Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

หรือวรรณกรรมไทย ไม่อาจสั่นคลอนสังคม?

 

 
วรรณกรรมไทยตายแล้ว!
 
นักเขียนไทยไม่พัฒนา!
 
วรรณกรรมไทยไม่สั่นคลอนสังคม!
 
……………………………….
 
ประเด็นเหล่านี้มักกลายเป็นหัวข้อถกเถียงกัน ในวงเสวนาเกี่ยวกับสถานการณ์ วรรณกรรม-นักเขียนไทยอยู่บ่อยครั้ง และแทบทุกครั้งก็ได้คำตอบไม่ต่างกัน…
 
ล่าสุดในงาน ราหูอมจันทร์ ครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2551 ณ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย นอกจากเป็นงานประกาศและมอบรางวัลเรื่องสั้น กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ แล้วยังเปิดเวทีเสวนาหัวข้อ หรือวรรณกรรมไทยไม่อาจสั่นคลอนสังคม? ทั้งจากมุมมองของนักเขียนและนักวิจารณ์วรรณกรรม ในบรรยากาศเต็มไปด้วยเพื่อนพ้องนักเขียนมาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพื่อรำลึกการจากไปของนักเขียนหนุ่มตลอดกาล 'กนกพงศ์ สงสมพันธุ์' นั่นเอง
 
เปิดเวทีด้วยนักวิจารณ์ จรูญพร ปรปักษ์ประลัย กล่าวถึงนักเขียนรุ่นใหม่ว่ามีลักษณะการทำงานแตกต่างจากนักเขียนรุ่นเก่าและสั่นคลอนสังคมได้น้อยมากเมื่อเทียบกับ 'นักคิด-นักเขียน' รุ่นก่อน
 
"จริงๆ มีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วว่าสั่นคลอนหรือไม่สั่นคลอน และสั่นคลอนมากน้อยขนาดไหน อยู่ตรงจุดไหนบ้าง ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันอยู่เยอะ โดยส่วนตัวได้อ่านเรื่องสั้น บทกวี นวนิยายต่างๆ ในปัจจุบัน ถามว่าวรรณกรรมไทยสั่นคลอนสังคมหรือเปล่า ต้องบอกว่าทุกวันนี้เหมือนนักเขียนไม่ได้มีวัตถุประสงค์อย่างนั้นแล้ว วัตถุประสงค์ที่จะสั่นคลอนสังคมน่าจะน้อยลง อาจเป็นเพราะว่าวิธีการนำเสนอในยุคปัจจุบันต่างจากยุคก่อนหน้านั้น ซึ่งบรรยากาศการเมืองหรือความเป็นนักคิดนักเขียนมันเข้มข้นกว่านี้ ทุกวันนี้เหมือนคำว่า 'นักคิด-นักเขียน' จะพูดกันน้อยลง จะพูดแค่ว่า 'นักเขียน' อย่างเดียว
 
ความเป็นนักคิดของนักเขียนอาจจะไม่เข้มข้นเหมือนในยุคหนึ่ง ซึ่งรู้สึกว่าเขาเป็นผู้นำทางความคิดจริงๆ เขาสามารถชักนำให้เกิดบรรยากาศหรือกระแสความคิดดีๆ ต่อสังคมได้ นั่นคือความรู้สึกที่เคยอ่านในยุคสมัยหนึ่ง รู้สึกว่าตอนนั้นวรรณกรรมเหล่านี้แหละที่สร้างพลังทำให้อยากออกไปค้นหาอะไรบางอย่างหรือหาคำตอบบางอย่างให้กับตัวเองและสังคม แต่ทุกวันนี้นักเขียนส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นเพียงแค่สะท้อนสังคมที่เห็นออกมาเท่านั้นเอง
 
ถามว่ามันสั่นคลอนสังคมไหม ไม่ถึงกับสั่นคลอน แต่มันอาจจะทำให้รู้สึกว่ามันมีแง่มุมนี้ในสังคม เป็นภาพสะท้อนจากมุมต่างๆ แต่ว่ามันไม่ได้ให้คำตอบอะไรที่ชัดเจนหรือเป็นแนวทางอะไรที่จะบอกว่ามันสามารถเปลี่ยนหรือว่าทำให้เกิดรอยขยับหรือเกิดแรงกระเพื่อมหรือเกิดอะไรขึ้นก็ตาม น้อยมากที่จะเกิดจุดนั้น หลายครั้งผมรู้สึกว่าการทำงานของนักเขียนเหมือนกับเป็นการสนองความต้องการของตนเอง นักเขียนทำงานเขียนเหมือนเป็นการระบายสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองให้สังคมรับรู้ว่าคิดและมองเห็นแบบนี้ บางครั้งมันเหมือนเป็นยาระบาย เป็นการแก้ปัญหาส่วนตัวของนักเขียนบางคนซึ่งอาจจะมีปัญหาความอัดอั้นในใจ ต้องการระบายมันออกมา"
 
