โยฮันน์ วูล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่ : การแปล

การแปลแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. การแปลเป็นร้อยแก้ว
2. การแปลโดยการเลียนแบบ
3. การแปลที่บรรลุกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับต้นฉบับ
1. การแปลเป็นร้อยแก้ว
การแปลมีสามประเภท ประเภทแรกแนะนำให้เรารู้จักประเทศต่างด้าวในสำนวนภาษาของเราเอง การแปลด้วยร้อยแก้วธรรมดาเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับวัตถุประสงค์นี้ ร้อยแก้วเหมาะที่สุดที่จะใช้เป็นการแนะนำ มันถอดฉันทลักษณ์ของศิลปะแห่งกวีนิพนธ์ออกไปจนหมด และสยบแม้แต่ระลอกคลื่นครื้นครั่นที่สุดของพลังกวีให้เหลือแค่น้ำนิ่งได้ การแปลเป็นร้อยแก้วธรรมดาช่วยให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกับความงามแบบต่างด้าว โดยที่ยังอยู่ท่ามกลางความรู้สึกนึกคิดประจำชาติของเราเอง ในชีวิตประจำวันของเรา และโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น การแปลช่วยยกระดับตัวเรา โดยถ่ายเทอากาศที่สูงส่งกว่าเข้ามาในชีวิตของเรา งานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของท่านลูเธอร์จะก่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ทุกครั้งที่อ่าน
ยกตัวอย่างเช่น น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หากมีการแปล Nibelungen(2) เป็นร้อยแก้วที่เรียบเรียงอย่างดีเสียตั้งแต่แรก และจัดประเภทให้เป็นวรรณคดีพื้นบ้าน รสชาติอันป่าเถื่อน มืดมน เคร่งเครียดและแปลกประหลาดของยุคอัศวินสมัยกลาง จะยังคงส่งผ่านมาถึงเราด้วยพลังเต็มเปี่ยม การแปลแบบนี้ยังทำได้หรือสมควรทำหรือไม่ในตอนนี้ คงต้องปล่อยให้บรรดาเอตทัคคะทางด้านวรรณคดีโบราณเป็นผู้ตัดสินใจ จะเป็นการดีที่สุด
2. การแปลโดยการเลียนแบบ
ยุคที่สองของการแปลเกิดตามมา เมื่อนักแปลพยายามพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาวะของความเป็นต่างชาติ แต่ทั้งนี้เพียงเพื่อดูดซับเอาแนวความคิดแบบต่างประเทศและเอามานำเสนอเป็นของตัวเอง ข้าพเจ้าอยากเรียกการแปลประเภทนี้ว่า การเขียนเลียนแบบ (parodistic) โดยใช้ในความหมายที่พื้นฐานที่สุดของคำ ๆ นี้
ส่วนใหญ่แล้ว ผู้เปรื่องปฏิภาณมักนิยมการเขียนเลียนแบบ ชาวฝรั่งเศสใช้วิธีนี้ในการแปลผลงานกวีนิพนธ์ทั้งหมด: มีตัวอย่างหลายร้อยตัวอย่างในงานแปลของเดอลีล(3) ทำนองเดียวกับที่ชาวฝรั่งเศสปรับประยุกต์คำภาษาต่างประเทศ ให้เข้ากับการออกเสียงแบบของตน ชาวฝรั่งเศสยังปรับแต่งความรู้สึก ความคิด แม้กระทั่งวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ด้วย ผลไม้ต่างประเทศทุกชนิด ต้องมีผลไม้ที่งอกบนดินฝรั่งเศสมาเทียบแทนกัน
งานแปลของวีลัน(4) ก็จัดอยู่ในประเภทนี้ วีลันเองมีความเข้าใจและรสนิยมเฉพาะตน ซึ่งเขานำมาปรับใช้กับวรรณคดีโบราณและประเทศต่างด้าวตามแต่ตัวเขาจะเห็นสมควร นักแปลผู้ยอดเยี่ยมคนนี้ถือเป็นตัวแทนแห่งยุคสมัย เขามีอิทธิพลอย่างล้นเหลือเสียจนไม่ว่าอะไรก็ตามที่ถูกใจเขา ไม่ว่าเขาจะซึมซับและถ่ายทอดต่อคนร่วมยุคสมัยอย่างไร ทุกคนก็ตอบรับอย่างดีและชื่นชอบผลงานของเขาเสมอ
