เอ็ดวาร์ด บังเกอร์ นักเขียนจากก้นคุก

บังเกอร์ (Edward Bunker) เกิดและเติบโตในครอบครัวแตกแยก ทำให้เขาเป็นเด็กมีปัญหา เริ่มก่อเรื่องตั้งแต่อายุสามขวบ ด้วยการใช้ค้อนทุบเตาเผาขยะของเพื่อนบ้าน พออายุสี่ขวบก็จุดไฟเผาโรงรถของบ้านข้างๆ เมื่อพ่อแม่หย่าร้างกันบังเกอร์ได้ไปอยู่กับพ่อแม่อุปถัมภ์ อายุสิบห้าใช้ส้อมจิ้มตาเด็กที่เล่นด้วยกัน เข้าเรียนได้ไม่กี่เดือนก็แอบหนีโรงเรียนไปอยู่กับแก็งข้างถนน เริ่มลักเล็กขโมยน้อย เมื่อถูกจับเขาถูกส่งเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก แต่อยู่ที่นั่นได้ไม่ทันไรก็ก่อเหตุรุนแรงด้วยการใช้มีดเสียบหลังผู้คุม จากนั้นเขาถูกส่งตัวเข้าสถานกักกันซาน เควนติน (บังเกอร์ถูกบันทึกว่าเป็นผู้ต้องขังที่อายุน้อยที่สุดของสถานกักกันในเวลานั้น)
ที่สถานกักกันนี่เองที่บังเกอร์ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบคนคุก ถึงแม้บังเกอร์จะเด็กกว่านักโทษคนอื่นๆ แต่ก็บังเกอร์ฉลาดเกินคนปกติ (เขามีไอคิวสูงถึง 152) เขารู้จักซ่อนความหวาดกลัวเมื่อต้องอยู่ในวงล้อมของภาวะที่คุกรุ่นไปด้วยความรุนแรงตลอดเวลา เขาเชื่อว่าตนเองเป็นได้ทั้งเหยื่อและผู้กระทำ บางครั้งเขาต้องทำร้ายนักโทษคนอื่นเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ
บังเกอร์ถูกปล่อยตัวชั่วคราว แต่ถึงแม้จะได้รับทัณฑ์บน เขาก็ยังก่อคดีอยู่เรื่อยๆ ทั้งฉกชิงวิ่งราว ปลอมแปลงเอกสาร ข่มขู่กรรโชกทรัพย์ ทำให้ต้องเข้าออกคุกอีกเป็นว่าเล่น บังเกอร์ได้รู้จักกับคาริล เชสแมน นักเขียนที่ถูกคุมขังอยู่ที่ซาน เควนติน ช่วงที่ถูกแยกแดนขัง บังเกอร์ได้ลองเขียนเรื่องสั้นไว้หลายเรื่อง เขาได้รับแรงบันดาลใจจากเซอร์วานเตสและดอสโดเยฟสกี้ เชสแมนได้ช่วยส่งงานเขียนชิ้นแรกของบังเกอร์คือเรื่อง Cell 2455 Death Row ไปลงหนังสือ Argosy Magazine ช่วงนี้เองที่เพื่อนสนิทของบังเกอร์ ลุยซ่า วัลลิส อดีตนักแสดงภรรยาของนักสร้างภาพยนตร์ฮัล วัลลิส ได้จัดหาเครื่องพิมพ์ดีดให้บังเกอร์ไว้ใช้งาน เมื่อได้รับเครื่องพิมพ์ดีด บังเกอร์ก็เริ่มเขียนงานอย่างจริงจัง ต้นร่างงานเขียนถูกลอบนำออกจากคุก ส่งให้กับวัลลิสซึ่งนำไปให้กับเพื่อนของเธอที่สำนักพิมพ์ แต่งานชิ้นนี้ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ (ภายหลังบังเกอร์ขัดเกลาและพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ No Beast So Fierce)
ในปีค.ศ. 1956 บังเกอร์ได้รับทัณฑ์บนอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่สามารถปรับตัวใช้ชีวิตในสังคมปกติได้ เขาถูกกีดกันจากผู้คน ถึงแม้จะพยายามแยกตัวหนีปัญหาและลุยซ่า วัลลิสได้คอยช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและการติดต่อกับคนอื่นๆ กระทั่งลุยซ่า วัลลิสเสียชีวิตในปีค.ศ. 1962 บังเกอร์เคว้งอยู่พักใหญ่ เขาพยายามทำงานหลายอย่างแต่ก็จบลงด้วยการก่อคดีอีกหน เขาถูกตัดสินจำคุก 90 วัน และถูกส่งไปอยู่ที่คุมขังที่การรักษาความปลอดภัยหละหลวม เขาแอบปีนหนีออกมาได้และหลบหนีการตามจับกุมนานเกือบปี
บังเกอร์ถูกจับอีกครั้งเมื่อพยายามปล้นธนาคารแต่ล้มเหลว เขาแกล้งทำเป็นบ้าเพื่อตบตาผู้พิพากษาและก็ได้ผล เมื่อเขาถูกตัดสินว่าวิกลจริตและไม่ต้องรับโทษ หลังจากนั้นเขากลับไปก่อคดีอีกหลายหน จนเป็นหนึ่งในสิบบุคคลที่เอฟบีไอต้องการตัวมากที่สุด
ช่วงต้นทศวรรษที่เจ็ดสิบ บังเกอร์ค้ายาจนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เขาต้องเสียท่า เมื่อตำรวจติดเครื่องติดตามไว้ที่รถยนต์ของเขา โดยตำรวจต้องการตามรอยการค้ายาเสพติด แต่บังเกอร์กลับไปปล้นธนาคาร บังเกอร์ถูกตัดสินจำคุกยี่สิบปี แต่ภายหลังศาลลดโทษเหลือจำคุกห้าปี ขณะอยู่ในคุกบังเกอร์เริ่มต้นเขียนงานอีกครั้ง จนกระทั่งปีค.ศ. 1975 เขาได้รับอิสรภาพและเริ่มกลับตัวกลับใจ ทั้งๆ ที่สภาพแวดล้อมช่วงนั้นเอื้อและเย้ายวนให้กระทำความผิดเหมือนในอดีต
นวนิยายเล่มที่สอง Animal Factory ตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1977 และดัสติน ฮอฟแมนติดต่อขอซื้อนวนิยายเรื่อง No Beast So Fierce ไปดัดแปลงสร้างภาพยนตร์เรื่อง Straight Time ออกฉายในปีค.ศ. 1978 บังเกอร์ได้ร่วมเขียนบทและร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ด้วย หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีบทบาทในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องทั้ง The Long Riders, Runaway Train, Tango & Cash, Relentless, Animal Factory ซึ่งบทบาทที่สำคัญคือบท มร.บลู ในภาพยนตร์เรื่อง Reservior Dogs กำกับโดยเควนติน ทาแรนติโน
ในปีค.ศ. 1999 บังเกอร์เขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตนเองคือ Mr. Blue: Memoirs of a Renegade
เอ็ดวาร์ด บังเกอร์ เสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานเมื่อ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 2005
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.thaiwriternetwork.com/