะสัมผัสกับอาการของเรื่องราวจนจมลึกลงไปในบทบาทอันชวนขื่นขันและเหยียดเย้ยเสียดแทงใดๆ…ผู้อ่านควรจะรู้ตัวเสียก่อนว่า…นั่งเป็นภาพแสดงของการเขียนที่ทุกคนต้องเข้าใจและหยั่งลึกถึงเจตจำนงแห่งภาพแสดงที่เกิดขึ้น…อะไรคือปฏิกิริยาสำคัญในเหตุแห่งการกระทำทั้งหมด…นั่นคือรากฐานในเชิงพินิจพิเคราะห์ ที่เป็นมากกว่าความจดจำที่นำไปสู่การลืมเลือนจากการรับรู้…ปฏิกิริยาแห่งการแยกแยะต่อการกระทำในหลืบลึกที่ซับซ้อนของชีวิตมนุษย์…บนพื้นฐานแห่งการสนองตอบอย่างใคร่ครวญต่อเจตจำนงของผู้เขียน…ถือเป็นเป้าหมายสำคัญต่อการการเขียนในลักษณะนี้…ที่ ‘จักรพันธุ์’ กระทำขึ้นและหวังให้ผู้อ่านได้มีผัสสะอย่างล้ำลึกตรงส่วนนี้…
 
 
นี่คือความแปลกต่างในเงื่อนไขของการนำเสนอเรื่องราวที่ความคิดและการตัดสินใจต่อการพิพากษาซึ่งมีที่ทั้งยอมรับและปฏิเสธต่อเรื่องราวได้ดำเนินไปอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน เพียงแต่ว่าผู้อ่านจะต้องอยู่ในลักษณะของผู้สังเกตการณ์ที่ต้องจับตาดูเรื่องราวอย่างละเอียดและมีสติ มากกว่าปล่อยให้ภาวะของอารมณ์ร่วมไหลบ่าเข้ามาท่วมท้นหัวใจ…จนไม่สามารถจะแยกแยะประเด็นอันแท้จริงอะไรได้…ทั้งนี้ก็เพราะว่าโดยแท้จริงแล้วมนุษย์แต่ละคน ณ วันนี้…ล้วนต่างติดอยู่ในร่างแหที่ถูกกักขังไว้ให้มีชีวิตอยู่…เพื่อจะถูกส่งไปสู่ความตายในวันหนึ่งจากอำนาจเหนือ…ที่อยู่เหนือกายและจิตของเราขึ้นไป หรืออาจจะเป็นเศษสวะของอารมณ์ที่ไร้สติควบคุมที่คอยดึงให้เราต้องกระโจนลงสู่หุบเหวของความต่ำทราม ทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว…หลายๆขณะที่มนุษย์เราเหมือนจะรู้ตัวและชักขาให้พ้นออกมาจากพื้นที่ตรงปลายสุด ก่อนที่ชีวิตจะตกลงไปสู่หายนะ…แต่ก็มีอีกหลายๆขณะที่ใครบางคนกลับปล่อยให้ทุกสิ่งในนามของชีวิตลื่นไหลไปกับวิถีแห่งชะตากรรมจนร่วงหล่นสู่ก้นบึ้งแห่งความพินาศในที่สุด… ‘จักรพันธุ์’ มักจะเปรียบเทียบภาพแสดงนี้ผ่านภาพฝูงวัวที่ถูกกักขังและล่ามมัดบนรถบรรทุกที่นำพวกเขาไปสู่ความตาย ณ โรงฆ่าสัตว์…ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างถูกปรนเปรอด้วยอาหารเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหนังที่จะแปรค่ามาเป็นมูลค่าของการซื้อขาย…ความตายใจด้วยการถูกปรนเปรอเป็นภาวะจริตของการหลงติดในเงื่อนไขแห่งชะตากรรมที่ไม่รู้ตัว จนกระทั่งทุกๆชีวิต…ได้มาถึงวาระโอกาสแห่งข้อตระหนักแล้วว่า…พวกเขากำลังเดินเข้าสู่หลักประหารของชะตากรรมและยากที่จะมีทางรอดจากการลงทัณฑ์ แม้มิได้กระทำผิดอะไรเลยก็ตาม…
 
