“โลกบู๊ลิ้ม” คุณธรรมแบบโกวเล้งกับนิตเช่

ยุทธจักรนิยายของปรมาจารย์นิยายยุทธจักรแห่งยุค นาม ‘โกวเล้ง’ มิได้เขียนถึง ‘คนดี’ หรือ ‘คนมีคุณธรรม’ แต่ประการใด แต่เขียนถึง ‘ลูกผู้ชาย’ หรือ ‘คนผู้ยิ่งใหญ่’
ส่วน ‘คนผู้ยิ่งใหญ่’ เป็นประการใดนั้น ‘โกวเล้ง’ วิจารณ์โลกทัศน์ของตัวเองไว้ด้วยตนเองใน ‘โลกบู๊ลิ้ม’
ข้าพเจ้ามีโอกาสพบพานสำนวนที่ ‘โชติช่วง นาดอน’ แปลเรื่องราวอันนี้แล้ว รู้สึกชื่นชมเป็นอันมาก จึงขออนุญาตคัดคำให้ปรากฏสู่ยุทธจักรอีกสักครา แม้ว่าชาวบู๊ลิ้มบางท่านอาจจะเคยผ่านสายตามาแล้วไม่รู้ต่อกี่มากน้อย หรืออาจจดจำได้หมดทุกประการแล้วก็ตาม เช่นว่า
‘ก๊วยไต้โล่ว’ เป็นพนักงานคุ้มกันภัย แต่เขาแจกเงินทองที่เขาคุ้มกัน แบ่งให้กับเหล่าโจรยากจนที่คิดปล้นชิง
เขามิได้แจกเงินทองเพราะเทิดคุณธรรม หน่ายทรัพย์สิน อันเป็นธาตุแท้ของชาวบู๊เฮี๊ยบ เขาแจกเงินทองเพียงเพราะว่าเขาคือ ก๊วยไต้โล่ว (วีรบุรุษสำราญ)
‘ซุนเง็กแป๊ะ’ มิเพียงไม่ฆ่า ‘กอเล่าตั้ว’ หากแต่ถึงกับยกโฉนดที่ดินให้นาง
เขาทำเช่นนี้มิใช่เพราะเขารักศัตรูคู่แค้น เขาจัดการเช่นนี้เพราะว่าเขาคือ ซุนเง็กแปะ (ดาวตกผีเสื้อกระบี่)
มิทราบว่าชาวยุทธ์อย่างท่านยังจดจำพฤติการณ์เช่นนี้กันได้หรือไม่
********
พฤติการณ์และคำพูดเช่นนี้เองในยุทธจักรนิยายของ ‘โกวเล้ง’ ล้วนมาจากกมลสันดาลธาตุแท้ของตัวละคร หรือตัวตนภายในแต่ละคน ที่ไม่ถูกกรอบกฎเกณฑ์สังคมทั่วไปจำกัด ไม่ยี่หระว่าสังคมจะพิพากษาเป็นอย่างไร เป็นไอ้งั่งหรือจอมปราชญ์ เป็นวีรบุรุษหรือเป็นมารร้าย เป็นมังกรหรือเป็นงูดิน หรือแม้กระทั่งเป็นงูดินหรือไส้เดือนก็ยังเป็นมิได้ก็ตาม
ข้าพเจ้ายก ‘โลกบู๊ลิ้ม’ ที่เขียนโดยปรมาจารย์โกวเล้ง มิได้หมายแนะให้ผู้ใดอ่าน ‘โลกบู๊ลิ้ม’ เพียงแต่หมายให้ผู้อ่านได้สัมผัสขอบเขตแห่ง ‘โลกบู๊ลิ้ม’ ต่างหาก เพราะในขอบเขต ‘โลกบู๊ลิ้ม’ ของ ‘โกวเล้ง’ คือวิถีแห่งการนับถือใน ‘คุณธรรมในตนเอง’ ที่ไม่คร่ำครึ คือไม่คร่ำครึในคุณธรรมของผู้อื่นอย่างงมงายเหลวไหล
ในสายตา ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ของ ‘โกวเล้ง’ คือวิถีที่ล้วนไม่มีข้อจำกัดห้ามตัวตน ไม่ต้องน้อมตามใคร แต่ปฏิบัติไปตามตัวของตนอย่างแท้จริง
เหมือนดังตัว ‘โกวเล้ง’ ที่คร่ำเคร่งดื่มสุราไปมากมายจนอาจนับเป็นเหตุที่ทำให้ต้องลาโลกไปก่อนวัยอันควร แต่วัยอันควรควรเป็นเท่าใด และผู้ใดกำหนดหรือว่าต้องเป็นเท่าใด
หรือการตายจากโลกนี้ไปด้วยการชราภาพเป็นการดีที่สุดแล้ว?
