Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

แทนไท ประเสริฐกุล นักเขียนสุดยียวน

 

     

     ต้องบอกก่อนเลยว่าผู้ชายที่เรากำลังจะเริ่มบทสนทนากับเขาในครั้งนี้ค่อนข้างเต็มเปี่ยมไปด้วย "พลัง" ในการขับเคลื่อนชีวิต เพราะด้วยวัยย่าง 27 ปีของเขาสวมหมวกมาถึงสามใบแล้วทั้งในฐานะ นักชีววิทยาไฟแรง อาจารย์สุดเฮี้ยวผู้แสนจะมุ่งมั่น (อดีต) และ นักเขียน คอลัมนิสต์ หน้าใหม่ที่มาพร้อมกับความแหวกแนวแบบยีสต์ๆ เหมือนกับหนังสือเล่มแรกของเขา "โลกนี้มันช่างยีสต์" ซึ่งทั้งหมดนี้ชายหนุ่มที่ชื่อ แทนไท ประเสริฐกุล ถือเป็นภาระกิจสำคัญในชีวิตที่ต้องทุ่มเทรับผิดชอบ แต่บทบาทของเขาที่เรามองเห็นได้ชัดเจนตอนนี้น้ำหนักค่อนข้างจะอยู่ที่การนั่งแท่นเป็น "นักเขียน" เพราะหลังจากที่หนังสือเล่มแรกซึ่งรวมเล่มพิมพ์มาจากไดอารี่บล็อคของเขาออกมา ก็มีหน้าที่การเป็นคอลัมนิสต์เขียน คอลัมน์ "คนค้นสัตว์" ใน โอเพ่น ออนไลน์ และ "โรคจิต" ใน อะเดย์ ตามมา รุ่งขนาดนี้ "มติชน" เลยถือโอกาสมางัดแงะความ "ยียวน" จากตัวอักษรของเขาสักหน่อย

     "จะเรียกว่ายียวนก็ได้นะ แนวเขียนแบบนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัว เป็นความบ้าที่ผมสะสมมา แต่จริงๆ แล้วอย่างหนังสือ โลกนี้มันช่างยีสต์ เนียะตอนแรกผมก็ไม่นึกว่าคนอ่านจะอ่านรู้เรื่อง และคงงงว่าตลกยังไง เขียนอะไรมา เปรียบเทียบกับ ตูดกับขี้ กับ นม ตลอดเวลา แต่พอเอาเข้าจริงก็มีคนชอบนะ" แทนไท เริ่มว่าถึงงานเขียนแนะนำตัวเล่มแรกให้ฟัง

     พอมันประสบความสำเร็จ อย่างน้อยก็ในการแนะนำตัวเขาในฐานะนักเขียนทำให้เขายยิ่งแน่ใจว่า โลกนี้มันช่างยีสต์ จริงๆ

     "มันแปลกใจเหมือนกันว่าเฮ้ยความงี่เง่าประเภทนี้ เรานึกว่าคนจะเบือนหน้าหนี ก็ไม่นี่หว่า ความติ๊งต๊องไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว มันมีกับหลายๆ คน"

     แทนไท บอกว่า ลูกค้าหลักของตัวอักษรสไตล์ยียวนในแบบเขานั้น มักจะเป็นเด็กผู้หญิงในวัยมัธยมเป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้ใหญ่ที่เข้ามาถามหาสาระจากหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นชื่อ และนามสกุล อันบอกที่มาของตัวเขา

     "พอเห็นจากนามสกุล บางคนก็มาปลื้มผมเพราะเป็นลูกพ่อ กับแม่ บางคนก็บอกว่าเราเป็นคนหนุ่มที่มีอุดมการณ์สูงส่ง สมเป็นลูกเสกสรรค์-จีระนันท์ ซึ่งผมว่ามันเว่อร์ไป อย่างบางคนถึงขนาดตั้งสมมติฐานว่า ที่ผมชอบชีววิทยา เพราะผมเกิดในป่า ผมก็ตอบกลับไปว่าแล้วทำไมคุณเกิดที่โรงพยาบาลไม่เป็นหมอล่ะ"