นัยสำนึกตรงส่วนนี้คือความลึกซึ้งในเรื่องสั้นแต่ละเรื่องของ ‘จักรพันธุ์’ ซึ่งดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาแทบทั้งหมด…การดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนา เปิดโอกาสให้เกิดการใช้ภาษาสื่อสารอย่างเต็มที่ในทุกๆสถานการณ์ที่มนุษย์ในฐานะของเหยื่อแห่งสถานการณ์หรือผู้ร่วมสถานการณ์ต้องเผชิญหน้า…ถ้อยคำผรุสวาทอันรุนแรง…น้ำคำแห่งการสาปแช่งข่มขู่…การรำพึงรำพันในภาวะที่อ่อนล้าในชีวิต…รวมทั้งภาษาความคิดในการตั้งคำถามเอากับความหมายอันแท้จริงของชีวิต ภาษาต่างๆในบริบทอันสั่นไหวความรู้สึกนี้ถูกสื่อออกมาอย่างเปิดเปลือย…เห็นถึงภาพพจน์และเจตจำนงแห่งการแสดงอันลึกเร้นของชีวิตที่แปลกต่างกันออกไปในความลับที่จมลึกอยู่กับภูมิหลังของแต่ละบุคคล ‘จักรพันธุ์’ ใช้กลวิธีในการประพันธ์ในลักษณะนี้ได้ดี…ภาษาได้บทสนทนาของเขาคือตัวแทนแห่งถ้อยคำสำนึกที่กลั่นออกมาจากเนื้อในของความเป็นจริง แม้ว่าภาษาในการบรรยายหรือพรรณนาของเขาจะดูห้วนสั้นและตะกุกตะกักในหลายๆช่วงตอน โดยเฉพาะกับการเชื่อมคำเพื่อให้ได้ความอันสมบูรณ์ต่อการรับรู้และหยั่งคิดบ้างก็ตาม…โครงสร้างของชีวิตที่ทบซ้อนและถูกจับเหวี่ยงไปมาด้วยความเก็บกดอันเนื่องมาแต่ปมเงื่อนอันยากจะสลัดหลุดของชีวิต…ถูก ‘จักรพันธุ์’ นำมาตีแผ่ผ่านความไม่เข้าใจในเนื้อในแห่งความหมายของชีวิตที่กัดกินหัวใจตนเองที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยในพฤติกรรมระหว่างชีวิต รวมทั้งความหน่ายแหนงอันเนื่องมาแต่ผลรวมที่ไม่เป็นธรรมของความรัก…ภาวะเปรียบเทียบนัยสำคัญของการหลงติดอยู่บ่วงแห่งความสั่นไหวทางศรัทธานี้ถูกสื่อผ่าน…วิถีของทะเลทราย ‘ทาคลามาคาน’ ซึ่งอยู่ที่มณฑลซินเกียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน…ทะเลทรายในความรู้สึกที่ร้อนแล้ง แต่กับทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลและเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ชาวอุยกูร์ซึ่งเป็นชนพื้นถิ่นถึงกับให้สมญาแก่ชื่อ ‘ทาคลามาคาน’ ว่า ‘เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้’…
 
‘จักรพันธุ์’ นำภาวะความหมายนี้มาเปรียบเทียบกับภาวะของการมีครอบครัวที่ดูเหมือนจะเป็นนัยแห่งพื้นที่ของความสุข…แต่ครั้นทุกสิ่งดำเนินไป…ชีวิตก็ต้องพบกับบรรยากาศแห่งธรรมชาติที่เหลือเชื่อ…คล้ายการกลับหัวกลับหางของชะตากรรมที่ถูกตอกย้ำให้เกิดขึ้นซ้ำๆกันอย่างไม่สิ้นสุด…
 
“ทะเลทรายที่เวิ้งว้างขนาดนั้น แล้วไม่มีสิ่งที่มีชีวิต มันจะเงียบสงัดขนาดไหน ยิ่งตอนพระอาทิตย์ตกก็ยิ่งเงียบสงัด ยิ่งอ้างว้าง กูเคยเห็นในภาพถ่ายลอนเนินทรายที่โดนลมพัด เกิดลวดลายเป็นริ้วคลื่นอาบแสงสุดท้ายของตะวันกลายเป็นสีแดงก่ำเหมือนฉาบด้วยเลือดสดๆ ก่อนที่รอบๆตัวมึงจะค่อยๆมืดสนิทลงจนมองไม่เห็นอะไรอีก มีแต่ความมืดและความเงียบกริบชนิดมึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”
 
ความรู้ในเชิงสารคดีต่อความเป็นชีวิตถูกยกมาเป็นประเด็นของการอธิบายความ.. “การติดตันที่บ้าคลั่งของชีวิต”…ดูเหมือนว่าโลกแห่งตัวละครของ ‘จักรพันธุ์’ จะหลงทางและมัวเมาอยู่กับความเป็นไปแห่งชีวิตในพื้นที่กว้าง ที่กักขังจิตวิญญาณของมนุษย์ไว้ด้วยกำแพงประหารของความโดดเดี่ยวอันเนื่องมาแต่อคติอันมืดบอด…เหมือนความฟุ้งซ่านที่ลากจูงความหวังอันบริสุทธิ์ออกไปนอกลู่นอกทางจนไม่สามารถจะควบคุมอะไรได้…
 
“กูอยากไปที่นั่น…กูอยากเดินเข้าไปถึงใจกลาง ‘ทาคลามาคาน’…กูอยากเห็น ‘ทาคลามาคาน’ เป็นสีเลือด อยากสัมผัสความเงียบเข้าไปถึงหัวใจและวิธีเดียวที่มึงจะไปถึงที่นั่นได้ก็ต้องแลกด้วยชีวิต เพราะไม่มีใครเคยรอดออกมาได้ ในตอนที่มึงเห็นภาพสวยเจิดจ้าที่สุด ได้สัมผัสบรรยากาศสุขสงบที่สุดในชีวิต อาจเป็นเวลาที่มึงกำลังนอนรอความตายอยู่ ในขณะเดียวกันกูอยากรู้ว่าความ รู้สึกนั้นว่ามันเ