Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

หัวใจที่บินเร็วกว่าเสียง–บินหลา สันกาลาคีรี

 

 
…แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
 
บนฟ้า, นกน้อยตัวหนึ่งบินร่อนวนอยู่ ผมเคลื่อนสายตามองตาม เห็นพระอาทิตย์อัสดงสาดลำแสงเรืองรอง…นกน้อยสีขาวตัวนั้นบินผ่านภูเขายามอาบอยู่ในแสงรัศมีสีทองทั่วฟากฟ้าของยามเย็น
 
หากเปรียบได้เป็นดังนกตัวนั้น ที่บินอยู่บนท้องฟ้า สูงสักประมาณพันห้าร้อยฟิต มองลงมาเห็นแม่น้ำระยับอยู่ในแสงแดด สูดลมหายใจทุกครั้งได้คล่องที่สุด โดยเฉพาะเมื่อบินเดี่ยว อยู่เหนือมนุษย์ที่เดินเป็นมดปลวกอยู่ข้างล่าง
 
ช่างเป็นความงามที่ผมได้แต่เพียงซึมซับเอาเท่านั้น ทว่าก็ช่วยยกจิตวิญญาณของผู้เฝ้ามองขึ้นสู่เบื้องสูง ด้วยเจตจำนงและเป้าประสงค์อันลี้ลับที่ผมไม่มีวันรู้
 
ชายหนุ่มร่างท้วมคนหนึ่งเดินผ่าน เขาอยู่ในชุดว่ายน้ำ-กางเกงตัวเดียว นักเขียนรางวัลซีไรต์ปี 2548 จากรวมเรื่องสั้น “เจ้าหงิญ” …บินหลา สันกาลาคีรี หรือ วุฒิชาติ ชุ่มสนิท ออกกำลังด้วยการว่ายน้ำอยู่ในสระสีน้ำเงิน
 
เขาเป็นอีกหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ดำมุดชีวิตลงไปในงานเขียนอย่างทุ่มเท-หนักหน่วง ดั้นด้นเดินทางไปบนถนนนักเขียน หนทางอันยาวไกลนับพันๆ คำ ฝ่าขวากหนามบนเส้นทางสายน้ำหมึก ข้ามเทือกเขาสูงแห่งสติปัญญา ข้ามธารน้ำเชี่ยวกราดบางห้วงอารมณ์ ให้แดดลมฝนและความหนาวเหน็บเคี่ยวกรำข้อเขียน กว่าจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางของตน
 
เขายิ้มให้กับตัวเอง ก่อนหันหน้ามาเอ่ยกับผม “นักเขียนมีความสุขตรงที่เขาเขียนหนังสือ แล้วหนังสือออกมาเสร็จเป็นเล่ม ส่วนหลังจากนั้นยิ่งมีผู้อ่านก็มีความสุข ได้เจอผู้อ่านก็มีความสุข”
 
ผมยังยืนอยู่ที่เดิม สายตายังคงจับจ้องฟากฟ้า จันทร์เสี้ยวในฟ้าเริ่มจรัสแสง
 
พลบค่ำเช่นนี้ นกน้อยสีขาวตัวนั้นคงกลับถึงรัง…
 
อะไรสักอย่าง ดลบันดาลให้ผมบันทึกบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้…ภายในบ้านที่แสนอบอุ่นใจ
 
 
 
เมื่อได้ยินชื่อบินหลาครั้งใด มักจะนึกถึง…ผู้ชายร่างท้วมปั่นจักรยาน ในหนังสือ ‘หลังอาน’ อย่างแจ่มชัด ภาพเหล่านี้มีผลต่อคุณอย่างไร
 
คือภาพนี่เป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับตัวผม ผมเองเวลาผมอ่านงานใครหรือว่าดูใครแสดงอะไรก็ตาม บางทีเราก็ติดภาพ-ภาพนั้นของเขาอยู่ ผมคิดว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ปัญหา …แต่ว่าจริงๆ มนุษย์มีหลายภาพ คือจะบอกว่าภาพนั้นไม่จริงก็ไม่ใช่ ภาพนั้นก็จริง แต่จริงในส่วนหนึ่ง ถ้าติดตามงานของผมหรือติดตามงานใครไปก็ตาม จะเห็นว่ามนุษย์คนนั้นหรือนักเขียนคนนั้นหรือนักแสดง เขาจะแสดงภาพออกออกมาเรื่อยๆ ในที่สุดคุณจะเจอภาพมากกว่า 1 ภาพ
 
แต่ถ้าเกิดเจอภาพเดียวก็ไม่แปลกอะไร ถ้าประทับใจภาพเดียวก็เป็นเรื่องที่ศิลปินหรือนักเขียนต้องยอมรับ คุณยังไม่สามารถที่จะแสดงภาพอื่นให้เขาจดจำได้
 
ที่เห็นเด่นชัด สัมผัสได้ตอนนี้สำหรับตัวคุณ รู้สึกจะผอมลง ขณะเดียวกันในบทบาททางสังคมคือ นักเขียนซีไรต์ และเปลี่ยนมาขับรถยนต์แทนการปั่นจักรยาน ใช่ไหม
 
อันแรก ผมควรจะผอมลงอยู่แล้ว ไม่ว่าผมจะเขียนอะไรก็ตาม เพราะน้ำหนักร้อยกว่ากิโลกรัมมันอ้วนเกินไป…มันไม่เกี่ยวกับงานเขียนผมหรอก
 
