Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เปิดใจ’ธนาพล อิ๋วสกุล’ แห่ง’ฟ้าเดียวกัน’

 

 
13 เมษายน 2549 14:21 น.
31 มีนาคม 2549 ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการหนังสือฟ้าเดียวกัน แถลงเปิดใจว่าทำไม "ผมไม่กลัวคุณ" ในกรณีถูกห้ามขาย จ่าย แจกและยึดหนังสือ โดยคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
——————-
ฟ้าเดียวกันเป็นวารสารรายสามเดือนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชน และในแง่วิชาความรู้ ทำมาสามปี ฉบับล่าสุดคือสถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย ประเด็นคือการเปลี่ยนแปลงในทางสังคมการเมืองไทยที่มองผ่านสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง
ปัญหาเกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อวันที่ 23 มีนาคม การชุมนุมของกลุ่มคาราวานคนจน ที่สวนจตุจักร ได้หยิบยกประเด็นการสัมภาษณ์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ในหัวข้อคือ "การมีสถาบันกษัตริย์ถูกกว่าประธานาธิบดี" หากฟังหัวข้อจะเห็นว่าเป็นการวิจารณ์สไตล์สุลักษณ์ที่เป็น Royalist อีกแบบหนึ่ง
คือวิจารณ์ด้วยความจงรักภักดี แต่อาจไม่เหมือนกับแนวอื่นๆที่เป็นการชื่นชมอย่างเดียว คือเชื่อว่าการที่สถาบันกษัตริย์จะอยู่ได้ในระยะยาวต้องเปิดให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ให้มีการปรับตัวเพื่อให้อยู่ได้ต่อไปในอนาคต
วารสารดังกล่าว ออกมาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2548 ผ่านมาเกือบ 4 เดือนจึงมีผู้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ครั้งแรกสุดคือมีการเอาไปเผาบนเวทีคาราวานคนจน และล่าสุดบอกว่าจะมีการแจ้งความจับในวันพุธที่ 24 มีนาคม และประเด็นนี้เป็นข่าวในคืนวันอังคารที่ 23 มีนาคม
คำสั่งใบสุดท้ายที่แนบไปคือคำสั่งของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งว่าห้ามการขาย จ่ายแจกและยึดสิ่งพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ลงวันที่ 28 มีนาคม และส่งมาถึงในวันที่ 29 มีนาคม ช่วงบ่ายตัวแทนคาราวานคนจนก็ไปแจ้งความที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำเนินคดีกับทางสุลักษณ์และฟ้าเดียวกัน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม คาราวานคนจนได้บุกไปที่ คม ชัด ลึก และมีการใช้ประเด็นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมทั้งได้ออกข่าวว่าจะมีการล้อมบ้านอาจารย์สุลักษณ์และฟ้าเดียวกัน ในวันที่ 31 มีนาคม แต่ก็ไม่เกิดอะไร
ส่วนผลกระทบจากคำสั่งนี้ ล่าสุด (เวลา14.40 น.ของวันที่ 31 มีนาคม-ก่อนการแถลงข่าวประมาณ20นาที) คือตำรวจได้ไปที่ร้านนายอินทร์ ท่าพระจันทร์ และยึดหนังสือฟ้าเดียวกันไป 10เล่ม
คำสั่งดังกล่าวใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 9 ทางฟ้าเดียวกันจึงทำตามขั้นตอนตามพ.ร.บ.ซึ่งมีหมวดว่าด้วยการอุทธรณ์ให้ทำใน 7 วันก็ได้อุทธรณ์และทำไปแล้ว ขณะนี้รอคำสั่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะเจ้าพนักงานการพิมพ์กรุงเทพฯ จะให้ทำต่ออย่างไร
ตรงนี้อาศัยมาตรา 10 ของพ.ร.บ.การพิมพ์อุทธรณ์คำสั่งว่าเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการออกคำสั่งแต่ผู้เดียวไม่เปิดโอกาสให้ทางข้าพเจ้าได้ชี้แจงข้อเท็จจริง โต้แย้งหรือแสดงหลักฐานอย่างเพียงพอว่ามีข้อความอันใดขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีงาม
ตรงนี้อุทธรณ์แล้วจะรออีก 30 วัน ว่ามีคำตอบอย่างไร
อย่างที่สอง ขอยืนยันว่าการใช้ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 เป็นกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 โดยเฉพาะมาตราที่ 39 โดยจุดยืนคือเราไม่สามารถยอมรับกฎหมายการพิมพ์ตัวนี้ได้ถ้าทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่ยกเลิกคำสั่งจะฟ้องศาลปกครองเพราะเป็นคำสั่งที่มิชอบ
อย่างที่สาม ขอใช้สิทธิในฐานะประชาชนไทยและอย่างที่ปัจจุบันพยายามพูดถึงเรื่องอารยะขัดขืน จึงยืนยันสิทธิในการเผยแพร่ แต่เนื่องจากตอนนี้หนังสือหมดจากการพิมพ์ครั้งแรก 6000 เล่มแล้ว จึงจะพิมพ์ซ้ำอีกไม่ต่ำกว่า 6000 เล่ม หากมีการแจ้งความก็มีความยินดีเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายทุกกระบวนการ
 