*******
หากไม่เมามายร่ำสุรา ‘โกวเล้ง’ ย่อมไม่ใช่ ‘โกวเล้ง’ ที่ข้าพเจ้ารู้จัก
‘โกวเล้ง’ ที่ไม่ชมชอบร่ำสุรา ตัวละครเอกของ ‘โกวเล้ง’ ที่ไม่ชมชอบร่ำสุรา ถามว่าจะยังประทับตราตรึงในใจชนชาวโลกได้เช่นเดียวกับที่เป็นทุกวันนี้หรือ
ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ติดใจในบรรยากาศการร่ำสุราของ ‘โกวเล้ง’ และสหายน้ำเมาของท่าน
ข้าพเจ้าถือว่า ‘สุรา’ เป็นแบบเฉพาะและเป็นความสำเร็จหนึ่งของ ‘โกวเล้ง’
แต่สำหรับชนชาวโลก สุราย่อมเป็นสุราที่ใครต่อใครพร่ำบอกว่ามิใช่สิ่งดีงามอยู่ร่ำไป
เรื่องราวในโลกมักเป็นเช่นนี้….
******
การที่ ‘โกวเล้ง’ เลือกประพฤติปฏิบัติไปตามตัวของตน แม้จะเป็นการนำพาตัวเองไปสู่ที่ตาย หรือที่บรรดาตัวเอกในละครของ ‘โกวเล้ง’ ประพฤติไปตามครรลองนั้น ‘โกวเล้ง’ บรรยายไว้ใน ‘โลกบู๊ลิ้ม’ ของเขาว่า ช่างคล้ายกับ ‘หลักธรรมโดยตัวตน (Master Morality)’ ของ ‘นิตเช่’ นักปราชญ์ชาวเยอรมันอย่างยิ่ง
‘นิตเช่’ บอกว่า คุณธรรมของคนมี 2 ประเภท ประเภทหนึ่งเกิดจากความเป็นตัวของตัวเอง แต่อีกประเภทหนึ่งคือคุณธรรมที่มาจากสำนึกเยี่ยงทาส
คุณธรรมแบบ ‘โกวเล้ง’ และผู้ยิ่งใหญ่ใน ‘โลกบู๊ลิ้ม’ ย่อมเป็นแบบแรก
เป็นแบบที่ ‘นิตเช่’ ยกย่องว่าปฏิบัติตัวไปตาม ‘หลักคุณธรรมโดยตัวตน’ กระทำการทุกอย่างตามความเชื่อของตน ไม่ใช่ฝืนจำใจต้องกระทำไปตามที่หลักธรรมใดๆ กำหนด
ผู้ใดจะสามารถตัดสินคุณธรรมในใจผู้อื่นได้จริงหรือ?
****
ในโลกแห่งประวัติปรัชญาตะวันตก ‘นิตเช่’ เป็นผู้ท้าทายและรุกกระหน่ำต่อปรัชญาตะวันตกแบบเก่าๆ ในทางศาสนาถึงกับประกาศว่า “พระเจ้าตายแล้ว!” และพุ่งปลายหอกเข้าใส่โลกแห่งคริสตศาสนา ส่วนในด้านคุณธรรม เขาเห็นว่าคำนิยมด้านคุณธรรมที่สืบทอดกันมายาวนานนั้น เป็น ‘คุณธรรมแบบยาฝิ่น’ เป็นคุณธรรมที่สร้างเสริมความเป็นทาสและกลมกลืนเข้าหมู่พวก คนได้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปหมด
‘นิตเช่’ จึงเชิดชู Master Morality
ใน ‘โลกบู๊ลิ้ม’ ของ ‘โกวเล้ง’ จึงบอกว่า งานของ ‘นิตเช่’ มีเสน่ห์อย่างยิ่ง ทว่าปรัชญาตะวันตกก็คือตะวันตก และแม้งานของ ‘โกวเล้ง’ จะมีร่องรอยความประทับใจจาก ‘นิตเช่’ ชัดเจน แต่ก็เป็นภาพการประสมประสานปรัชญาหลายสำนัก
‘โกวเล้ง’ ล้วนซึมซับและหลอมรวมปรัชญาหลายสำนักเหล่านั้นมาสู่เส้นทางโดยตัวตนเอง
เป็นตัวเองเองโดยสิ้นเชิงภายใต้ ‘โกวเล้ง’ ที่เป็นคนเขียนนิยาย
‘โลกบู๊ลิ้ม’ ของเขาล้วนเป็นโลกแห่งนิยาย เพียงแต่สะท้อนความเป็นจริงแห่งยุคสมัยของเขาไว้ คือความเป็นจริงที่ว่า มนุษย์จะต้องแสวงหาและพัฒนาภูมิปัญญาไปสู่จุดที่สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ
ข้าพเจ้าอยากรู้จริงว่า ถึงตอนนี้ ความเป็นจริงของมนุษย์ยุคสมัยนี้ กำลังก้าวหน้าหรือถอยหลังกันแน่
*********
‘โลกบู๊ลิ้ม’ ของโกวเล้ง ยังมี ‘เอี้ยก้วย’ และมี ‘กิมย้ง’
‘เอี้ยก้วย’ เป็นตัวเอกในยุทธจักรนิยายของ ‘กิมย้ง’
‘กิมย้ง’ คือปรมาจารย์ยุทธจักรนิยายแห่งยุคอีกผู้หนึ่ง เมื่อคราว ‘โกวเล้ง’ ยังมีชีวิต
ยุทธจักรนิยายเวลานั้นคงมีสีสันมากมาย เพียงแต่เสียดายที่ข้าพเจ้าเกิดไม่ทัน แต่ถึงกระนั้น บรรดาผลงานของปรมาจารย์แห่งยุคเหล่านี้ยังคงตกทอดมาถึงปัจจุบัน
เป็นปัจจุบันที่ถางทางสู่ตำนานยุทธจักรนิยายหน้าใหม่ที่กำลังเปิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อ ‘หวงอี้’ สะบัดปากกาแล้วเข้าสู่ทำเนียบยุทธจักรนิยายอย่างอาจหาญ
ยามนี้แม้ ‘โกวเล้ง’ จะไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้ว หรือ ‘กิมย้ง’ ล้างมือในอ่างทอง เลิกจับปากกาเขียนนิยายยุทธจักรอีก ยุทธจักรนิยายก็ไม่ได้เงียบเหงาเกินไปนัก
แต่เวลานี้ ‘หวงอี้’จะยังไม่ถูกยกมาร่วมสนทนา เพราะข้าพเจ้าปรารถนาจะพูดถึง ‘เอี้ยก้วย’ ใน ‘โลกบู๊ลิ้ม’ของโกวเล้งก่อนเท่านั้น
‘โกวเล้ง’ วิจารณ์ ‘จอมยุทธ์อินทรีย์เอี้ยก้วย’ ผู้นี้ว่าเป็นตัวละครที่น่ารักที่สุดคนหนึ่งในวงการยุทธจักรนิยายเลยทีเดียว
‘โลกบู๊ลิ้ม’ บอกว่า อารมณ์ความรู้สึกระหว่าง เอี้ยก้วย เสียวเล้งนึ้ง หรือก๊วยเซียง นั้นล้วนเป็นเรื่องราวความรักในนิยามบู๊ลิ้มที่สะเทือนใจผู้คนมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่สำคัญที่สุดคือ ‘กิมย้ง’ ได้สร้างท่วงทำนองของยุทธจักรนิยายขึ้น อย่างที่น้อยคนจะแหวกว่ายทะลุไปได้
“เอี้ยก้วยรักเสียวเล้งนึ้งอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นกำเนิดหรืออายุของเสียวเล้งนึ้ง ไม่เกี่ยงว่าเธอจะเคยถูกคนสร้างราคีคาวไว้หรือไม่ เขารักเธอก็คือเขารักเธอ ไม่เคยถดถอย ไม่เคยหลบหลีก
“ข้าพเจ้ารู้สึกว่า นี่ซิ คือชายที่เป็นลูกผู้ชายแท้จริง
“หากว่าเสียวเล้งนึ้ง เนื่องเพราะคิดว่าตนแปดเปื้อนราคีคาว ทั้งคิดว่าตนอายุมากกว่าเอี้ยก้วย ไม่เหมาะสมกับเอี้ยก้วย ดังนั้นจึงยกเอี้ยก้วยให้ก๊วยเซียง พร้อมทั้งกล่าวกับพวกเขาว่า พวกเธอต่างหากจึงเป็นคู่ที่เหมาะสมอย่างแท้จริง พวกเธอร่วมชีวิตกันจึงจะได้รับความผาสุกที่แท้จริง
“หากว่าเรื่องจบลงเช่นนั้นจริงๆ ข้าพเจ้าจะต้องโกรธจนกระอักโลหิตเป็นแน่”
นี่คำชื่นชมต่อ ‘ความรัก’ นอกกรอบ ‘ศีลธรรม’ ในมุมมองของ ‘โกวเล้ง’
******
ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ หากแม้น เสียวเล้งนึ้ง หรือ ‘เล้งยี้’ มีตัวตนจริงๆ และมีตัวตนขึ้นมาในประเทศของข้าพเจ้า ณ ปัจจุบันขณะเล่า เรื่องราวจะเปลี่ยนแปลงเป็นประการใด?
