เรื่องของเรา

เย็นย่ำค่ำคืนของวันที่ 14 ตุลาคม 2552 ที่ร้านป้าอนงค์ เลียบทางด่วนรามอินทรา คึกคักหนาตาไปด้วยผู้คนในแวดวงวรรณกรรม และบรรดาผู้คนในแวดวงการอ่านการเขียน คนทำหนังสือ และทำสื่อต่างๆ (จนทำให้ค่ำคืนที่ชื้นแฉะไปด้วยสายฝนพลันอบอุ่นขึ้นมา) ได้มารวมตัวกันในงานเปิดตัวคณะพลเมืองเรื่องสั้น เพื่อบอกกล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปของชมรมในระยะเวลาหนึ่งปี จนก่อเกิดเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นขึ้นมาหนึ่งเล่มชื่อ เรื่องของเรา (9 เรื่องสั้นชั้นดี/ดีกรีประหลาดๆ) โดย 9 นักเขียน และ 1 บรรณาธิการ ดังนี้
“คืนนั้น” เวียง-วชิระ บัวสนธิ์
“นักฟิสิกส์” ทินกร หุตางกูร
“ความเข้าใจเบื้อต้นเรื่องวัวในประเทศพม่า” ศิริวร แก้วกาญจน์
“การเคลื่อนย้ายของบางสิ่ง” วัชระ สัจจะสารสิน
“แม่” อุเทน วงศ์จันดา
“บทสัมภาษณ์ ‘บานาน่า’ แม่มด!” กันต์ธร อักษรนำ
“ฝนแมว ดอกเตอร์ซี และผู้หญิงสี่รู” สันติสุข กาญจนประกร
“ระหว่างทางที่ฝนตก” วีรพงษ์ สุทรฉัตราวัฒน์
“กรุณาเรียกผมว่าอาร์ตไดเร็กเตอร์” ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
และบรรณาธิการ อธิคม คุณาวุฒิ
โดยมีเสี้ยวจันทร์ แรมไพร และกรรณิการ์ ศรีเวชกุล เป็นผู้ดำเนินการซักถามพูดคุย
อธิคมเอ่ยเล่าถึงความเป็นมาของคณะพลเมืองเรื่องสั้นว่า ความจริงแล้วหนังสือเป็นเพียงแค่ปลายทางของกิจกรรมที่ทำมาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีเท่านั้น เริ่มต้นจากการที่มีโอกาสได้มาพบปะพูดคุยกันตามปกติอยู่แล้ว แต่แทนที่จะมาเจอกัน กินเหล้า พูดนินทาคนอื่น พี่เวียงจึงมีคำท้าทายว่า ทำไมเราไม่ลองมาทำอะไรที่สร้างสรรค์กันบ้าง เพราะกลุ่มที่มาเจอกันก็สนใจเรื่องการอ่านการเขียนอยู่แล้ว “พี่เวียงจึงท้าเขียนเรื่องสั้นคนละเรื่องต่อเดือน ดูคุณภาพแล้วมานั่งวิจารณ์กัน พอถามว่ามีใครสนใจบ้าง ก็ดูเหมือนมีคนสนใจเยอะมาก แต่สุดท้ายก็เหลือเพียง 9 คน พอผ่านมาครบหนึ่งปี พี่เวียงเลยชวนพวกท่านทั้งหลายมานั่งฟังกัน ความจริงแล้ววันนี้ไม่ได้เป็นงานเปิดตัวหรือเป็นงานแถลงข่าว แต่วันนี้เป็นงานที่อยากบอกกล่าวว่า มีคนในแวดวงวรรณกรรมจำนวนหนึ่งที่ผลิตเรื่องสั้นกันทุกเดือนเป็นระยะเวลา 1 ปี”
คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้คือพี่เวียง-วชิระ คนที่สองที่รับคำท้าคือ ทินกร หุตางกูร เป็นเพราะความอยากอ่านเรื่องสั้นของบรรณาธิการของสำนักพิมพ์สามัญชน และคิดว่าตัวเองเพียงแค่ตวัดมือซ้ายข้างที่ไม่ถนัดก็สามารถเขียนเรื่องสั้นได้สบายอยู่แล้ว ต่อมาคือศิริวร แก้วกาญจน์ และตามติดด้วยคนอื่นๆ ซึ่งทินกรบอกว่าพอได้เป็นสมาชิกของชมรม และต้องเขียนเรื่องสั้นส่งทุกเดือน ทำให้ตัวเองนึกเสียใจว่า “ไม่น่าจะเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย ปีหน้าผมคิดว่าจะลาออก ถ้าพี่เวียงอนุญาตว่าเต้ยไม่ต้องเขียนก็มานั่งกินเหล้าได้ ผมก็จะมา แต่ถ้าไม่ได้เขียนและไม่ยอมให้มาร่วมกินเหล้า ผมก็จะทำหยิ่งไม่กินก็ได้” (หัวเราะ)
พี่เวียง วชิระเล่าถึงความเป็นมาว่า “ปกติผมมานั่งกินที่ร้านนี้เป็นประจำ พวกเราเจอกันบ่อย มีด่ากันบ้าง นินทากันบ้าง พอมันบ่อยมาก เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันทำให้เรื่องดีๆ เกิดขึ้น แทนที่จะนินทา สู้เรามาทำสิ่งที่เราสนใจกันดีกว่า เพราะผมสังเกตว่า ผู้คนในวงการวรรณกรรมบ้านเราไม่ค่อยมีความเป็นมืออาชีพ เวลาผลิตต้นฉบับก็มักจะอ้างว่าไม่มีแรงบันดาลใจ ซึ่งมันไม่น่าจะเหมาะ เราจะมาเริ่มพร้อมๆ กันได้ไหม เมื่อท้าน้องนุ่งพรรคพวกเพื่อนฝูง ผมก็เลยเข้ามาร่วมด้วย แต่ตามประสาเด็กบ้านนอกมันก็ต้องมีเดิมพันติดปลายนวมกันบ้าง
“ผมคิดว่าช่วงหลังวงการวรรณกรรมบ้านเราขาดการวิพากษ์วิจารณ์ นอกจากเราได้ฝึกการเขียนแล้ว เรายังได้ฝึกการวิจารณ์ไปด้วย และผู้ที่ถูกวิจารณ์ก็ต้องสะกดคำว่า ‘มารยาท’ ให้ถูกต้องด้วย และยอมที่จะฟังโดยสงบปากสงบคำเอาไว้บ้าง อย่างเช่นที่อุเทนวิจารณ์เรื่องสั้นของวัชระ สัจจะสารสิน ที่ถึงแม้จะเป็นนักเขียนซีไรต์ว่า ‘พี่เขียนเรื่องสั้นไม่เป็น’ คือเราอยากให้มีบรรยากาศแบบนี้ ซึ่งมันเป็นการวิจารณ์ตัวบทมากกว่า เป็นวัฒนธรรมการวิจารณ์จริงๆ”
สำหรับสมาชิกในกลุ่ม พวกเขามีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรบ้าง ลองฟังดูนะครับ ทินกรบอกว่า “ตอนแรกผมรู้สึกกับพี่เวียงคนเดียว อยากอ่านงานของพี่เวียง เพราะอย่างศิริวรเขาก็อยู่ตัวอยู่แล้ว หรือกันต์ธรก็เขียนเรื่องสั้นได้ดีอยู่แล้ว แต่พอมาอยู่ในชมรม เราได้อ่านงานเขียนของน้องๆ ที่น่าสนใจ ผมดีใจที่น้องเขาตั้งใจทำงานดีๆ ออกมา สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นคือนักเขียนรุ่นใหม่ที่ขึ้นมาเขามีความตั้งใจจริง ส่วนงานของพี่เวียง ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวเองไปท้าอะไรบางอย่างที่ไม่ควรทำ ซึ่งผมไม่น่าไปท้าแกเลย”