สื่อมวลชน : สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้โยงเข้ากับสถานการณ์ทางการเมืองหรือไม่
เป็นที่สังเกตได้ เพราะหนังสือออกมา 4 เดือนแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดๆเกิดขึ้นเลย แต่ตอนนี้มีการใช้การอ้างอิงเบื้องสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือในการดิสเครดิตกันไปมา จะบอกว่าเราอาจเป็นเหยื่อก็ได้ ข้อสังเกตส่วนตัวมีว่า คนที่มีบทบาทหลักในการต่อต้านนายกฯหรือให้ความเห็นไม่ไปในทิศทางเดียวกับนายกฯ ก็จะมีมาตรการแบบนี้ออกมา
อย่างเช่นอาจารย์สุรพล นิติไกรพจน์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีคนบุกไปโกนหัวประท้วง อาจารย์อมรา พงศาพิชญ์ คณบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มีคนบุกไปประท้วงว่าไม่มาตามกระบวนการประชาธิปไตย 
ฟ้าเดียวกันเป็นหนังสือที่เล็กมากแต่เป้าหมายน่าจะอยู่ที่อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ในฐานะที่เป็นปัญญาชนคนหนึ่งที่ได้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ และวิจารณ์นายกฯอย่างรุนแรง คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งในการใช้สถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ตัวเอง ในบทสัมภาษณ์อาจารย์สุลักษณ์ก็มีประเด็นไว้ว่า ในหลวงเองไม่ทรงโปรดที่ใช้ท่านมาเป็นเครื่องมือในแง่ของการให้ร้ายต่อกัน
 