อันที่สอง ผมเป็นนักเขียนซีไรต์ ก็เป็นตราประทับอันหนึ่ง ซึ่งเป็นตราประทับที่ทำให้ผมต้องสังวรที่จะทำงาน
 
ส่วนภาพที่สาม ที่คุณบอกว่าไม่ได้ถีบจักรยานแล้วมาขับรถยนต์ ผมว่าเป็นภาพที่คลาดเคลื่อน คือตอนที่ผมถีบจักรยานที่เชียงใหม่ ผมก็ขับรถยนต์นะครับ คือผมขายบ้านขายรถจากกรุงเทพฯ ขึ้นเชียงใหม่ โดยมีจักรยานอยู่คันเดียว แต่พอไม่นานจากนั้นมีเพื่อนบางคนเขาเห็นว่าผมไม่มีรถ ก็ยกรถให้ผมใช้
 
การที่ผมถีบจักรยานจากเชียงใหม่ลงมากรุงเทพฯ ไม่ใช่เพราะผมไม่มีรถยนต์ขับลงมานะครับ แต่เป็นเพราะผมอยากถีบลงมา ก็เหมือนกัน ทุกวันนี้ผมยังใช้จักรยานอยู่ในชีวิตประจำวัน การถีบทางไกลของผมก็ยังเป็น 2 ปีครั้งเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าในช่วงทริปหลังๆ ผมไม่ได้นำเรื่องที่ผมถีบมาเขียน เพราะว่าผมยังไม่มีอะไรใหม่ที่จะอธิบายสิ่งที่ผมได้รับขณะถีบจักรยาน ผมได้อธิบายไปในหลังอานจนผมพอใจ แล้วมันเพียงพอแล้วในห้วงเวลาหนึ่ง
 
ในห้วงเวลาต่อมา ถ้าเกิดผมมีอะไรใหม่ๆ เกิดความคิดใหม่-เกิดความรู้สึกใหม่ ผมอาจจะเขียน แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่ผมไม่เขียน คือการที่ผมไม่ได้ถีบ… 3 ทริปหลังผมถีบระยะทางและเวลานานกว่าหลังอานทุกทริป
 
สิ่งที่คุณกระทำอยู่ ยังคงกระทำอยู่เช่นเคย เพียงแต่ไม่ได้นำมาตีแผ่สะท้อนให้คนอื่นรู้ใช่ไหม
 
ใช่ เพราะผมไม่เห็นว่าผมมีอะไรใหม่ เพียงพอที่จะอธิบายแค่นั้นเอง
 
ไม่อาจใช้คำว่า เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน…
 
ไม่เชิง ผมไม่ได้คิดว่าเวลาเปลี่ยนคนจะไม่เปลี่ยนนะ ผมคิดว่าคนเราเปลี่ยนได้ แต่ควรจะไตร่ตรองในการที่จะเปลี่ยน และไม่เปลี่ยนเพราะว่าสิ่งแวดล้อมภายนอก แต่เปลี่ยนเพราะข้างในใจตัวเอง
 
นับแต่วันที่ได้รับรางวัลซีไรต์ คุณได้มองย้อนกลับไปคิดถึงวันวานหรือมองไปถึงวันข้างหน้าต่อไป
 
ผมไม่แน่ใจ ไม่ค่อยได้คิดเปรียบเทียบเท่าไหร่ แต่ถามว่าผมมองไปข้างหน้าไหม แน่นอน ผมมองไปข้างหน้า เพราะว่ารางวัลนี้ก็เป็นรางวัลของหนังสือที่ผมเขียนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลังจาก “เจ้าหงิญ” ผมยังมีงานอีกบางชิ้น ขณะนี้ผมก็ยังทำค้างอยู่บ้างชิ้น ผมก็มองไปข้างหน้าว่าเมื่อไหร่มันจะเสร็จ เมื่อไหร่ผมจะเริ่มงานชุดใหม่ได้อีก
 
ภาพวันแรกของการหัดเขียน…เป็นความทรงจำที่คิดถึงได้เสมอ
 
ใช่ ผมชอบคิดถึงวันเก่าๆ ส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นความสุขของชีวิต มันไม่ใช่ว่านั่งคิดเพราะได้รับรางวัลหรือไม่ได้รางวัล คือมันเหมือนกับเด็กที่เคยอยู่ในทุ่ง วันหนึ่งเรานึกถึงทุ่งที่เราเคยวิ่งเล่น ผมก็เหมือนกัน บางทีผมเบื่อๆ ผมเขียนอะไรไม่ออก ผมก็นึกถึงวันที่ผมเคยนั่งหลังขดหลังแข็ง-เคยดีอกดีใจกับการได้ลงตีพิมพ์ครั้งแรกๆ อาจจะคิดอย่างนั้นเพื่ออาจจะเป็นแรงกระตุ้นให้ตัวเองมุ่งที่จะทำ
 
