อ่านคน-ไทย/เทศ รู้จัก”คนอื่น” เพื่อรู้จัก”ตนเอง”
ธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะก็มนุษย์สยาม มีจิตสำนึกไม่แม่นในเรื่องของอดีต คนสยามจึงมักไม่เติบโตเต็มที่ และมักติดยึดกับความกึ่งดิบกึ่งดีและพิธีกรรมมากเกินไป"
ข้อความนี้ ส. ศิวรักษ์ บอกไว้ท้ายเรื่องที่เขียนถึง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ในหนังสือชื่ออ่านคน-ไทย (ลัดดา วิวัฒน์สุระเวช และนิพนธ์ แจ่มดวง : บรรณาธิการ มีคำนำโดย สายชล สัตยานุรักษ์ พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2548)
ลักษณะ "กึ่งดิบกึ่งดี" คือรู้ไม่จริง แต่อวดรู้ แล้วติดยึดกับลักษณะกึ่งดิบกึ่งดีคือ "พิธีกรรม" นั้นไว้ยกตนข่มคนอื่นที่รู้ไม่เท่ารู้ไม่ทัน หรือรู้ต่างออกไป เช่น ดูถูกชาวมลายูปัตตานีว่าเป็น "แขก" ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่คนไทยแท้ จึงไม่ควรเรียกร้อง หรือไม่ควรอาศัยอยู่บนแผ่นดินไทย ทั้งๆ ที่คนพูดหรือมีทรรศนะอย่างนี้ล้วนเป็น "เจ๊ก" บ้าง เป็น "ลาว" บ้าง บางทีก็ "เจ๊กปนลาว" และส่วนมากเป็น "ลูกผสม" เกือบทั้งหมด
คน "กึ่งดิบกึ่งดี" พวกนี้เองติดยึด "พิธีกรรม" ที่ประวัติศาสตร์ไทยสร้างไว้ผิดๆว่าพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย มีอำนาจแผ่ไปถึงแหลมมลายู ครอบคลุมดินแดนปัตตานี ฉะนั้น "แขก" มลายูปัตตานีไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไร เพราะเป็นผู้มาอาศัยแผ่นดินของพ่อขุนฯ
แต่ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีแล้ว ดินแดนสุโขทัยสุดเขตแค่เมืองพระบาง(นครสวรรค์) ใต้ลงจากนั้นเป็นดินแดนของรัฐอื่นๆ เช่น ละโว้-อโยธยา สุพรรณภูมิ, นครศรีธรรมราช ต่อจากนั้นเป็นดินแดนของรัฐปัตตานี ที่เป็นรัฐอิสระมาก่อนกรุงสุโขทัยราว 1,000 ปี แต่กรุงเทพฯเพิ่งส่งกองทัพไปยึดมาเมื่อรัชกาลที่ 1 จึงตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม แล้วถูกผนวกเป็นดินแดนของประเทศไทย เรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันชัดเจน หมอประเวศ วะสี พยายามอธิบายหลายครั้งแล้ว แต่พวก "กึ่งดิบกึ่งดี" มีจิตสำนึกไม่แม่นในเรื่องของอดีต ทำให้(สมอง)ไม่เติบโตเต็มที่ เลยติดยึดความรู้ผิดๆ ที่เรียกพิธีกรรม
ความรู้อดีต เชื่อมโยงปัจจุบัน สร้างสรรค์อนาคต เป็นความรู้ภูมิสังคมวัฒนธรรมที่ต้องแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้แม่นยำ ถึงจะเจริญเติบโตเต็มที่อย่างไม่หลงทางข้างๆ คูๆ กึ่งดิบกึ่งดี วิธีรู้อดีตง่ายๆ ได้รสชาติวิธีหนึ่งคือประวัติบุคคล ทั้งคนในอดีตและคนร่วมสมัย ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศให้รู้จัก "คนอื่น" จะได้รู้จัก "ตนเอง" เรื่องอย่างนี้ ส. ศิวรักษ์ หรือ "อาจารย์สุลักษณ์" ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม แล้วทำอย่างต่อเนื่องมายาวนานมาก ดังอาจารย์อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขียนคำนำไว้ตอนหนึ่ง ของหนังสืออ่านคน-เทศ ของ ส. ศิวรักษ์ (ไพโรจน์ จะเชิญรัมย์ : บรรณาธิการ) แล้วพิมพ์ไว้ในปกหลังเล่มนี้ว่า
"อาจารย์สุลักษณ์เป็นผู้ที่เขียนประวัติบุคคลมากที่สุดในสังคมไทยยุคสมัยใหม่นี้ นอกจากเหตุผลของความเหมาะสมที่ท่านรู้จักผู้คนอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งแล้ว การเลือกที่จะเขียนประวัติบุคคลของท่านยังเป็นกระบวนทางการเมืองที่สำคัญยิ่งของท่านและสังคมไทยอีกโสดหนึ่งด้วย