     และการเป็นลูกคนดัง นี้เองที่เขาบอกว่า ค่อนข้างกดดัน แต่ก็เรียนรู้จะยอมรับมัน

     "ผมรู้สึกว่าทำไมเราต้องมารับภาระอธิบายตนเอง มันเป็นความยวนอย่างหนึ่ง แต่อีกมุมหนึ่งมันก็เป็นวิถีธรรมชาติที่เราเป็นลูกคนดัง แล้วต้องมีภาระติดตัวมาแต่เกิด" แทนไท ว่า

     และบอกความรู้สึกที่เป็นผลพวงก่อเกิดขึ้นมาจากสิ่งเหล่านี้ด้วยว่า มันทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจเขาว่า ทำไมสังคมนี้ ถึงมองอะไรแค่ผิวเผิน

     "บางคนมาสัมภาษณ์ว่าผมเป็นเด็กเรียนเก่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วในห้องเรียนผมมีคนเรียนเก่งกว่าผม ทำไมเขาไม่สัมภาษณ์ เพราะไม่ใช่ลูกคนดัง ขายไม่ได้ แล้วอีกอย่างจริงๆ แล้วผมมีความสนใจลึกๆที่เป็นตัวตนจริงๆ ของผมอยู่ ทำไมพอเอาเข้าจริงคนที่มาถามผมกลับไม่สนใจตรงนั้น" แทนไท เล่าอย่างออกรส

     พร้อมกับรีบยกตัวอย่างให้เราได้เห็นชัดๆ แบบไม่ต้องแคลงใจ ด้วย

     "อย่างยกตัวอย่างนะ นิตยสารอะเดย์ ทาบทามให้ผมเขียนคอลัมน์ ผมก็พยายามเอาความรู้ที่เรียนมา คือผมเรียนเกี่ยวกับ สมอง และจิตวิทยา ผมก็เอาความรู้ เรื่องแปลกๆ เกร็ดต่างๆ ที่ผมเรียนมาถ่ายทอดออกไป กลับได้ฟีตแบ๊คกลับมาว่ามันซีเรียสไป กลายเป็นว่าสิ่งที่เราอยากพรีเซนต์จริงๆ ไม่มีใครสนใจ เขาต้องการให้ผมตลกโปกฮาเหมือนอย่างที่เขียนในไดอารี่มากกว่า จริงๆ ผมมองว่าไม่ได้ผิดอะไรเพราะกลุ่มเป้าหมายเขาเป็นแบบนั้น"

     ซึ่งที่สุดแล้วแม้ยังไม่ได้ปล่อยของอย่างที่อยาก แทนไท ก็ยังไม่ละความพยายาม และ ความตั้งใจที่จะ ปั้นหนั้งสือวิชาการแนวชิลๆ ในแบบของเขา

     "ผมอยากทำหนังสือชีววิทยาแนวชิลๆ คือปกติตอนสอนเด็กผมทำชีสให้เด็กอ่านแล้วเขากลับมาบอกว่าอ่านของอาจารย์แทนแล้วไม่อยากอ่านตำราอื่นเลย อ่านแล้วสนุกดี เข้าใจด้วย คือผมเขียนชีสวิชาการโดยใช้ภาษาเหมือนเขียนในหนังสือผมเลย ใส่รูปฮาๆ ไปด้วย ผมว่าถ้าเกิดผมทำตำราเรียนแบบนั้นออกมาได้ เด็กจะมีความสุขในการอ่านตำรามากขึ้น ความสุขนั้นจริงๆ เป็นผลพลอยได้ ที่สำคัญคือเขาเข้าใจ จริงๆ คือผมอยากเป็นนักวิชาการแนวใหม่เหมือนกัน แต่ต้องอย่ารีบ ผมต้องสร้างเนื้อสร้างตัว และสติปัญญาไปอีกหลายปี"