เห็นภาพตัวเองที่เริ่มต้นบนถนนนักเขียน…
 
คือทุกคนมันมีกลวิธีในการดูแลจิตใจตัวเอง ยกตัวอย่างว่าเช่น เวลาที่คุณกำลังแย่ๆ กับแฟน คุณมีทางเลือก 2 ทางว่าคุณจะแก้ปัญหายังไง คุณอาจจะนึกภาพวันที่คุณมีความสุขกับแฟนคุณ แล้วคุณจะเห็นทางของคุณว่า คุณจะจัดการกับปัญหาชีวิตยังไง หมายความว่าคุณเลือกได้ใช่ไหม…ว่าจะต้องแยกจากกัน อะไรอย่างนี้ หรือทำให้คุณเกิดพลังใจที่จะเดินหน้าต่อที่จะประคองปัญหาหรือจะแก้ปัญหา
 
การเป็นนักเขียนก็คล้ายๆ กัน คือว่าการหวนคิดถึงวันเก่าๆ ที่มันมีความสุขหรือว่าภาพของความพยายามมันชดเชยความเหนื่อยในใจคุณ ทำให้คุณทำงานต่อ มีความสุขกับการทำงาน
 
บนเส้นทางนักเขียน คุณต้องยอมแลกหรือสละอะไรระหว่างทางบ้าง
 
ผมไม่เรียกว่ายอมสละนะ ผมว่ามันธรรมดา
 
คือว่า คุณไม่ได้ในสิ่งที่หลายคนเขามี-เขาได้ แต่คุณไม่ได้สละอะไรนะ เพราะคุณไปได้ในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ได้-คนอื่นเขาไม่มี คุณแค่เลือกต่างหาก แค่เลือกว่าคุณอยากได้อะไรและคุณไม่อยากได้อะไร เช่น ความมั่นคงทางการเงิน ถ้าคุณเป็นนักเขียนโอกาสที่คุณจะมีความมั่นคงทางการเงินเป็นเรื่องที่เสี่ยง เป็นเรื่องที่จะต้องมีองค์ประกอบเยอะ ไม่เหมือนกับการมีเงินเดือน ซึ่งจะทำให้คุณคำนวณอนาคตได้ง่ายกว่า ว่าคุณจะมีรายได้เท่าไหร่ คุณจะปันส่วนเก็บส่วนได้ยังไง ภายใน 5-10 ปี คุณจะประเมินได้ว่าคุณจะมีรายได้ มีส่วนอะไรตรงไหน
 
แต่การเป็นนักเขียนคุณไม่สามารถเป็นหนี้เงินผ่อน เพราะว่าไม่รู้จะมีเงินผ่อนหรือเปล่า เป็นต้น มันไม่เหมือนกับการมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง ฉะนั้นคุณต้องสูญเสียตรงนี้ไป
 
คุณยอมนั่งหลังขดหลังแข็ง อดมื้อกินมื้อ จนกระทั่งทำงานเขียนสำเร็จ สิ่งเหล่านั้นมันมีคำตอบให้กับใจอย่างไร
 
ถ้าถามว่าอาชีพนักเขียนยากจนไหม หรืออาชีพนักเขียนลำบากไหม ผมว่ามีส่วนนะครับ แต่ผมมองว่า…เยอะนะครับอาชีพในเมืองไทยที่ลำบากและยากจนไม่น้อยกว่านักเขียนหรอกนะครับ มันเป็นเรื่องที่เลือกจะทำมากกว่า…ผมมองว่าเลือกจะทำ ไม่มีใครมาบังคับให้คุณลำบาก-ไม่มีใครมาบังคับให้คุณยากจนนะครับ
 
อาชีพอื่น คุณต้องทำเพราะว่าคุณไม่มีทางเลือก อาชีพนักเขียนเป็นอาชีพที่คุณเลือก เพราะฉะนั้นผมมองว่า…แน่นอนนักเขียนไม่ได้รวยแน่ แต่สิ่งที่นักเขียนได้ มันคุ้มค่าต่อความลำบากของคุณนะครับ อย่างเช่น สมมติผมไม่ได้รางวัลนี้ ผมคงทำงานของผมต่อไป แต่การได้รางวัลมันเป็นความสุข
 
เป็นความสุข ที่หาเสพได้จริง…
 
ความสุขมันหาเสพได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ชีวิตผมมีความสุขหลายๆ อย่างนะครับ การได้รับรางวัลเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
 
อาชีพนักเขียน มันไม่มั่นคงทางการเงินมาโดยตลอดเลยหรือ
 
ถึงวันนี้ก็ยังไม่มั่นคง (ตอบเร็วน้ำเสียงหนักแน่น) ผมว่าเป็นทางที่เลือก ยอมรับว่าถ้ามันเป็นในขณะนั้นนะ เราจะอยู่กับมันได้ไหม คำว่าไม่มั่นคง ไม่ได้แปลว่าเลือกไม่ได้หรืออยู่ไม่ได้
 
อยู่ที่ว่า…คุณจะจัดการอย่างไรมากกว่า
 
ใช่ คุณจะเข้าใจมันยังไง
 
ตลอดระยะเวลาของการทำงานหนัก บากบั่นจนประสบความสำเร็จ ถ้าจะยึดรางวัลซีไรต์เป็นบรรทัดฐาน (ได้ทั้งรางวัลและชื่อเสียง) สิ่งนี้มันคุ้มค่ากับความพยายามที่วิริยะอุตสาหะมาไหม
 
ซีไรต์ไม่ใช่บรรทัดฐาน อันแรกเลยนะครับ ผมว่าการที่นักเขียนจะได้รับการยอมรับ มันพูดยากนะว่าอะไรคือบรรทัดฐาน
 