ด้านนักเขียนดับเบิลซีไรต์ขวัญใจนักอ่านคนรุ่นใหม่ วินทร์ เลียววาริณ ตั้งคำถามว่าทำไมถึงยังต้องมานั่งคุยกันถึงเรื่องนี้อีก "หัวข้อนี้ผมเคยได้ยินเมื่อ 20 ปีก่อน คาดว่าตอนจบก็คงมีคำตอบที่คล้ายๆ เดิม ผมพยายามจะมองต่างมุมออกไปว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากที่ทำงานเขียนมา 20 ปีก็พอจะเข้าใจวงการได้ดีระดับหนึ่ง ถามว่าวรรณกรรมสั่นคลอนสังคมไทยได้หรือเปล่า คำแปลคือเราเชื่อในอำนาจวรรณกรรมหรือเปล่า ผมเชื่อว่าวรรณกรรมมีอำนาจจริง เพราะว่าการที่เราเป็นตัวเป็นตนทุกวันนี้ก็เกิดจากการอ่าน แม้ว่าจะอยู่ในเชิงอุดมคติไปหน่อยแต่ผมยังเชื่อว่า 'อำนาจวรรณกรรม' นั้นยังมีจริง มันสามารถที่จะเปลี่ยนคน เปลี่ยนทิศทางในสังคมให้ดีขึ้นได้
 
ผมมองว่านักเขียนทั่วไปก็คงอยากสร้างสิ่งดีๆ เหมือนพ่อครัวที่สร้างอาหารอร่อยแล้วก็มีวิตามินสูง แต่ว่าประเด็นที่ผมตั้งขึ้นมาคือบางทีไม่ใช่เพราะว่าเราสร้างงานดีหรืออาหารที่ดีเท่านั้นเอง อาจจะเป็นเพราะมันมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากการอาหารที่ทำให้มีสุขภาพดีก็ได้ คือไม่ใช่ว่าวรรณกรรมไทยเป็นปัจจัยเดียวที่สามารถสั่นคลอนสังคมไปในทิศทางที่ดีขึ้น หรือเขย่าอวิชชาหรือความไม่รู้ไปจากสังคมไทย แต่มันมีปัจจัยอื่นด้วย คือนอกจากมีอาหารแล้วก็ยังมีเรื่องของสภาพแวดล้อม สิ่งต่างๆ มากมายหลายอย่าง ซึ่งในที่นี้ผมพูดถึงเรื่องของ 'การตลาด' กับ 'ตัวสินค้า'
 
ถ้ามองในแง่ของการตลาดหรือเรื่องของสินค้า สินค้าคือตัวงานของนักเขียน หรือว่าตัวนักเขียนเอง ผมเชื่อว่าเรามีนักเขียนมีฝีมือเยอะ แต่เป็นไปได้อย่างหนึ่งคืองานเขียนที่ออกมาอาจจะไม่หลากหลายพอ ซึ่งถ้าดูจากหนังสือในร้านหนังสือทั่วไป จะพบว่างานที่ออกมาในตลาดไม่หลากหลายเท่าไร อันนี้ว่ากันตามเนื้อผ้า เพราะเมื่อเทียบกับการไปดูร้านหนังสือในต่างประเทศแล้วผมว่าร้านหนังสือเขาจะมีความหลากหลายมากกว่าเยอะ ขณะที่ของเราค่อนข้างจะน้อยและดูเหมือนว่ามันจะมีคำว่า 'กระแสนิยม' เข้ามาด้วย พอมีกระแสอะไรมาก็เฮไปเขียนเรื่องนั้น สำนักพิมพ์เองก็ผลิตแต่เรื่องแนวนั้น ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยทำให้ตลาดหนังสือไม่ยอมโตสักทีหนึ่ง
 