"พื้นฐานความคิดของอาจารย์สุลักษณ์ที่ทำให้อาจารย์สามารถที่จะเชื่อมชีวิตคนธรรมดาเข้ากับประวัติศาสตร์ความเปลี่ยนแปลงของสังคม ก็เพราะอาจารย์มีความเชื่อที่มั่นคงอยู่ประการหนึ่ง ได้แก่ความสำนึกของ "ความเป็นไทย" และพิจารณา "ความเป็นไทย" เปรียบเทียบกับ "ความเป็นเทศ" อยู่ตลอดเวลา แม้ว่า "ความเป็นไทย" และ "ความเป็นเทศ" นั้น จะมีความเปลี่ยนแปลงในสาระ แต่กรอบการมองเช่นนี้ ยังเป็นฐานที่สำคัญยิ่งในการเชื่อมต่อคนในอดีตให้เป็นคนในประวัติศาสตร์ การจัดคู่ของความแตกต่างระหว่างไทยกับเทศนั้นท่านก็ถือว่า "ความเป็นไทย" ไม่ได้หมายถึงคุณงามความดี และ "ความเป็นต่างประเทศ" ก็ไม่ได้หมายถึงความเลวเพียงอย่างเดียว แต่น่าที่จะเลือกสรรส่วนดีของทั้งสองฝ่ายมาเป็นเครื่องมือในการจรรโลงโลกและสังคมไทย"
แต่ที่สำคัญนักคือข้อความตอนท้ายคำนำ อาจารย์อรรถจักร์ จบลงด้วยข้อความว่า
"ในวันนี้ ในวันที่ผู้นำประเทศยึดเอาหนังสือประเภท How to เป็นเสมือนคัมภีร์ทางศาสนธรรมและยึดเอาความถูกต้องทางกฎหมายและตนเองเสียยิ่งกว่าจริยธรรมแล้ว ยิ่งจำเป็นที่สังคมจะต้องช่วยกันสร้างนักอุดมคติและอุดมคติสำหรับสังคมไทยและสังคมโลก"
อ่านคน-เทศ ของ ส. ศิวรักษ์ มีมากกว่าครึ่งร้อย จำแนกได้ดังนี้
พระและผู้นำทางศาสนา 1.ทะไลลามะ 2.การมาปะที่ 17 3.พระถังซำจั๋ง 4.ติช
นัท ฮันห์ แห่งเวียดนาม 5.พระเรวัตตธัมมะ มหาเถระ 6.พระปัญญาวัฑโฒ 7.แม่ชีวาปี 8.สีตารา แมรี่ บรัทเนล 9.เจเกียม ตรุงปา 10.ภราดาคณะเซนต์คาเบรียล 11.ฟิลิป กาโปล 12.มาลาละเสเกร่า 13.เควเก้อบางคน
ชนชั้นสูง 14.พระมารดาทะไลลามะ 15.พระพันปีหลวงของอังกฤษ 16.พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 17.พระนางเอลิซะเบธ 18.เจ้านางร่มขาว 19.เจ้าช้าง ณ ยางห้วย
รัฐบุรุษ 20.ทอมัส โมร์ 21.แกลดสโตน 22.เชอชิล 23.ชิเซโร
นักคิด นักเขียน 24.ลอร์ดแอกตัน 25.เคน โซโร วีว่า 26.นิรัท เชาธุรี
27.เบียตริช เวบบ์ 28.ยอช เคนนัน 29.เซอร์ยอช สก๊อต 30.ยอช ออแวล 31.เวอยิเนีย วูล์ฟ 32.สตีเฟน สเปนเดอร์ 33.อัลดัส ฮักชเล่ย์ 34.อานันทะกุมาร สวามี 35.เอคบัล อาหมัด 36.เอดวาด คอนเซ่ 37.เอดเวิด ซาอิด 38.ไอไซอะ เบอลิน 39.อรุณธตี รอย 40.ออสการ์ ไวลด์ 41.เฮนรี่ เฟาเลอร์ 42.อลัน กินสเบิร์ก
มิตร-สหาย 43.กุสดุร 44.เกลน เพช 45.จูเลีย ชิง 46.หมอซัง เกี้ยว หยู 47.ติซิอาโน เตอซานี่ 48.ดอน สแวเร่อ 49.บ้อบ บอบิลิน 50.บิล เกตนีย์ 51.บิล คลอสเนอร์ 52.ยาขอบ ฟอน อุกซคัล 53.ยูจีน ลาง 54.ว. อานันท์ 55.วิล ออกซโตบี้ 56.วอลเดน เบลโล 57.โอลิเว่อ วอลเตอร์ 58.มกตา ลูบิส 59.จอห์น เลน
อ่านคน-เทศ เท่านั้นยังไม่พอ ต้องอ่านคน-ไทย ด้วยจึงจะครบ "อาจารย์สุลักษณ์" ทำหน้าที่มาให้อ่านเจริญสติปัญญาอีก ดังนี้
พระ 1.พระภัทรมุนี(อิ๋น สัตยาภรณ์) 2.พระธรรมปราโมกข์ เจ้าอาวาสวัดธาตุทองรูปแรก 3.พระพุทธวรญาณ จังหวัดลพบุรี 4.พระใบฎีกาสุทัศน์ วชิรญาโณ 5.ภิกษุณีวรมัย กบิลสิงห์