บรรทัดฐานแรก อาจจะอยู่ในตัวนักเขียนเอง อยู่ที่ความพอใจในตัวเอง
 
บรรทัดฐานที่สอง อาจจะมีอยู่ในตัวผู้อ่าน ซึ่งสะท้อนออกมาจากการตอบรับงานเขียน จากยอดจำหน่าย
 
บรรทัดฐานที่สาม อาจจะจากมุมมองของนักวิจารณ์ จากการสะท้อนผ่านคนที่อ่านอย่างละเอียด คนที่ทำการบ้าน
 
มันมีหลายบรรทัดฐาน ที่จะทำให้ประเมินว่าเราอยู่ตรงไหน หรือจะเรียกตัวเองว่าเราประสบความสำเร็จหรือเปล่า ผมไม่คิดว่าซีไรต์เป็น…อย่างน้อยเนี่ยนะ ซีไรต์เป็นบรรทัดฐานเฉพาะเล่ม ไม่ใช่บรรทัดฐานของชีวิตนักเขียนทั้งชีวิต
 
แต่เป็นนักเขียนซีไรต์ ก็ดีกว่าไม่ได้เป็นนักเขียนซีไรต์ใช่ไหม
 
สิ่งที่นักเขียนต้องการประการหนึ่งคือ การยอมรับนะครับ รางวัลเป็นแรงกระตุ้นที่มีคุณค่าต่อนักเขียนเสมอ แต่ถ้าลงในรายละเอียด
 
คือรางวัลนั้นเป็นรางวัลอะไรด้วย โดยเฉพาะจากมือไหนด้วย มาจากมือที่ได้รับการยอมรับหรือเปล่า สำหรับผม การได้ซีไรต์ถือว่าเป็นเกียรติมาก และแน่นอนผมมีความสุขกับการได้รับรางวัลซีไรต์นะครับ แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อไปทั้งหมดว่า นี่คือเป้าหมาย
 
ไม่ใช่เป้าหมายตั้งแต่แรกเริ่มของการเป็นนักเขียน
 
ใช่…จนวันนี้ก็ยังไม่ใช่
 
เป้าหมายอาชีพนักเขียนที่คุณวางไว้เป็นอย่างไร
 
เวลาผมไปพูดกับนักเขียน หรือคนที่อยากจะเป็นนักเขียนนะครับ ผมจะบอกว่าการที่ไม่มีเป้าหมาย มันทำให้คุณอยู่บนถนนนักเขียนได้ไม่นานนะครับ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมีเป้าหมาย แต่เป้าหมายเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล คุณอยากจะอธิบายก็ได้ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร หรือคุณไม่จำเป็นต้องอธิบายก็ได้ เพราะว่าเป้าหมายของคุณอาจจะไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะคิดในแบบเดียวกับคุณหรือเปล่า อะไรอย่างนี้
 
สำหรับผม…ผมไม่นิยม-ผมไม่ต้องการที่จะอธิบายเป้าหมายส่วนตัวของผมกับใครนะครับ แต่ถ้าถามว่ามีเป้าหมายไหม ผมมีนะครับ ตอนนี้ผมยังไม่ถึงเป้าหมาย
 
ไม่สามารถบอกให้คนหมู่มวลทราบได้
 
อันแรกคือ…มันเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าผมว่า ถึงบอกก็ไม่ได้มีคุณค่าต่อคนอื่นมากนัก ที่สำคัญถ้าเมื่อไหร่ที่คุณถึงเป้าหมายคุณอาจจะพูดก็ได้-คุณอาจจะอยากพูดก็ได้นะครับ พูดง่ายๆ คือผมเจียมตัว ผมไม่กล้าที่จะ…เหมือนกับที่ผมขี่จักรยานจากเชียงใหม่ลงกรุงเทพฯ ผมรู้เป้าหมายของผมคือกรุงเทพฯ แต่ผมจะบอกตัวเองเป็นระยะๆ ว่าเป้าหมายอยู่ที่ลำพูนนะ เป้าหมายอยู่ที่ลำปางนะ เป้าหมายอยู่ที่ตากนะ คือทยอยเพิ่มเป้าหมายไปเรื่อยๆ เพื่อจะค่อยๆ ทำมันไป
 
คุณมองมรรคผล…เรื่องชื่อเสียงเงินทอง ในระยะสั้น-ยาวไว้อย่างไร
 
ผมเริ่มเขียนหนังสือมา 20 ปี ผมเป็นนักเขียนอาชีพมา 10 กว่าปี สิ่งที่ผมได้รับในวันนี้ ถ้ามองในแง่หนึ่ง ผมมองว่าเป็นการ…เป็นความโชคดีของผมที่ได้รับนะครับ ผมมองในอีกแง่ผมก็มองเห็นว่า มันเป็นความชอบธรรมอันหนึ่งที่ผมก็มีสิทธิจะได้รับ เพราะว่ามันเป็นความชอบธรรมที่นักเขียนคนหนึ่งทำงานมาเป็นระยะเวลายาวนาน เบิกบานใจกับการทำงานของตัวเอง
 
ผมหมายถึงว่ารางวัลได้หลังจากวันที่ผมทำงาน-รางวัลได้หลังจากที่ผมมีผลงาน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าผมเข้าใจในเรื่องของการทำงาน ผมเข้าใจในเรื่องแสดงผลงานให้คนอื่นเห็น หลังจากนั้นเป็นเรื่องของคนอื่นแล้วนะครับ เมื่อเขาตอบสนองต่อผลงาน ผมควรจะยินดีนะครับ
 