3. การแปลที่บรรลุกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับต้นฉบับ
เพราะเราไม่สามารถอ้อยอิ่งอยู่ได้นานนัก ไม่ว่าในสภาวะที่สมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ แต่ถึงที่สุดแล้วก็ต้องเปลี่ยนผ่านจากสภาวะหนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่ง เราจึงได้พานพบกับการแปลยุคที่สาม ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายและขั้นสูงสุดของสามยุค ในยุคนี้ เป้าหมายของการแปลคือการบรรลุถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยสมบูรณ์กับต้นฉบับเดิม จนกระทั่งงานแปลไม่ได้ดำรงอยู่เพื่อแทนที่ต้นฉบับ แต่อยู่ในสถานะของต้นฉบับ
งานแปลประเภทนี้ต้องเผชิญกับการต่อต้านรุนแรงในระยะแรก ทั้งนี้เพราะนักแปลผูกพันแน่นแฟ้นกับต้นฉบับ จนเขาละทิ้งความเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติตนเองไปไม่มากก็น้อย และสร้างสรรค์งานแปลประเภทที่สามนี้ ซึ่งรสนิยมของมหาชนต้องอาศัยเวลาถึงจะไล่ตามทัน
ในตอนแรก แวดวงนักอ่านไม่พอใจกับงานของฟอสส์(5) (ผู้ที่เราชื่นชมสักเท่าไรก็ไม่พอแก่คุณูปการที่เขาสร้างไว้) จนกระทั่งเมื่อหูของมหาชนค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับการแปลประเภทใหม่และเริ่มคุ้นเคยกับมัน บัดนี้ ใครก็ตามที่ประเมินถึงขอบเขตของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ความหลากหลายที่ชักนำเข้ามาสู่ชาวเยอรมัน สัมผัสและจังหวะที่กลายเป็นผลดีต่อผู้เริ่มต้นที่มีใจและมีความสามารถ การที่อารีโอสโต(6) และทาสโซ เช็คสเปียร์และกัลเดรอน(7) ถูกนำมาให้เรารู้จักมากขึ้นเป็นสองหรือสามเท่า ในฐานะนักประพันธ์ต่างชาติที่กลายร่างเป็นเยอรมัน ก็ได้แต่หวังว่า ประวัติวรรณกรรมจะยอมรับอย่างเปิดเผยว่า ใครเป็นคนแรกที่เลือกเส้นทางนี้ ทั้ง ๆ ที่มีอุปสรรคนานัปการก็ตาม
ผลงานของฟอน ฮัมเมอร์(8) ส่วนใหญ่เป็นการแปลงานชิ้นเอกของตะวันออกด้วยวิธีการคล้ายคลึงกัน เขาเสนอแนะว่า การแปลควรทำให้ใกล้เคียงกับรูปแบบภายนอกของต้นฉบับดั้งเดิมให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ การแปลผลงานบางบทของเฟอร์ดูซี ที่เพื่อนเราคนนี้ผลิตออกมาน่าเชื่อถือแค่ไหน ย่อมพิสูจน์ได้เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการแปลงแบบประยุกต์ที่มีตัวอย่างให้หาอ่านได้ในหนังสือ Fundgruben (9) ในทัศนะของเรา การบิดเบือนกวีจนพิกลพิการไปเช่นนี้เป็นความผิดพลาดที่น่าเศร้าที่สุด ที่นักแปลผู้ขยันขันแข็งและมีความสามารถอาจกระทำได้ทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในวรรณคดีทุกประเภทมีงานแปลทั้งสามยุคปรากฏซ้ำและย้อนหลังสวนทางเสมอ รวมทั้งดำรงอยู่พร้อมกันด้วย การแปล Shahnama (10) และงานเขียนของนิซามิเป็นร้อยแก้วยังมีประโยชน์อยู่ เหมาะสำหรับการอ่านเอาเรื่อง ซึ่งจะช่วยไขให้เห็นความหมายที่เป็นแก่นของผลงานเหล่านั้น เราสามารถประเทืองปัญญากับประวัติศาสตร์ ตำนาน ข้อคิดทางจริยธรรม และค่อย ๆ ทำความคุ้นเคยกับทัศนคติและวิถีการคิด จนกระทั่งรู้สึกสนิทใจกับมันได้ในที่สุด