หรือจะเป็นเสียวเล้งนึ้งที่หน้าด้านไม่รักนวลสงวนตัวยอมเปลื้องผ้าฝึกวิชากับลูกศิษย์หนุ่ม
หรือจะเป็นเสียวเล้งนึ้งที่มีไฟราคะในตนมากมาย โดยยินดีเสียความบริสุทธิ์กับลูกศิษย์หนุ่มที่ตนเองสอน
หรือจะเป็นเสียวเล้งนึ้งที่ไม่รู้สึกผิดอะไรเลยกับคนที่ตนรักเพราะไปมีสัมพันธ์กับชายอื่น
หรือจะเป็น….ฯลฯ
โอว….สำหรับประเทศของข้าพเจ้านั้น ‘เสียวเล้งนึ้ง’ เป็นผู้หญิงที่เลวเสียนี่กระไร
****
ในโลกที่ไม่ใช่บู๊ลิ้ม แต่เป็นประเทศของข้าพเจ้า หรือโลกที่เป็นจริงของข้าพเจ้า ยาฝิ่นคุณธรรมเหมือนจะถูกปล่อยมาให้ข้าพเจ้าเสพเป็นทาสไปทีละนิดเสียแล้ว
เวลานี้ข้าพเจ้ามิอาจพิมพ์คำว่า SEX บนอินเตอร์เน็ต เพราะกลัวเป็นผู้หนึ่ง ใน 500,000 คนที่กำลังล่อลวงตนเองเข้าสู่บาป
ข้าพเจ้าเกรงกลัวเหลือเกินกับการร่ำสุรา เพราะบรรดากฎหมายข้อห้ามกำลังถูกตราขึ้นทั้งหนาแน่นและมากมายจนแทบไม่มีที่ทางแบบนี้ให้ข้าพเจ้า สหาย ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง อาจารย์ หรือผู้ใดอีก
ข้าพเจ้ากลัวเหลือเกินกับการพูดถึงเรือนร่างของสตรี เพราะเกรงจะเป็นการปลุกเร้าอารมณ์ตนเองขึ้นมาให้ฟุ้งซ่าน
ส่วนสตรีนั้นเล่า เรือนร่างกำลังจะถูกพูดถึงหรือเปิดเผยไม่ได้อีกต่อไป คุณธรรมที่ลุกลามเวลานี้ อาจทำให้ต่อไปบรรดาพวกเธอคงต้องสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าเพื่อจะได้ไม่ต้องทอดหางตายั่วยวนบุรุษให้หลงใหล อาจต้องสวมใส่กระโปรงยาวถึงข้อเท้า หรือต้องใส่เสื้อแขนยาวคลุมข้อมือ เพราะการเผยเนื้อหนังอาจไปกระตุ้นบรุษให้เป็นบาปแก่พวกเธอได้
หรือจะต้อง…ฯลฯ
คุณธรรมแบบนี้กำลังบังเกิดในประเทศของข้าพเจ้าแล้วโดยบรรดาผู้ตั้งตนเป็น ‘วีรบุรุษ’
วีรบุรุษที่บอกตนเองว่าเป็น ‘วีรบุรุษ’
วีรบุรุษแท้จริงควรเป็นประการใด ข้าพเจ้าขอถามไว้ด้วยเนื้อความนี้
“คนต่ำทรามในสายตาของชาวโลก
ไม่แน่ว่าล้วนต่ำทรามทั้งสิ้นก็จริง
แต่วิญญูชนในสายตาชาวโลก
จะมีสักกี่คนที่เป็นวิญญูชนที่แท้จริง”
– ฤทธิ์มีดสั้น แปลโดย ว. ณ เมืองลุง
หากในอนาคต ‘โลกบู๊ลิ้ม’ ของท่านปรมาจารย์ ‘โกวเล้ง’ หรือ ‘กิมย้ง’ มิกลายเป็นโลกต้องห้ามไปเสียก่อนด้วยความ ‘ไร้คุณธรรม’ แบบที่ผู้คนบางคนมิพึงใจ
ข้าพเจ้าอยากจะขอสนทนาแบบนี้อีกสักหลายครั้ง
โดย Prachatai เวบหนังสือพิมพ์ออนไลน์