อีกจุดหนึ่งที่เป็นปัญหาก็คือว่าไม่ใช่นักเขียนไม่มีฝีมือ แต่ว่านักเขียนไม่สามารถที่จะทำงานอย่างต่อเนื่องได้ ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่เป็นความผิดของนักเขียนเพราะว่าสถานะหรือข้อแม้การทำงานของนักเขียนบ้านเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่านักเขียนไม่สามารถจะทำงานเขียนเป็นอาชีพเต็มตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ ส่วนใหญ่แล้วนักเขียนบ้านเรายังทำงานเป็นไซด์ไลน์อยู่ ซึ่งโอกาสที่จะทำงานใหญ่ในลักษณะไซด์ไลน์หรือทำงานหลากหลายหรือว่าต่อเนื่องในสถานะของไซด์ไลน์ค่อนข้างจะยาก และนี่คือส่วนหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าเป็นกติกาที่เกิดขึ้น"
 
เกี่ยวกับประเด็นนี้นักเขียนรุ่นใหญ่ จำลอง ฝั่งชลจิตร กล่าวออกตัวก่อนว่า หัวข้อ 'หรือวรรณกรรมไทยไม่อาจสั่นคลอนสังคม?' ค่อนข้างยาก แต่คนตั้งก็ฉลาดเหลือเกินที่ตั้งให้ได้คิด-ได้ถาม
 
"ผมมองว่าบางทีไปโทษวรรณกรรมมากเกินไปหรือเปล่า วรรณกรรมไม่สั่นคลอนสังคมจริงหรือ สังคมไทยมันเปลี่ยนไปอย่างไร ไม่ค่อยมีใครตั้งคำถามเลยว่าสังคมไทยกระตุ้นเท่าไรมันไม่เคยตื่นเลย ผมมีความแปลกใจว่าสังคมไทยมีการกระตุ้นกันมาตั้งนานแต่ไม่เคยตื่น ทั้งที่มันมีงานสัปดาห์หนังสือปีละสองครั้ง ทั้งที่มันมีการเรียนการสอนอยู่ในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย มีการเรียนการสอนทางด้านวรรณคดี การวิจารณ์วรรณกรรม แต่คนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องทำไมมันไม่ตื่น คนที่เรียนที่สอนจบไปก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองได้เรียน มันแผ่วโผยไปเสียหมด
 
วันที่ผมเริ่มเขียนหนังสือเมื่อ 30 ปีก่อนนั้น บรรยากาศทางการเมืองมันเป็นช่วงที่ลักษณะของสังคมค่อนข้างชัดเจนคือมีการต่อสู้ การต่อต้าน การผลักดันซึ่งมันเป็นรูปของสังคมเผด็จการ มีทหาร มีฝ่ายตรงกันข้ามกับทหาร เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ถามว่าสังคมปัจจุบันยังเป็นเผด็จการอีกหรือเปล่า ก็ยังเป็นอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปหน้าตาไป เผด็จการก็เฉลียวฉลาดขึ้น เมื่อบวกกับระบบของทุน คือทุนเผด็จการมันก็แนบเนียนมากยิ่งขึ้น ถามว่านักเขียนเขียนถึงสิ่งเหล่านี้หรือไม่ นักเขียนเขียนนะครับ แต่ถ้าให้นักเขียนไปเขียนถึงทหารที่ยกปืนหรือยกธงสู้เหมือนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันก็คงไม่เป็นอย่างนั้น
 
ผมคิดว่านักเขียนเองก็มองสังคมอย่างวิญญาณ แต่เราไม่สามารถเขียนหนังสือด้วยเงื่อนไขทางสังคมเหมือนเมื่อ 30 ปีที่แล้วได้ เราเขียนด้วยเงื่อนไขสังคมที่เป็นปัจจุบัน ปัญหาก็คือเมื่อนักเขียนเขียนแล้วก็ไม่ได้ออกไปเคลื่อนไหวทางสังคมตามแนวหลักคิดที่ตัวเองได้เขียน เมื่อก่อน 'ศรีบูรพา' เขียนถึงเผด็จการ เสรีภาพ สามารถที่จะเดินทางออกไปเคลื่อนไหวตามแนวคิดหรืออุดมคติของตนเอง แต่ในระบบทุนที่เราเขียนกันก็นั่งรอว่าเมื่อไรหนังสือจะขายได้บ้าง เมื่อไรนักวิชาการจะเอาไปพูดบ้าง เมื่อไรจะมีนักวิจารณ์จะหยิบงานเราไปวิเคราะห์และมองเห็นถึงสิ่งที่เราเขียนซ่อนเอาไว้อยู่บ้าง ก็ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่กันเท่าไร
 