อุเทน วงศ์จันดาบอกว่า “มันเหมือนฝันครับ เพราะผมไม่รู้จักพี่เวียงมาก่อน เคยส่งเรื่องสั้นไปให้พี่เวียงที่นิตยสารฅ.คน และพี่เวียงเป็นบรรณาธิการคนแรกที่วิจารณ์กลับมา ส่วนใหญ่หลังจากที่ส่งเรื่องสั้นไปหลายๆ ที่แล้วมักจะเงียบหายไป และไม่ได้ตีพิมพ์ แต่พี่เวียงกลับอ่านอย่างใส่ใจ แก้แม้แต่คำผิดเล็กๆ น้อยๆ มันเหมือนเป็นการซื้อใจ เพราะการมีบรรณาธิการที่ดี ก็ทำให้นักเขียนมีความฮึกเหิมที่จะเขียน พอผมไปงานช่อการะเกด พี่เวียงก็ชวนเข้ามาร่วมด้วย แต่ผมมาเสียหลักตอนช่วงหลัง เพราะงานผมยุ่งมาก เลยส่งไม่ครบ ผมได้เขียนจดหมายลาพักร้อนสามเดือน แต่ถ้าจะให้ผมออกก็ได้ แต่ผมก็อยากจะอยู่ต่อไป และปีหน้าคิดว่าจะร้อนแรงกว่านี้”
กันต์ธรบอกว่า สำหรับตัวเองเป็นความตั้งใจที่จะเข้าร่วมอยู่แล้ว มิได้หลวมตัวเข้ามาเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวของชมรม ฉะนั้นจึงทำให้ตั้งใจกับการทำงานทุกชิ้น เธอบอกว่า “การที่เราเขียนงานแล้วมีคนอ่าน มีคนคอยวิจารณ์เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะการได้รับคำวิจาณ์ หรือการที่มีคนตั้งใจอ่านงานของเรา มันทำให้เราต้องกลับไปคิดมากขึ้น และจริงจังมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าในสังคมวรรณกรรมของบ้านเรามันไม่ค่อยมีเรื่องแบบนี้”
อธิคมบอกเล่าถึงเกณฑ์การคัดเลือกสั้นในเล่มนี้ว่า “ให้สมาชิกทุกคนคัดเรื่องสั้นที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดสองเรื่อง ผมคัดจากสองเหลือหนึ่ง พอมาจัดเรียงลำดับ เรื่องที่คัดลงอาจไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดของนักเขียน” เมื่อถามถึงคุณภาพในเล่ม อธิคมบอกว่า “หนังสือเล่มนี้มีที่มาแปลกประหลาด มันเป็นกิจกรรมที่ทำมาเงียบๆ ตลอดหนึ่งปี ผมเอาต้นฉบับมารวมและส่งให้นักเขียนที่เข้าโครงการอ่าน และให้คะแนนตั้งแต่อันดับที่1 ถึงอันดับสุดท้าย ผมให้คะแนนในฐานะกรรมการ แล้วรวมคะแนนกัน ผมจะแจ้งให้สมาชิกทราบว่าคะแนนรวมแต่ละเดือนออกมาอย่างนี้ คือแต่ละเดือนเราเรียกร้องวินัย เรียกร้องแรงบันดาลใจ และเรียกร้องการอ่านการวิจารณ์ การประเมินคุณค่าทุกเดือนด้วย แล้วไล่เรียงวิจารณ์เป็นรายชิ้น คุณภาพเรื่องสั้นที่เอามารวมในหนังสือเล่มนี้ดีพอไหม คงขึ้นอยู่กับผู้อ่านทุกคน” และเขายังบอกด้วยว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปี ทำให้มองเห็นว่า ยังมีคนทำงานเรื่องสั้นภายใต้สุ้มเสียงใหม่ๆ อยู่
พี่เวียงกล่าวเสริมว่า “ผมได้อ่านทุกเรื่อง แต่ให้คมเป็นบรรณาธิการคัดเรื่องมาพิมพ์ คุณภาพโดยรวมของเล่ม ผมเข้าใจว่าคมน่าจะจงใจเลือกคุณภาพต่ำกว่าที่เป็นจริง เพราะผมว่ามีหลายเรื่องดีกว่านี้ เหตุเพราะอะไร นี่ขนาดเรื่องธรรมดามาตรฐานยังเป็นขนาดนี้ และถ้าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดมันจะเป็นยังไง” เมื่อถามถึงความคาดหวัง พี่เวียงบอกว่า “ผมคิดเพียงพื้นฐานว่า