Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เมื่อสำนักพิมพ์ขนาดเล็กต้องกลายเป็นหนูถีบจักรในธุรกิจหนังสือ

 

 
ปี 2554 นี้ ผู้อาวุโสในวงการฯหลายคนบอกตรงกันว่า คนทำธุรกิจสำนักพิมพ์ต้องมีวิญญาณของนักธุรกิจมากยิ่งขึ้น….เข้มข้นมากขึ้น
 
 
อย่างที่ผมเล่าสู่กันฟังไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า แวดวงธุรกิจหนังสือในปี 2554 นี้ ผู้อาวุโสในวงการฯหลายคนบอกตรงกันว่า คนทำธุรกิจสำนักพิมพ์ต้องมีวิญญาณของนักธุรกิจมากยิ่งขึ้น….เข้มข้นมากขึ้น
 
 
อย่าไปเชื่อน้ำมนต์-น้ำลายให้มากมายนักว่า ทำสำนักพิมพ์เพื่ออุดมการณ์และเพื่ออุดมคติแล้วจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยในยุทธจักรธุรกิจหนังสือ….นี่…พูดกันแบบตรงไปตรงมานะ เอาเฉพาะคนทำมีอาชีพเดียวในชีวิตคือ อาชีพธุรกิจหนังสือเท่านั้น!!
 
 
ถ้าประเภทบ้านรวย-มีธุรกิจประเภทอื่นคอยหมุนเงินสดเข้ามาสนับสนุน-มีหน้าร้านขายบะหมี่,ข้าวมันไก่,ข้าวหน้าเป็ด ฯลฯแล้วมาบอกว่า…ทำสำนักพิมพ์ไม่ใช่เรื่องยากอยู่รอดได้สบายมาก เราต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า….คนเหล่านั้นไม่ใช่นักธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะนำมานั่งคุยกันในเพลานี้!
 
 
คนธุรกิจสำนักพิมพ์ในสายตาผมคือ คนทำมีอาชีพในการทำหนังสือขายและรอรายได้จากการขายหนังสือ….เอาชีวิตรอด เลี้ยงลูกน้องมาได้ก็เพราะเงินที่ได้จากการขายหนังสือเพียวๆ….คนแบบนี้ถ้ารอดมาได้ในรอบปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มจะก้าวไปข้างหน้าได้ในปีนี้ ผมต้องบอกว่า คุณเป็นคนทำหนังสือมืออาชีพครับ
 
 
อย่างที่บอกไปแล้วว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อปีเก่าปีใหม่ ผมไปคารวะสวัสดีปีใหม่ท่านผู้อาวุโสหลายต่อหลายท่านและขณะเดียวกันเพื่อนฝูงน้องนุ่งในแวดวงธุรกิจหนังสือก็แวะเวียนมาหาที่บ้านเพื่อพบปะแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดกันตามประสาญาติน้ำหมึก
 
ในหลายคนที่เป็นรุ่นน้องที่ธุรกิจสำนักพิมพ์ประเภท….ทำหนังสืออย่างเดียวเพื่อเป็นเสบียงเลี้ยงตัวและครอบครัว ลูกน้อง บริวาร…มีอยู่คนหนึ่งน่าสนใจและน่าจะหยิบมาเป็นประเด็นพูดคุยกันตรงนี้
 
 
เรา-อย่าไปรู้ชื่อเสียงเรียงนามของเขาและบริษัทของเขาเลยครับ…เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาเอง แต่ที่ผมบอกว่าน่าสนใจ เพราะว่า เขาสองคนผัวเมีย สร้างเนื้อสร้างตัวมาจากศูนย์บนถนนหนังสือ…ค่อยๆ ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งมาจนมีสำนักพิมพ์ผลิตหนังสือออกมาป้อนตลาดในระดับที่ออกหนังสือใหม่เดือนละ 6-7 ปก ติดต่อกันมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมานี้
 
ยอดขายหนังสืออยู่ในระดับที่น่าพอใจ (ตามตัวเลขทางบัญชี) แต่ว่าเงินสดจริงๆ ที่รับเข้ามาค่อนข้างจะต้องใช้ระดับเงินหมุน จนน่าเวียนหัว…ยกตัวอย่างง่ายๆ พิมพ์หนังสือพอคเก็ตบุ๊คหนึ่งเล่มได้เครดิตจากโรงพิมพ์มาเป็นเวลา 3 เดือน… 
 
 
ในระหว่างนั้นก็ต้องควักเงินจ่ายค่าลิขสิทธิ์นักเขียน,ค่าจัดหน้าอาร์ตเวิร์ค,ค่าออกแบบปก,เงินเดือนพนักงานไปพลางๆ ก่อน หลังจากส่งหนังสือเข้าสายส่ง ซึ่งจะต้องถูกหักค่าเปอร์เซ็นต์ในการจัดจำหน่าย 40% จากราคาปกหนังสือ แล้วรอไป 3 เดือนเพื่อให้รอบการจ่ายเงินจากสายส่งกลับมา จังหวะที่ไหนจากสายส่งที่ส่งหนังสือเข้าไปวางจำหน่ายในร้านไหลกลับมาก็จะถูกไหลผ่านไปเป็นค่ากระดาษ ค่าโรงพิมพ์ ทันที ถ้ามีเงินเหลืออยู่บ้างก็อย่าคิดว่าเป็นกำไร เพราะยังมีค่าใช้จ่ายในรอบต่อไปนอนรออยู่ เพราะฉะนั้นก็ต้องเร่งพิมพ์หนังสือชุดใหม่ออกไปวางจำหน่ายอีก เพื่อให้เงินมันสามารถหมุนเข้ามาเป็นรอบๆ 
 
