เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์: เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?

ผมกำลังมองหา ‘จุดสมดุลของชีวิต’
ใต้เตียงก็แล้ว บนหิ้งก็แล้ว ในตู้กับข้าวก็แล้ว ในห้องเก็บของก็แล้ว ใต้ฝาชักโครกก็แล้ว ก็ยังไม่เจอสักที หรือมันไม่ได้อยู่แถวนี้? อ่ะ ลองตะโกนเรียกดูสักที เผื่อบางทีมันอาจยอมออกมา
“จุดสมดุลเอ้ย! อยู่ไหนออกมานี่เร้ว” – ไม่สำเร็จแฮะ มันไม่ยอมเสด็จออกมา
ไม่นานมานี้ ผู้ชายหน้าเหี่ยวๆ หัวหงอกๆ ผมหยิกๆ คนหนึ่งบอกกับผมว่า เขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยกิเลสสามอย่าง คือ แรงปรารถนาแห่งความรัก การแสวงหาความรู้ และความเวทนาอันเหลือจะทนได้ต่อความทุกข์ยากของมวลมนุษย์
ผมเกากบาลสามแกรกเอาแค่พอรังแค่ไม่ร่วง ก่อนกรองออกมาเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ ว่า หนึ่ง คือ ความรัก สอง คือ ความรู้ และ สาม คือ ความเสียสละ (เพื่อผู้อื่น)
หากยังไม่บอกชื่อของเขา ณ บรรทัดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงบรรทัดไหน แถ่น แทน แท้น!! ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ “เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์”!!!
หลังจากตื่นเต้นตกอกตกใจกันพองามแล้วเรามาฟังพี่เขาพูดกันต่อ เขาให้เหตุผลว่าเขาแสวงหา ‘ความรัก’ เพราะความรักนำความปีติ ชื่นมื่นมาสู่ชีวิต
ส่วน ‘ความรู้’ นั้น ช่วยปลดเปลื้องความอ้างว้างที่น่ากลัวในสำนึกอันสั่นคลอนของผู้คน ซึ่งมองดูห้วงเหวที่มืดมนอยู่บนโลก – ไม่ใช่ภาษาผม ภาษาพี่เบอร์ทรันด์เค้าล่ะ
และอันดับสุดท้าย, เขาบอกว่ามันเป็น อาณาจักรลึกลับเล็กๆ ของสวรรค์ที่นักบุญและกวีใฝ่ฝันหา ผมขออนุญาตเดาต่อว่า มันเป็นโลกอุดมคติของนักบุญและกวีอย่างพี่เค้า–โลกที่ไร้มนุษย์ผู้ทุกข์ทน
หลังจากที่ฟังพี่เค้าพร่ำบรรยายมาหลายบรรทัด ก็ต้องจุกหัวอกกับวรรคทองที่สรุปเหตุผลว่าทำไมไฉนเหตุใดพี่แกจึงต้องดำรงชีพเพื่อสามสิ่งนั้น
ความรักและความรู้เท่าที่หามาได้นั้นนำไปสู่สรวงสวรรค์ แต่ความเวทนาต่อความทุกข์ยากของมวลมนุษย์กลับดึงให้ข้าพเจ้าตีนติดดินมากขึ้น
เด็ดขาดใช่มั้ยล่ะครับ?
ด้วยความที่เป็นคนหัวอ่อนเพราะไม่ค่อยได้โปะเจล ผมจึงค่อนข้างโอนอ่อนผ่อนไปตามวรรคทองของพี่เบอร์ทรันด์อยู่ไม่น้อย หลังจากลองนั่งไตร่ตรองดูด้วยสมองน้อยขด ผมก็พยักหน้าเอาคางกระทบราวนม จริงด้วย, ความรักและความรู้นั้นเป็นความสุขสองอย่างของชีวิต
ความรัก นำมาซึ่งความเบิกบานเมื่อได้รักใคร และเมื่อมีใครรักเรา
ความรู้ นำมาซึ่งความสำราญใจ เมื่อได้เข้าใจบางอย่างกระจ่างขึ้น
และทั้งสองสิ่งนั้น ค่อนข้างเป็นความสุขเพื่อตนเองพอดู แน่นอน – ความรักย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่เราผูกพันด้วยบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่ใช่ “คนอื่น+คนไกล” เป็นแน่
ดังนั้นกิเลสข้อที่สามของพี่เขา จึงช่วยฉุดรั้งไม่ให้มีความสุขจนลืมเพื่อนมนุษย์คนอื่นที่ยังมีความทุกข์ยากลำบากอยู่มากมายข้างๆ กาย ข้างๆ หู ข้างๆ สองรูลูกกะตา
เมื่อมีความสุขแล้ว ว่างๆ ถ้าได้คิดถึงคนอื่นบ้างคงดี
แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนี้, เราจำเป็นต้องแบ่งสันปันส่วน ‘เวลา’ ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้กับสามสิ่งสำคัญในชีวิต
คนรัก (ที่หมายความครอบ+คลุมไปถึงคนใกล้ชิดทุกคน), ตัวเอง, และสังคม
คนที่มีความสุขจริง น่าจะเป็นผู้ที่สามารถหา ‘จุดสมดุลของชีวิต’ เจอ
มีคนจำนวนมากที่ต้องเลิกรากับคนรัก เพราะไม่สามารถสละเวลา ‘ส่วนตัว’ ให้กับเธอหรือเขาได้เท่าที่อีกฝ่ายต้องการ
มีคนจำนวนมากกว่า ที่คบหาผู้คนมากหน้าหลายตา จนไม่มีเวลาคุยกับตัวเอง
และมีคนจำนวนมากที่สุด ที่เอาแต่คุยกับตัวเองและคนรัก จนไม่มีเวลาหันมองคนอื่นที่หายใจอยู่ในโลกใบเดียวกัน
แต่ ‘จุดสมดุลของชีวิต’ คงหาไม่ได้ใต้ตู้โต๊ะตั่งเตียง (ผมลองหามาแล้ว)
หากแต่ต้องการความพิถีพิถันในการจัดสรรเวลาอันมีค่าทุกนาทีอย่างดีที่สุด เพื่อให้ ‘สิ่งสำคัญ’ ทั้งสามได้รับเวลาและการเอาใจใส่ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน
เพราะเมื่อใดที่ข้างไหนมากกว่า อีกข้างย่อมร้องเรียกเสียงระงม
ผมคิดว่า พี่เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ พูดถูก คนเรามีชีวิตอยู่เพื่อสามสิ่งสำคัญนั้นแล แต่ผมขอแอบเติม ‘สิ่งสำคัญ’ อีกอย่างห้อยท้ายเอาไว้เป็นลำดับที่สี่
คนเราควรมีชีวิตอยู่เพื่อหา ‘จุดสมดุลของชีวิต’ ด้วย.
โดย นิ้วกลม http://www.onopen.com/