เจ้านายและเชื้อพระวงศ์ 6.สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต 7.พระองค์เจ้าจุไรรัตนศิริมาลย์ 8.ม.จ.สิบพันพารสเสนอ โสณกุล 9.ม.จ. จงจิตรถนอม ดิศกุล 10.ม.จ.มารยาตรกัญญา ดิศกุล 11.ม.จ.วิเศษศักดิ์ ชยางกูร 12.ม.จ.จันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี 13.ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล 14.ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร 15.ท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล 16.หม่อมศรีพรหมา กฤดากร 17.หม่อมประยูร โสณกุล 18.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ 19.ม.ล.ปุ๋ย ชัยนาม
สามัญชน 20.ทศ พันธุมเสน 21.สิริ สันตะบุตร 22.จิตร ภูมิศักดิ์ 23.ชวลิต ยงใจยุทธ 24.จรรยา เสนีวงศ์ ณ อยุธยา 25.จรัส วันทนทวี 26.นิธิ เอียวศรีวงศ์ 27.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ 28.ครูสาวชาวสยาม : สมศรี สุกุมลนันทน์, ภัทรศรี อนุมานราชธน, เครือมาศ วุฒิการณ์ 29.ชาญ สุวรรณวิภัช
อาจารย์สายชล สัตยานุรักษ์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขียนคำนำชี้ให้เห็นว่า "อาจารย์สุลักษณ์สืบทอดจารีตการเขียนประวัติบุคคลที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวางรากฐานไว้ แต่มีข้อแตกต่างตรงที่ "ความเป็นเจ้า" ทำให้สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์เกี่ยวกับ คนดีที่ข้าพเจ้ารู้จัก เท่านั้น ส่วนอาจารย์สุลักษณ์ไม่ยอมละเว้น คนเลวที่ข้าพเจ้ารู้จัก แต่อย่างใด โดยเฉพาะ "คนเลว" ที่อาจารย์สุลักษณ์เห็นว่าบทบาทหรือการกระทำของเขาเป็นอันตรายต่อสังคม
"แม้เมื่อเขียนถึงบุคคลที่อาจารย์สุลักษณ์เห็นว่าเป็นคนดี ก็ยังต้องพยายามเขียนถึงความบกพร่องบางอย่างของบุคคลนั้นเท่าที่จะสามารถค้นพบได้ โดยที่อาจารย์สุลักษณ์ยอมรับว่า "คบกับใคร คอยจับผิดคนๆ นั้นอยู่ด้วยตลอดเวลา แม้จนพระเจ้าและเจ้านาย ครูอาจารย์ที่ข้าพเจ้าเคารพบูชา ข้าพเจ้าก็พยายามมองหาความผิดและจุดอ่อนของท่านนั้นๆ" ทั้งนี้ อาจารย์สุลักษณ์ให้เหตุผลว่า "ยิ่งรู้ข้อผิดพลาดของท่าน ทำให้เห็นว่าท่านนั้นๆ น่ารักขึ้น เป็นมนุษย์ปุถุชนมากขึ้น""
ดังนั้นอาจารย์สายชลจึงสรุปว่า เสน่ห์สำคัญในงานเขียนประเภทชีวประวัติของอาจารย์
สุลักษณ์จึงอยู่ที่การเล่าถึงบุคคลทั้งหลายอย่างกล้าหาญ จริงใจ ตรงไปตรงมา ตาม "ความเป็นจริง" ที่อาจารย์สุลักษณ์มองเห็น ไม่พยายามปิดบังอำพรางหรือบิดเบือนเพื่อจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือความไม่พึงพอใจของผู้ใด แม้แต่ของผู้กุมอำนาจรัฐและของมหาชน
ความตรงไปตรงมาของอาจารย์สุลักษณ์เป็นอย่างไร? ขอให้อ่านดูได้ในข้อเขียนถึงอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ และอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ยิ่งอ่านประวัติจิตร ภูมิศักดิ์ ก็จะยิ่งเห็น "โฉมหน้าศักดินาจิตร ภูมิศักดิ์" ที่ยังมีชีวิตในโลกปัจจุบันเต็มไปหมด
อาจารย์สายชล สัตยานุรักษ์ พาดพิงถึง "ผู้กุมอำนาจรัฐ" แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร? เลยต้องเดาเอาจากสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวหนังสือของอาจารย์อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ว่าคือ "ผู้นำประเทศยึดเอาหนังสือประเภท How to เป็นเสมือนคัมภีร์ทางศาสนธรรม"
ผู้สื่อข่าวพิเศษ
ที่มา: คอลัมน์ ภูมิสังคมวัฒนธรรม เซคชั่น ประชาชื่น หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 548 หน้า 34