 
หนังสือที่ผลิตไปวางจำหน่ายในเดือนมกราคม จะสามารถเก็บเงินจากสายส่งได้ก็ในราวเดือนมีนาคม-เมษายน สำหรับรอบการจำหน่ายรอบแรก…จำนวนเงินก็ขึ้นอยู่ที่ว่าสามารถขายได้มากเท่าไรในสามเดือนนั้น…ซึ่งคุณมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาในการทำงานผลิต
 
 
แต่ในเดือนมกราคมซึ่งหนังสือคุณเพิ่งวางตลาด….ระหว่างนั้นคุณก็ต้องผลิตหนังสือเพื่อเตรียมวางจำหน่ายในรอบเดือนกุมภาพันธ์ต่อไป ซึ่งเงินในรอบนี้ก็จะกลับมาในราวเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ฯลฯ
 
รอบที่หมุนวนสลับหว่างกันอย่างนี้…ถ้าบริหารจัดการไม่ดีก็คว่ำ!….ได้เงินมาใช้ผิดประเภทก็คว่ำ!….ซื้อต้นฉบับค่าลิขสิทธิ์แพงก็คว่ำ!! ฯลฯ
 
 
ครับ-โอกาสคว่ำสูงมาก…เท่าที่ผมนั่งจิบน้ำชาเพียวๆ ฟังเรื่องราวของนักธุรกิจหนังสือรุ่นน้อง ผมได้ยินแล้วก็รู้สึกเห็นใจ เพราะหนังสือในรอบปีที่ผ่านมาของเขาสร้างเม็ดเงินได้นับสิบล้านบาท….แต่เป็นสิบล้านบาทที่ตีตามมูลค่าสินค้าที่อยู่ในร้านและจำหน่ายไปบ้างบางส่วน ไม่ใช่เป็นเงินสดที่นับหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว….
 
 
เรียกว่า ตอนนี้หนังสือส่วนใหญ่ยังอยู่ในร้านหนังสือบานเบอะกระจายอยู่ตามสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ….กลับคืนมาเมื่อไรพร้อมกันรับรองว่า….โกดังขนาดพื้นที่ 1 ไร่ ไม่พอเก็บ!!
 
 
แต่ที่เด็ดสะระตี่กว่านั้นคือทางสายส่งก็เรียกเขาเข้าไปพบเพื่อให้ทำยอดรายได้ให้มากกว่าสิบล้านในปีนี้ อย่างน้อย สิบห้าล้านบาท… นั่นหมายความว่า คุณต้องลงทุนอีกมหาศาลเพื่อให้ได้สินค้าที่รวมมูลค่าแล้วถึงเป้าหมายขนาดนั้น
 และที่สำคัญ….ความโหดร้ายของธุรกิจหนังสือในเมืองไทยคือ….สายส่งสามารถคืนสินค้าได้ 100 % เต็ม!!
 
หนังสือที่ผลิตออกมา…พิมพ์ออกมา ขายได้ไม่ได้…เรื่องของสำนักพิมพ์ สายส่งไม่เกี่ยว ความเสี่ยงตรงนี้ทางสำนักพิมพ์ต้องแบกรับเอาไว้เอง…ตั้งแต่การคัดเลือกเรื่อง,การเก็งตลาดความนิยมของคนอ่าน,การลงทุนทุกขั้นตอน….ฯลฯ
 
 
เพราะฉะนั้น ใครไปเต้นตามก็ตายเร็ว….ถ้าไม่เต้นตามก็ตายช้า…เพราะสายส่งอาจจะไม่เอาใจใส่ดูแลสินค้าของคุณที่วางอยู่ในร้าน….
 
 
นี่คือสภาวะหนูถีบจักรของสำนักพิมพ์ขนาดเล็กที่หยุดไม่ได้….หยุดก็ตาย…วิ่งก็ตาย….ผมยังไม่เห็นทางรอดทางออก….แต่ถ้าไม่โลภ…ไม่คิดการใหญ่….ยังพอมีลุ้นครับว่าจะเดินช้าๆ อย่างไร ให้ตายช้าลง….????
 
 
ผมเห็นหน้าเห็นตาของนักธุรกิจรุ่นน้องแล้วที่ผมแตกปลาย-หงอกก่อนวัยแล้วรู้สึก…สะท้อนใจกับระบบโครงสร้างทางธุรกิจหนังสือยุคนี้ที่เหี้ยมเกรียม….เพราะสายส่งส่วนใหญ่ก็มีแผนกสำนักพิมพ์ของตัวเองเหมือนกัน…ถ้าแนวไหนขายดี มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ผลิตออกมาแข่งแบ่งรายได้ในตลาด 
 
กลุ่มที่ลอยตัวในสายตาของผมคือ กลุ่มนักเขียนบางกลุ่มที่ขายต้นฉบับเท่านั้นแหละครับ….เพราะขายไปแล้วรับเงินแล้วก็แล้วกันไป….สำนักพิมพ์ต่างหากต้องไปลุ้นอยู่กับอนาคต เหมือนคนขับรถบรรทุกสินค้าแล่นฝ่าไปในสายหมอก…จะถึงปลายทางหรือลงเหวข้างทางก็ลุ้นกันเอาเอง วังเวงจริงๆ…..เฮ้อ…!!
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