การเขียนหนังสือระยะนี้ น่าจะรื่นรมย์กว่าก่อนนี้ไหม
 
การเขียนรื่นรมย์หรือไม่รื่นรมย์ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดออก-คิดไม่ออกด้วย เวลาคิดออกก็รื่นรมย์ดี แต่เวลาคิดไม่ออกก็ไม่รื่นรมย์ …เป็นปกติ
 
เรียกได้ว่า…กระดาษเปล่า ยังมีขวากหนามรออยู่ข้างหน้า
 
ใช่ บางทีที่คุณคิดไม่ออก คุณก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมัน
 
นักเขียนสามารถการันตีตัวเองได้ไหม ว่าจะเขียนงานได้อย่างที่คิดไว้เสมอ
 
ผมไม่ทราบของคนอื่นนะครับ แต่สำหรับผม…ผมไม่มีอะไรการันตีนะครับ เป็นเรื่องของความคิดที่แจ่มชัดในแต่ละเรื่อง แต่ละเรื่องไป บางเรื่องที่มันไม่แจ่มชัดเลย มันไม่มีทางการันตีออกมาได้
 
ด้วยอายุไขที่เพิ่มขึ้น เป็นข้อจำกัดหนึ่ง-ของการทำงาน ‘สด’ หรือไม่
 
ผมเชื่อว่าความสดมีอยู่เสมอในตัวของคนทำงานนะ คือคุณแก่ขนาดไหน คุณก็ทำงานสดได้ ถ้าคุณทำงานแบบสด หรือจะทำแบบเนือยๆ ไปก็ได้
 
ความหนุ่มมีผลต่อความคิดต่อการตัดสินใจจริงอย่างที่คุณว่านะครับ ทำให้คุณไม่ชะงักในการตัดสินใจ แต่ว่า…ผมเห็นหลายท่านเขียนเรื่องสั้นที่เขียนตอนอายุมากๆ ก็สด…หลายเรื่อง ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับวิธีการทำงานของแต่ละคนมากกว่า
 
ขึ้นอยู่กับว่าเลือกวิธีการทำงานอย่างไร
 
ใช่…ไม่ใช่วัย คือความสดหลายครั้งเกิดจากที่คุณตกตะกอนในชีวิตแล้วนะ พอคุณตกตะกอนแล้ว ผมว่าคุณก็ทำงานสดได้ คุณนิ่งแล้ว-ถ้าคุณคิดว่าคุณรู้แจ้ง-รู้ทะลุแล้ว คุณเห็นภาพชัดเจนแล้ว คุณตวัดทีเดียวมันก็สดนะ
 
ความสด…ไม่ได้เกิดเฉพาะในวัยหนุ่ม-สาวเท่านั้น
 
วัยหนุ่ม…ผมว่าเป็นวัยของการพลุกพล่านของการเรียนรู้ คุณได้ความสดของคุณอีกแบบหนึ่ง แต่หลังจากที่คุณตกตะกอนแล้ว มันจะมีความสดอีกแบบหนึ่ง
 
นักเขียนท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า…สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาในข้อเขียนแต่ละวัยจะแตกต่างกัน เช่น วัยหนุ่ม จะมีความก้าวร้าว / วัยกลางคน ข้อเขียนจะมีความสุขุม / วัยชรา ข้อเขียนจะมีความเมตตา
 
ผมว่านั่นคืออธิบายมนุษย์มากว่านะ มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า หมายถึงว่ามันไม่ใช่งานเขียนหรอก โดยเฉลี่ยของมนุษย์ถูกไหม
 
มนุษย์ตอนวัยรุ่น ฮึกหาญ ก้าวร้าว
 
พอวัยกลางคน เป็นอย่างที่คุณว่า…
 
พอวัยชรา เป็นอย่างที่คุณว่า…
 
แต่ว่า มันอาจจะสะท้อนในงานเขียนได้ เพราะนักเขียนคือมนุษย์คนหนึ่ง หรือถ้านักเขียนคนนั้นเข้าใจชีวิตชัดเจน ผมว่าเขาก็ยังสามารถที่จะทำแบบไหนก็ได้ เขาไม่จำเป็นก้าวร้าวในวัยหนุ่มก็ได้นะครับ พอๆ กับที่เขาอาจจะใช้ความก้าวร้าวในวัยชราก็ได้
 
ผมเห็นเวลาที่เราพูดถึงงานของคนอย่าง เฮมมิงเวย์ (Ernest Hemingway) เราไม่ค่อยได้แยกนะว่าเฮมมิงเวย์วัยหนุ่ม หรือเฮมมิงเวย์วัยชรา นี่ไง…งานเฮใมิงเวย์ ก้าวร้าว สด ดิบ อะไรอย่างนี้ เราพูดอย่างนั้นด้วยซ้ำ โดยไม่ได้วงเล็บนะว่าเฮมมิงเวย์เขียนตอนอายุเท่าไหร่
 
โดยความเชื่อลึกๆ คุณคิดว่า…ความสดและความสุขุมมีได้ในวัยใดก็ตาม
 
มีได้ฮะ โดยธรรมชาติมันเป็นอย่างที่คุณว่า แต่โดยการฝึกหรือโดยการฝืนหรือโดยการ ‘หัด’ ผมเชื่อทำให้มีได้
 