     และนอกจากโปรเจ็คต์ที่ว่านี้แล้ว เขายังมีอีกสองโปรเจ็คต์ คือรวมเล่มคอลัมน์ "คนค้นสัตว์" ที่เขียนใน โอเพ่นออนไลน์ และ คอลัมน์ "โรคจิต" ใน นิตยสารอะเดย์ ซึ่งทั้งสามโปรเจ็คต์นี้จริงๆ เขายังให้คำนิยามไม่ได้เหมือนกันว่าจะเรียกเป็นงานเขียนแนวไหนดี

     "แนววิชาการ กึ่งๆ ปัญญาอ่อน กึ่งๆ บันเทิงมั้ง เป็นการเปิดโลกวิชาการแบบใหม่" แทนไท สรุปแบบขำๆ

     แล้วบอกอีกว่าถ้าให้หาความดีจากงานเขียนของตัวเองแล้ว เขาว่า ต้องยกให้ "ความแหวกแนว"

     "ความดีงานเขียนของผมตอนนี้ผมว่าอยู่ความแหวกแนวนะ มันเลยดูน่าสนใจ ทั้งเรื่องของภาษา แล้วเรื่องที่หยิบมาเขียน แล้วในแนวทางนี้ผมว่ามันสามารถพัมนาไปได้อีกไกลเลย ตอนนี้ผมยังอยู่ในระดับปานกลาง แต่ที่มันเด่นออกมาเพราะมันไม่เหมือนชาวบ้านเท่านั้นเอง"

     แต่อย่างไรก็ตาม ภารกิจทั้งหมดนี้ เขายังถือว่าเป็นเพียงสนามซ้อม ก่อนลงแข่งจริงเท่านั้น

     "ตอนนี้ผมถือว่าแค่ซ้อมๆ เพราะถ้าจะให้เฉียบคม เหมือนโยนกระดาษขาดเป็นสองท่อน ปาดคอคนได้คงต้องรอให้ผมเรียนจบเอกก่อน คงต้องฝึกวิชาอีกระยะหนึ่งเลย คือตอนนี้ผมมีสามอย่างที่ต้องทำ คือ หนึ่งทำวิจัย ที่ตอนนี้เรียนปริญญาโทที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สอง สอน และสามเขียนหนังสือ ซึ่งทั้งหมดเพื่อการเผยแพร่ความรู้ที่ผมมีอยู่ คือผมเป็นคนชอบถ่ายทอด ซึ่งจริงๆ แล้วถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบด้วย"

     ที่บอกว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบนั้น เขาว่าเป็นความรู้สึกที่บอกตัวเองอยู่เสมอว่าเมื่อมีโอกาส และความสามารถต้องทำอะไรให้กับสังคมบ้าง ซึ่งสำหรับเขาที่ทำได้คงเป็นการช่วยยกมาตรฐานความรู้ให้คนในสังคม

     ฉะนั้นถ้าถามว่า "ภูมิใจ" หรือ "พอใจ" ในตัวเองหรือยัง เขาตอบได้ยังไม่เต็มปาก แต่เชื่อว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว

     "คือผมเป็นคนที่มีทั้งความบ้าๆ บอๆ ขณะเดียวก็มีอะไรลึกๆ อยู่ในตัว ซึ่งผมจะไม่แบ่งภาคมันด้วย แต่จะเหนือยน้อยกว่าถ้าเราเอาสองอย่างนี้มารวมด้วยกันได้ มันคงทำให้ชีวิตสนุกอย่างมีสาระ ผมชื่นชมตัวเองในฐานะคนที่มีหลายโหมด เป็นคุณสมบัติที่ผมอยากเป็น และภูมิใจในแนวทางตอนนี้ ซึ่งคิดว่ามันยังไปได้อีกไกล" แทนไทย สรุป ให้เข้าใจตัวเขาได้ง่ายขึ้น

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : มติชน