แม้แต่คนทำหนังสือทั้งรายสัปดาห์หรือรายปักษ์ก็ทำเพื่อขาย คุณไม่ได้สนับสนุนกิจกรรมการอ่านทางด้านวรรณกรรม คุณไม่ได้ลงเรื่องราวเหล่านี้เลย หลายครั้งหลายคราวบรรณาธิการหนังสือเองก็ดูถูกดูแคลนนักเขียน เป็นสิ่งที่รู้ได้ เห็นได้ชัดเจน เหมือนกับว่ามองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ว่ามีความสำคัญ นอกจากนักเขียนไม่ได้เคลื่อนไหวทางอุดมคติเหมือนเดิมแล้ว แต่การเขียนออกไปก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวทางความคิดอย่างหนึ่ง คนที่จะมารับสื่อคือนักอ่าน นักวิจารณ์ หรือนักวิชาการ ต้องมาทำหน้าที่ตรงนี้ คือคุณรับไปแล้วขยาย วิพากษ์วิจารณ์ พูดที่ไหนก็ได้ แต่คุณก็ไม่ได้ทำงานมากเท่าไร เขียนไปแล้วก็หาย ครั้งแล้วครั้งเล่า"
 
ยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆ เรื่องในอินเทอร์เน็ตได้รับการยอมรับเป็นจำนวนมาก..ถือเป็นการสั่นคลอนสังคมได้หรือไม่นั้น วินทร์ เลียววาริณ มองว่า "การสั่นคลอนสังคมในความหมายของผมคือทำให้สังคมดีขึ้น ทำให้คนฉลาดขึ้น มีปัญญามากขึ้น อยากน้อยแยกออกว่า 6 ตุลาคมมีคนตายกี่คน ผมคิดว่าหนังสือน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราฉลาดขึ้น การที่หนังสือได้รับการตีพิมพ์มากหรือว่าเขียนในอินเทอร์เน็ตแล้วคนยอมรับมาก มันไม่ได้แปลว่าหนังสือเล่มนั้นดีหรือไม่ดี มันเพียงแต่บอกว่าคนชอบแนวนั้นเท่านั้นเอง จุดแยกระหว่างหนังสือดีกับหนังสือไม่ดีคือสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองคนอ่าน หลังจากอ่านหนังสือเล่มนั้นไปแล้วว่าฉลาดหรือมีปัญญามากขึ้นหรือเปล่า สามารถที่จะสั่นเอาความโง่เง่าไปจากหัวได้หรือเปล่า
 
เรื่องนี้มันมีปัญหาอยู่ทุกจุด ปัญหาของการวิจารณ์คือไม่มีคนวิจารณ์หรือหาหนังสือวิจารณ์ไม่ได้ พอไม่มีการวิจารณ์ บรรยากาศการอ่านก็ไม่มี ขณะที่เมืองนอก วันอาทิตย์จะมีหนังสือเล่มหนาปึก มีบทวิจารณ์รีวิวหนังสือเต็มไปหมด เหมือนอ่านบทวิจารณ์หนังเราก็อยากจะไปดูหนังเรื่องนั้น หนังสือก็เหมือนกัน ก็เข้าใจว่าข้อแม้ในบ้านเราคือ หนึ่ง พื้นที่ในการวิจารณ์ก็น้อย สอง นักวิจารณ์ทำงานหนักมาก อ่านไม่รู้กี่เที่ยว เขียนบทวิจารณ์หนึ่งบทขึ้นมา แล้วค่าจ้างในการวิจารณ์ไม่ได้สูงอะไร ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่บทวิจารณ์บ้านเราไม่มากขนาดนั้น แต่จุดนี้คือจุดที่เราต้องกระตุ้น ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิด"
 
ขณะที่ กฤช เหลือลมัย มองด้วยสายตานักเขียนรุ่นใหม่ด้วยว่า "ผมรู้สึกมาพักหนึ่งแล้วถึงความอยู่นิ่งๆ หรือว่าการไม่มีวิธีต่างๆ อะไรที่มันแปลกๆ ไปของงานเขียน ส่วนตัวผมเองรู้สึกว่าคนวรรณกรรมส่วนหนึ่งทำไมเขาไม่ใช้วิธีของวรรณกรรมในการเขียนวรรณกรรม วรรณกรรมคืออะไร วรรณกรรมไม่ใช่สารคดี ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ ไม่ใช่สังคมศาสตร์ ไม่ใช่มานุษยวิทยา มันคือการใช้เครื่องมือทางภาษาจำนวนมากประกอบหรือสร้างอะไรขึ้นมาบางอย่างคืออาจจะไม่จริงเลยก็ได้ แต่เท่าที่ผมเห็นผมมักเห็นวรรณกรรม บทกวี หรือว่านวนิยายส่วนใหญ่สะท้อนความจริงเชิงประจักษ์เท่านั้น
 