คุณเติบโต-สั่งสม-เพาะบ่ม-พัฒนาการต่อเนื่องจากสิ่งใด
 
ผมไม่แน่ใจ…หลายอย่างมีส่วนเสริม ตั้งแต่ผมอ่านหนังสือวัยเด็ก การได้เจอเพื่อนดีๆ การได้อยู่ในหน่วยงานที่มีความสดเรื่องความคิด อย่างช่วงที่ผมอยู่ไปยาลใหญ่ การได้เป็นนักข่าว การได้เจอผู้คนจำนวนมาก หลายๆ อย่างมาก …การเดินทาง ทุกส่วนมีผลต่อผม
 
ถ้าไม่ได้เดินทางท่องเที่ยว…จะทำให้ขาดส่วนผสมของการเป็นนักเขียน
 
ผมว่านักเขียน…ถ้าคุณจะเขียนหนังสือเรื่อง-สองเรื่อง ทุกคนเขียนได้ แต่ถ้าเกิดจะเป็นนักเขียนอาชีพ ผมว่ายาก…ถ้าไม่ได้เดินทางนะครับ
 
การเดินทาง คือการเปรียบเทียบชีวิต-การมองเห็น แล้วมันก็เข้าไปข้างในคุณโดยตรง มันมากกว่าการอ่านหนังสือ …ซึ่งเป็นเรื่องของประสบการณ์คุณเอง
 
เมื่อนำประสบการณ์จริงมาถ่ายทอดเป็นข้อเขียน จะสมจริงกว่าการคิดพล็อตอยู่ในจินตนาการใช่ไหม
 
ไม่…ไม่แน่สำหรับผม
 
ผมรู้สึกว่างานเขียนคือพล็อต พล็อตที่มีตัวละครคืองานเขียน เพราะฉะนั้นความสมจริงอยู่ที่พล็อตคุณดีจริงหรือเปล่า ตัวละครดีจริงหรือเปล่า แล้ว 2 อันมันแมทช์กันจริงหรือเปล่า ถ้า 2 อันนี้แมทช์กันจริง ผมว่าเป็นงานเขียนที่สุดยอด …งานเขียนที่เราเห็นปัญหาส่วนใหญ่คือ พล็อตอาจจะไปบีบตัวละคร หรือไม่ก็…ตัวละครไม่มีพล็อต ซึ่ง 2 อันนี้จะเป็นปัญหา
 
สำหรับคุณหนทางแก้ไขหรือทางออกของ 2 ข้อที่ว่า…คืออะไร
 
ของผมถ้าเกิด…ถามผม ตัวละครคือมนุษย์ ถ้างั้นพล็อตจะไปบีบตัวละครไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์จะไม่ทำตามพล็อตใช่ไหมครับ แต่ขณะเดียวกันเนื่องจากว่ามนุษย์ทุกคนหลากหลาย เพราะฉะนั้นมนุษย์ที่น่าสนใจจริงๆ คือมนุษย์ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นทางใจ ซึ่งมันคือพล็อตนั้นแหละ ใช่ไหมครับ เพราะถ้างั้นตัวละครคุณแข็งไป ตัวละครไม่มีเนื้อหา ผมบอกว่าหาพล็อตให้เจอ ถ้าพล็อตคุณแข็งไป ผมบอกว่าหาตัวละครให้เจอเท่านั้นเอง คือว่าพยายามให้ทั้ง 2 อันนี้แมทช์กันพอดี
 
จินตนาการเข้ามามีบทบาทเสริมสำหรับการเขียน
 
จินตนาการมีบทบาทตั้งแต่แรกของการคิดจะเขียนหนังสือ และมีบทบาททุกขณะ การวางพล็อตก็เป็นจินตนาการ-การวางตัวละครก็เป็นจินตนาการ
 
งานเขียนของคุณเป็นการร้อยเรียงชีวิต แต่ละช่วงเวลา…หรือแต่ละเรื่องเป็นปัจเจก
 
ที่สำคัญงานเขียนกับนักเขียนคนละเรื่อง-งานเขียนไม่ใช่นักเขียน ผู้อ่านจะร้อยเรียงหรือนักวิจารณ์จะมาร้อยเรียง ผมว่าเป็นเรื่องของนักวิจารณ์ แต่ถ้าถามผม…มันไม่เกี่ยวกัน สำหรับผมนะ แต่ว่าแก่นของงานอาจจะเป็นเรื่องเดียวกันหมด เป็นเรื่องแล้วแต่คนจะมอง แล้วแต่นักวิจารณ์ ตรงนี้ไม่ใช่หน้าที่ของนักเขียนจะมาอธิบาย
 
เส้นทางนักเขียนของคุณ มีใครเป็นเศษส่วนเติมเต็มบ้าง
 
ทุกอย่างมีส่วนกับผมมาก แต่ถ้าจะพูดถึงแต่บรรณาธิการนะครับ ผมขอขอบคุณบรรณาธิการจำนวนมากเลยละฮะ ที่จนถึงในเวลานี้ ผมจะพูดถึงอยู่ 5 ท่านนะครับ
 