ลองนึกถึงเสียงแซ่ซ้องอย่างไม่มีข้อกังขาที่เราชาวเยอรมันมีต่องานแปลอย่าง ศกุนตลา ซึ่งความสำเร็จคงต้องยกความดีความชอบส่วนใหญ่ให้แก่การแปลเป็นภาษาร้อยแก้ว ที่ถอดเอาความเป็นกวีนิพนธ์ออกไป บัดนี้ถึงเวลาสมควรแล้วที่จะมีการแปลซ้ำใหม่ในรูปแบบที่สาม ซึ่งไม่เพียงต้องตรงกับภาษาพื้นถิ่นต่าง ๆ สัมผัส จังหวะและสำนวนดั้งเดิมในต้นฉบับ แต่ยังพลิกฟื้นเอาความเป็นกวีนิพนธ์ที่มีลักษณะเฉพาะอันแตกต่างจากเราขึ้นมาใหม่ ในรูปแบบที่ไพเราะรื่นหูด้วย ในเมื่อต้นฉบับของผลงานอมตะชิ้นนี้มีอยู่ในปารีส หากมีชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ที่นั่นสักคนยอมแบกรับภาระนี้ เขาย่อมได้รับคำสรรเสริญอย่างไม่มีสิ้นสุด
ในทำนองเดียวกัน นักแปลชาวอังกฤษผู้แปล Messenger of the Clouds (11) สมควรได้รับความชื่นชมทุกประการ เหตุผลง่าย ๆ ก็เพราะ การที่เราได้รู้จักกับผลงานแบบนี้เป็นครั้งแรก ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตของเราเสมอ แต่งานแปลของเขาจัดอยู่ในยุคที่สองอย่างแท้จริง ใช้วิธีเรียบเรียงถอดความและขยายความเข้ามาช่วย ในการแปลยังเอาใจหูและประสาทสัมผัสของชาวซีกโลกเหนือด้วยฉันทลักษณ์แบบ iambic pentameter
ข้าพเจ้ายังติดค้างคำขอบคุณที่ต้องมอบให้แก่โคเซการ์เทน(12) ที่แปลบทกวีบางบทจากภาษาต้นฉบับโดยตรง มันช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ผู้แปลชาวอังกฤษยังถือวิสาสะตามอำเภอใจในบางแง่ด้วย คือมีการยักย้ายเปลี่ยนแปลงท่วงทำนองหลักของเรื่อง ซึ่งดวงตาสุนทรียะที่เชี่ยวชาญย่อมจับติดและติเตียนในทันที
เหตุผลที่เราเรียกการแปลยุคที่สามว่าเป็นยุคสุดท้ายด้วย สามารถอธิบายได้ง่าย ๆ สั้น ๆ ดังนี้ งานแปลที่พยายามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับต้นฉบับ ย่อมใกล้เคียงที่สุดกับการแปลแบบบรรทัดต่อบรรทัด และเอื้อต่อการเข้าใจต้นฉบับอย่างยิ่ง ใช่ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราย่อมถูกชักนำกลับไปหาต้นฉบับภาษาเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อนั้น วงจรที่ความแปลกแยกกับความคุ้นเคย สิ่งที่รู้กับสิ่งที่ไม่รู้ ซึ่งเคลื่อนเข้ามาหากันอยู่เสมอ ย่อมบรรจบสมบูรณ์ในท้ายที่สุด
Johann Wolfgang von Goethe (1) : Translations
แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Sharon Sloan
บทความ: มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน http://www.midnightuniv.org
กลางวันคือการเริ่มต้นเดินทางไปสู่ความมืด ส่วนกลางคืนคือจุดเริ่มต้นไปสู่ความสว่าง- เที่ยงวันคือจุดที่สว่างสุดแต่จะมืดลง เที่ยงคืนคือจุดที่มืดสุดแต่จะสว่างขึ้น