ถ้าเรามีใจรักใคร่มัน เหมือนหนุ่มจีบสาวหรือสาวจีบหนุ่ม ถ้าวรรณกรรมมีความหมายต่อชีวิตคุณ คุณก็อย่าเอาแต่พูด แต่จงแสดงออก ทำให้จริงจังหน่อย ถ้าเราสนใจ มีความรัก ก็แสดงออกอย่างจริงจังและต่อเนื่องได้ไหม เต้ย (ทินกร) เป็นบุคคลเป้าหมายสำหรับผม เพราะเขาเขียนเรื่องสั้นดีอยู่แล้ว ดีกว่านิยายเสียอีก ผมกำลังคิดต่อถึงโครงการปีหน้าว่านอกจากเขียนเรื่องสั้นแล้ว เราต้องเขียนนิยายด้วย อาจจะตั้งชื่อ ‘ชมรมนิยมนิยาย’ แต่ละเดือนเขียนเรื่องสั้น และหกเดือนมีนิยายมาส่งเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่หากเราฝึกมือให้เข้าที่ เลิกรอแรงบันดาลใจ และพอแต่ละคนเริ่มเขียนได้จนเข้าที่ก็จะดีขึ้น อย่างพวกรุ่นหนุ่มเราจะเห็นแวว เห็นความกระตือรือร้น เห็นแรงบันดาลใจ ถ้าไม่ทิ้งเขา เขาก็เอาดีทางนี้ได้ มันต้องอาศัยแรงกระตุ้นเร้าและแรงแนะนำส่งเสริม รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ด้วย”
สำหรับเรื่องวัฒนธรรมการวิจารณ์ พี่เวียงมองว่า “คือพวกเราอาจออกแบบมาดี วัฒนธรรมการรวมกลุ่มค่อนข้างรัดกุมว่าเมื่อถึงที คุณต้องสะกดคำว่า ‘สมบัติผู้ดี’ ให้เป็น คุณต้องสงบปากสงบคำ ให้คนอื่นวิจารณ์คุณ แต่คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเสรีภาพของคุณ”
แต่สำหรับการใส่สูท ผูกไท ถ่ายรูปอย่างกับเดอะก๊อดฟาเธอร์นั้น อธิคมบอกว่า “เรานึกถึงคณะสุภาพบุรุษ และเราก็อยากจะเป็นคนสุภาพบ้าง และคิดว่าการใส่สูทอาจทำให้รู้สึกสุภาพมากขึ้น พี่อาจินต์ ปัญจพรรค์เคยสอนว่า เราเป็นนักเขียน เราเป็นคนทำหนังสือ การแต่งกายต่อหน้าธารกำนัลควรให้ดูดีที่สุดเท่าที่เรามีกำลัง แต่เผอิญเรามีกำลังเยอะ” (หัวเราะ)
และก่อนจบการพูดคุย อธิคมพูดทิ้งท้ายว่า “การทำงานอย่างนี้มันจะมีความทะเยอทะยานอยู่ แต่การเอ่ยอ้างถึงมันบ่อยๆ มันจะกลายเป็นการพูดคำใหญ่คำโตเกินไป แต่การทำงานไม่ว่ามันจะถูกโลกรับรู้ จะถูกตีพิมพ์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญของนักเขียนคือการทำงาน การยืนระยะ และมีวัฒนธรรมบางอย่างที่ถูกปลูกฝังมาอย่างถูกต้อง เช่นทำงานอย่างมีวินัย ทำงานต่อเนื่อง อ่านงานของคนร่วมยุคสมัย ประเมินคุณค่า ให้มุมมองวิเคราะห์ได้ แต่คนอื่นๆ ในแวดวงวรรณกรรมจะทำอย่างไรก็แล้วแต่ เพียงแต่เราสาธิตให้ดูแล้ว ถ้าคิดว่าดีก็ให้ทำต่อไป แต่ถ้าคิดว่าไม่ดี คิดว่าเอาเวลาไปกินเหล้าหรือนั่งนินทาคนอื่น ก็เรื่องของท่าน”
ขอบคุณเรื่องราวจาก : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=512363
ขอบคุณเรื่องราวจาก : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=512363