ท่านแรก คือคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ (นักประพันธ์ชั้นครูและศิลปินแห่งชาติ) นี่เป็นความประทับใจ ผมเคยส่งงานคุณอาจินต์สมัยเป็นนักศึกษา ช่วงนั้นผมได้ลงหนังสืออื่นแล้ว จนวันที่ผมได้ลง “ฟ้าเมืองไทย” (นิ่งคิดครู่หนึ่ง) ผมถูกเรียกมานั่งต่อหน้าคุณอาจินต์ และแกก็เอาต้นฉบับผมให้ดู ต้นฉบับที่มีรอยแก้เต็มไปหมด คือผมรู้สึกซาบซึ้งที่เขาทำอย่างนั้นกับเด็กนักศึกษาคนหนึ่ง กับคนที่ไม่น่ามีความสำคัญต่อเขาเลย และคงไม่ใช่ผมคนเดียวที่เขาทำ เขาทำกับทุกคนที่อยากเป็นนักเขียน คือเขาเป็นบรรณาธิการที่ใจกว้างและมีเวลาให้กับนักเขียนเสมอ ทำให้ประทับใจและซาบซึ้ง งานเขียนของผมในยุคหลังๆ คุณอาจินต์เขียนจดหมายมาให้กำลังใจนะครับ
 
คนที่สอง เป็นบอกอที่ผมรู้สึกว่า มีความแปลกต่อผมมาก คือคุณนวลจันทร์ ศุภนิมิตร (บรรณาธิการอำนวยการนิตยสารแพรว) คือคุณนวลจันทร์นี่แปลก อย่างเวลาผมเขียนอะไรคุณนวลจันทร์จะไม่ค่อยชอบอะไรที่ผมเขียนนัก และคุณนวลจันทร์มีความเห็นที่แปลกๆ และผมกลายเป็นไม่ค่อยชอบความเห็นของคุณนวลจันทร์นักหรอก …ไม่ค่อยนำไปสู่การแก้งานชิ้นนั้นเท่าไหร่ แต่มีผลกับผมมากในงานชิ้นต่อไป เพราะผมรู้สึกว่าความเห็นคุณนวลจันทร์ เป็นความเห็นแบบผู้หญิง เป็นมุมมองผู้หญิงซึ่งบางทีผมละเลย-ผมมองไม่เห็นนะครับ มันเหมือนกับการวิจารณ์กันแล้วนำไปสู่ความคิดที่น่าสนใจ และมีผลต่องาน
 
คนที่สาม คือคุณเสถียร จันทิมาธร (บรรณาธิการบริหารมติชนสุดสัปดาห์) สำหรับผม…พี่เสถียรเป็นที่เคารพและเกรงกลัว …พี่เสถียรมีผู้อ่านเป็นตัวตั้ง และก็จะไม่ยอมให้อะไรก็ตามมาทำให้นักเขียนเสียวินัย เสียความเคารพผู้อ่าน หมายถึงทำงานลวกๆ หรือไม่ทำงานอย่างรับผิดชอบ พี่เสถียรพร้อมที่จะถอดเรื่องของทุกคน ไม่ว่านักเขียนคนนั้นจะมีชื่อเสียงหรือมีเงื่อนไขชีวิตยังไงก็ตามนะครับ เพราะว่าผู้อ่านเป็นที่ตั้ง ผมนึกถึงพี่เสถียรก็จะนึกถึงครูใหญ่ที่ชอบเอาไม้เรียวตีก้น ทำให้หลายคนเข็ดขยาด รวมทั้งผมก็เข็ดขยาดและมีวินัยขึ้น
 
คนที่สี่ คือพี่จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง (ผู้มีอันจะกินทางความคิด-ความฝัน และดูแลบริษัท (กระจายฝัน) กะทิกะลา) เป็นทั้งเพื่อนและพี่…คบหากันมาราวๆ 20 ปี พี่จุ้ยเป็นคนที่มีมุมมองชัด และไม่มีกรอบของค่านิยมของสาธารณะ คือแกจะมีค่านิยมของแกเอง ซึ่งตรงนี้ทำให้เราได้มุมมองที่เราคาดไม่ถึงนะ และเป็นคนที่ตรงไปตรงมากับการวิจารณ์ บวกกับความแหลมคมที่ว่าทำให้เป็นนักขัดเกลาที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง ผมกับพี่จุ้ยไม่ได้มีสไตล์เหมือนกัน แต่ความต่างของสไตล์ ทำให้ผมได้ไอเดียใหม่ๆ เยอะมาก
 
คนที่ห้า ของผมคือ คนที่ช่วยผมทั้งด้านเป็นบรรณาธิการและเชิงธุรกิจ คือคุณพาฝัน ศุภวานิช (บรรณาธิการสำนักพิมพ์วงกลม) คุณพาฝันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมด้วยนะครับ คอยดูแลทั้งเรื่องของงานและความละเอียดในการดูต้นฉบับ คุณพาฝันเป็นคนทำงานละเอียด และมีความ…(นิ่งคิด…ครู่หนึ่ง) พูดไม่ออก…เอาเป็นว่าผมมีความสะดวกสบายขึ้นเยอะ
 