สื่อมวลชน: เนื้อหาตรงไหนที่ระบุว่าหมิ่นเบื้องสูงบ้างไม่มีใครพูดเรื่องเนื้อหาเลย คาราวานคนจนก็ไม่ได้พูดว่าหมิ่นตรงไหน ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติยิ่งแล้วใหญ่ เราไม่คิดว่าเราผิดอะไรเลยแล้วจะให้ยอมรับคำสั่งอย่างนี้ได้อย่างไร
อย่างที่บอกคือ จะฟ้องกลับ ฟ้องทั้งในแง่ของสิทธิอันชอบธรรมและฟ้องร้องค่าเสียหายด้วย ในฐานะที่เราลงทุนลงแรงกับหนังสือแล้วถูกอำนาจไม่ชอบธรรมมาจัดการ
คำว่าพาดพิง โดยสัตย์จริง การพูดถึงก็คือพาดพิงทั้งนั้น…แต่ในมิติไหน เราไม่สามารถพูดได้ในทุกกรณี เราพูดได้ภายใต้กฎหมายแต่หมายความว่าให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คือฟ้องมาว่าหมิ่นตรงไหน อย่างไร ก็ยินดีสู้ทางศาล
แต่กับอำนาจไม่เป็นธรรมแบบผมมีคำสั่งปิดผมก็ปิด ปัจจุบันกลายเป็นอย่างนี้โดยอาศัยอำนาจตามมาตร 9 ของพ.ร.บ.การพิมพ์ คิดว่าในทางกฎหมายและทางรัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่สามารถยอมรับคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลได้ และอยากทำให้กรณีนี้เป็นกรณีที่ชัดเจนว่า ผมไม่กลัวคุณ
ในแง่ทางกฎหมายรับฟ้องแล้วรับฟ้องแบบไหน มี 2 ประเด็นคือคำสั่งตำรวจออกมาโดยไม่มีคนไปร้องเรียนอะไร กับอีกแบบคือมีคนไปฟ้องแจ้งความซึ่งคาราวานคนจนได้ทำ อย่างไรก็ตามตอนนี้
ไม่ทราบว่ากระบวนการเป็นอย่างไร เพราะในกระบวนการฟ้องทางการเมืองอย่างที่ทราบคือรับฟ้องกันเป็นรายวัน แต่ที่มีผลแน่ๆ มาจากคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผมเสียหายแล้ว ผมจะใช้สิทธิของผู้เสียหายดำเนินการกับรัฐมนตรีมหาดไทยเพราะเป็นคนที่รักษาการตามกฎหมาย ส่วนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นเพียงเจ้าพนักงานการพิมพ์กรุงเทพฯ ตอนนี้ก็มีทนายหลายท่านให้คำปรึกษาอยู่
ในทางกฎหมายผมไม่รู้ว่าผิดตรงไหน ถ้าบอกประโยคมาอย่างกรณี คม ชัด ลึก ที่ชี้เลยว่าคำนี้หมิ่นก็แย้งกัน ในกรณีฟ้าเดียวกันไม่ได้บอก
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาว่าหมิ่นหรืออยู่ตรงไหน เพราะโดยกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจและคาราวานคนจนไม่มีการกล่าวถึง ประเด็นอยู่ที่คำสั่งตำรวจไม่ชอบธรรม ส่วนจำเลยที่จะฟ้องร้องค่าเสียหายนั้น จำเลยแรกคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่สองก็คือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะมันกระทบธุรกิจด้วยกับการที่จะต้องไปขอหนังสือคืนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น จากที่ยึดไป 10เล่มจากร้านนายอินทร์ วันนี้
มาตรการต่อไปก็คือ พยายามท้าทายเพื่อยืนยันสิทธิอันชอบธรรมของเรา เราอาจจะนัดวันไปขายโดยเปิดเผยที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ เรื่องบางเรื่องอาจจะขัดใจคนบางคน ที่คุ้นเคยกับการชื่นชมโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ แต่เรื่องสิทธิ หลักการ หลักฐาน ตรรกะในการเขียนการอธิบายเรายืนยันว่าเรายินดีขึ้นศาล ยินดีที่จะถูกตรวจสอบตามกระบวนการที่ถูกต้อง ไม่ใช่มาตรการแบบที่ใช้กับคมชัดลึก ใช้คนเพื่อไปยัดปากให้คมชัดลึกต้องขอพระราชทานอภัยโทษโดยไม่เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย รับไม่ได้ และคิดว่าเรื่องบางเรื่องถ้าเราไม่สู้ในหลักการ สิทธิเสรีภาพในประเด็นนี้ของเราก็จะลดลงเรื่อย ๆ
โดยหลักการในการสู้กับอำนาจไม่ชอบธรรมต้องบอกให้ชัดว่าผมไม่กลัวคุณ อันที่สองหนังสือเล่มใหม่ เราจะออกจะทำคำสั่งนี้ให้ตลกโดยเอามาล้อเลย
 
สื่อมวลชน: กลัวเรื่องความปลอดภัยหรือไม่
ภายใต้ระบอบที่เรียกว่าทักษิณ ขนาดคุณสมชาย นีละไพจิตร ยังหายได้ คือคงไม่สามารถบอกว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าเราทำตามสิทธิที่มีอยู่ของเรา
 
ที่มา : เว็บไซต์ prachatai.com