เรื่องการศึกษาความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษและความร่วมมือในการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL
9. สิรินารถ เทียนสันเทียะ (2552) นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา ได้ทำการวิจัยเรื่องการศึกษาความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษและความร่วมมือในการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 30 คน ผลการวิจัยพบว่าหลังการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL ความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความร่วมมือในการทำงานกลุ่มของกลุ่มตัวอย่างหลังสอนสูงกว่าก่อนสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และคะแนนความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL ไม่แตกต่างจากเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70 เมื่อกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
สิรินารถ เทียนสันเทียะ (2552). การศึกษาความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษและความร่วมมือในการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสูตรและการสอน) นครราชสีมา : สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา. อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ : ผศ.ดร.สายสุนีย์ เติมสินสุข (ประธานกรรมการ) ผศ.ดร.ธนวัฒน์ ธิติธนานันท์ (กรรมการ).
การวิจัยเชิงทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ หลังการ
สอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL 2) ศึกษาความร่วมมือในการทำงานกลุ่มหลังการสอนด้วยการแก้ปัญหา
แบบ IDEAL 4) เปรียบเทียบความร่วมมือในการทำงานกลุ่ม ก่อนและหลังการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL และ 5) เปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษหลังการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL กับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนโนนไทยคุรุอุปถัมภ์ อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษหลัก อ 33101 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 จำนวนนักเรียน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 20 ชั่วโมง แบบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษจำนวน 30 ข้อ และแบบสังเกตความร่วมมือในการทำงานกลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (t-test)
ผลการวิจัยพบว่า
1. นักเรียนได้คะแนนความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษเฉลี่ย หลังสอนเท่ากับ 21.77 คิดเป็นร้อยละ 72.56 ของคะแนนเต็ม และนักเรียนมีคะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยเท่ากับ 9.97 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 33.22 ของคะแนนเต็ม
2. หลังการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL นักเรียนให้ความร่วมมือในการทำงานกลุ่มในระดับดีมาก จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 56.67 ของนักเรียนทั้งหมด นักเรียนให้ความร่วมมือในการทำงานกลุ่มในระดับดี จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 43.33 ของนักเรียนทั้งหมด และไม่มีนักเรียนให้ความร่วมมือในการทำงานกลุ่มระดับปานกลาง และระดับน้อย
3. ความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL สูงกว่าก่อนสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. ความร่วมมือในการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL สูงกว่าก่อนสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
5. คะแนนความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการสอนด้วยการแก้ปัญหาแบบ IDEAL ไม่แตกต่างจากเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70 เมื่อกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01