คุณ’รงค์ วงษ์สวรรค์ มีผลต่อ บินหลา สันกาลาคีรี ไหม
 
คุณ’รงค์ มีผลกับผมตั้งแต่ผมเป็นวัยรุ่น ผมชอบงานและตามอ่านจนกระทั้งถึงทุกวันนี้นะครับ สำหรับผม…คุณ’รงค์เป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่มากๆ คนหนึ่ง ความยิ่งใหญ่ของ’รงค์ วงษ์สวรรค์ แสดงออกในงานของเขานะครับ ผมคิดว่าไม่มีคำอะไรที่จะอธิบายคุณ’รงค์ได้ดีกว่า งานของคุณ’รงค์เอง โดยเฉพาะงานอย่าง ‘เสเพลบอยชาวไร่’ หรือว่า ‘บางลำภูสแควร์’ หรือ ‘ใต้ถุนป่าคอนกรีท’ ผมว่า 3 งานนี้ก็ยากที่นักเขียนคนอื่นจะทัดเทียมแล้ว
 
นักเขียนต้องมีความมุ่งมั่น-มีแรงปรารถนาเหมือนใครสักคน แล้วเป็นให้มากกว่านั้น…
 
ต้องมีแรงดลใจ หมายถึงว่าเป้าหมายการเป็นนักเขียน…แรงบันดาลใจที่จะทำให้คุณทำงานอย่างสม่ำเสมอ-ต้องมี แต่คุณไม่จำเป็นต้องมีใครสักคนเป็นแรงบันดาลใจหรือว่าต้องมีใครสักคนเป็นบันไดยื่นเหยียบ-ยื่นเทียม…ไม่ใช่ เพียงต้องมีเป้าอะไรบ้างอย่างและเป้าตรงนั้น ถ้ามันเป็นเป้าที่ฉาบฉวยวันหนึ่งมันจะไม่เพียงพอ มันจะไม่ส่งพลังให้คุณ ไม่ทำให้คุณเกิดความทะเยอทะยานที่จะทำงานต่อหรืออะไร …เพื่อจะได้เป็นต่อ เพราะฉะนั้นต้องไม่ฉาบฉวย-ต้องชัดเจน และต้องสูงพอที่จะทำให้คุณ เฝ้าที่จะทำให้ได้อย่างนั้น
 
คำว่า ฮีโร่ สำหรับคุณ มีความหมายว่าอย่างไร
 
โดยทั่วไปสำหรับผม…ไม่ใช่ฮีโร่ทางการเขียนนะ มันสะท้อนทั้งความชื่นชอบ และความขบขันนะ แล้วแต่จังหวะของมัน แล้วแต่การอธิบายถึงใครคนใด สำหรับผมฮีโร่ไม่ได้เป็นความชื่นชมอย่างเดียว บ้างทีเป็นความน่าสงสาร บางทีเป็นความน่าขบขัน บางทีเป็นความน่าเรียนรู้ แล้วแต่จังหวะของมัน แล้วแต่ถูกนำไปใช้กับอะไร
 
ปัจจุบันคุณสามารถเลือกสิ่งสนใจและให้ความสำคัญกับสิ่งใด คุณจึงอยู่กับสิ่งเหล่านั้น โดยที่ไม่ต้องไปพะว้าพะวงกับสิ่งอื่น
 
ใช่ สิ่งที่ผมเลือกเป็นสิ่งที่ผมอยากอยู่ด้วย และผมโชคดีสิ่งผมเลือกเป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากแค้นเกินกว่าความสามารถ คือผมเลือกในเรื่องที่ผมไม่สุดความสามารถเกินไป พูดง่ายๆ อย่างที่คนอื่นเขาพูดกัน คือ ‘พอเพียง’ ผมเลยไม่ค่อยรู้สึกทุรนทุรายกับสิ่งที่ผมได้รับ ถ้าผมเลือกที่มันยากกว่านี้ หรือฝันโดยที่มัน…ไม่เข้าใจคำว่าพอเพียง ผมคงไม่เข้าใจว่าเมื่อไหร่ จะถึงวันนั้นสักที
 
สิ่งใดทำให้คุณคิดคำนึงถึง เมื่ออายุก้าวเข้าตัวเลข 40 ปี
 
ที่ผมรู้สึกสิ่งหนึ่ง อายุ 40 ปีไม่ควรจะมีหนี้ ผมกลัวว่าผมจะตายก่อนใช้หนี้หมด ตอนนี้ก็รู้สึกดี พออายุ 40 มองไปถึงความไม่แน่นอนแล้วนะ ผมยังไม่อยากตายทั้งที่ผมมีหนี้สินอยู่
 
คุณอยากมีใครสักคนร่วมเรียงเคียงหมอน…ร่วมทุกข์ร่วมสุขบ้างไหม
 
ผมไม่ค่อยเห็นภาพนั้น ผมรู้สึกว่ามนุษย์ควรจะอบอุ่น มีความเอื้ออาทร มีคนแบ่งปันความเหงาได้ แต่ว่าผมไม่ค่อยเห็นภาพครอบครัวนัก ผมรู้สึกว่าผมมีตรงนี้โดยที่ผมไม่มีครอบครัว ผมก็เพียงพอ
 
แต่ถ้าเกิดผมมีครอบครัวของผม ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมีลูกนะครับ
 
สำหรับผมครอบครัวมีแค่ คู่ชีวิตที่เข้าใจกัน ที่ให้อภัยกันได้ ที่สามารถจะตอบสนองสิ่งเน้นลึกข้างในได้ ผมไม่ค่อยเห็นภาพครอบครัวที่มีลูก
 
เป็นความรักยังไงที่กล่าวว่า ไม่มีลูก…จะถูกเติมเต็มด้วยสิ่งใด