เมื่อวรรณกรรมไม่ใช้วิธีของวรรณกรรมแล้ว อะไรจะเกิดอะไรขึ้น คือมันไม่มีพลัง พอมันไม่มีพลังมันก็ไม่สั่น อาจจะไม่สะท้อนและไม่สั่นก็แล้วแต่ อีกอย่างผมสงสัยว่าถ้านักเขียนไม่อยากสั่น แต่นักอ่านหิว นักอ่านอยากอ่านอะไรที่มันสั่นตัวเขาสักหน่อย แต่เขาพบว่านักเขียนไทยสั่นเขาไม่ได้ เขาทำยังไง ผมคิดว่าเขาคงทำอยู่สองสามอย่าง คือ หนึ่ง ไปอ่านงานต่างประเทศ สอง มันจะเกิดอะไรบางอย่างที่ผมอยากจะเรียกว่า 'ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ' คือนักอ่านจะเกิดการสันดาปภายในตัวเอง สร้างมันขึ้นมาในตัวของตัวเอง บวกกับการอ่านงานอื่นๆ ซึ่งดีกว่างานของไทย ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจะแรงที่สุดก็คือว่านักเขียนไทยก็จะเป็น 'ตาแก่ยายแก่' ที่จืดๆ พูดแต่เรื่องที่ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป กลัวว่าจะเป็นอย่างนั้น"
 
เลี่ยงไม่ได้ที่ จำลอง ฝั่งชลจิตร ต้องออกมาแก้ต่างว่า "นักเขียนไทยเป็น 'ตาแก่ยายแก่' มันก็เป็นประเด็นที่แฟร์ดีนะ เพราะว่างานเขียนมันไม่ใช่งานที่จะหยุดนิ่ง งานเขียนเป็นงานที่จะต้องเปลี่ยนไปเรื่อยตามสังคม ตราบใดที่เรายังเขียนหนังสืออยู่บนโลกนี้ แล้วก็มีงานดีๆ เข้ามาในเมืองไทย มันก็เป็นข้อเสี่ยงของนักเขียนในเมืองไทยเหมือนกัน เพราะว่าผู้อ่านมีโลกกว้างขวางพอสมควร นักเขียนก็ต้องทำงานหนัก ผมเห็นด้วย ซึ่งเราก็ระมัดระวังเรื่องพวกนี้กันอยู่แล้ว ไม่ประมาทกันอยู่แล้ว คนที่ประมาทก็จบไปแล้วเหมือนกัน อันนี้เราก็เห็น ไม่ใช่นักเขียนมองไม่เห็น"
 
ด้านนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ชมัยภร แสงกระจ่าง อดรนทนไม่ไหวต้องออกมาพูดบ้างว่า "พอได้ฟังฝ่ายนักวิจารณ์ก็น่าตกใจ ฟังฝ่ายนักเขียนก็น่าตกใจ ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ในฐานะเป็นทั้งนักเขียนและนักอ่าน คิดว่ายุคหรือสภาพสังคมมันเป็นตัวกำหนดเหมือนกัน คิดว่าคนใหม่ๆ ก็เขียนดีๆ ได้เยอะ หลายคนแสดงให้เห็นว่าในสภาวะสังคมเป็นอย่างนี้เขาสามารถตั้งตัวได้ แต่ถ้าเอาภาพของนักเขียนที่เขียนแล้วดีไปรวมกับภาพส่วนใหญ่ทั้งหมดที่ปรากฏ มันเลยเหมือนกับว่ามันไม่เห็นเลย จริงๆ มันมีคนทำงานอยู่แล้ว มันมีคนที่รอให้เราไปอ่านอยู่ ไปดูว่าเขาตั้งอกตั้งใจเขียนอะไรอยู่ เขาซ่อนอะไรอยู่ เพียงแต่ว่าสภาพสังคมไม่เอื้อให้ไปหาอ่านหรือไม่เอื้อให้คนเหล่านั้นได้รับการยกย่องเชิดชูขึ้นมา
 
อาจจะกำลังเชิดชูเขาในรางวัลต่างๆ ถ้าไปหยิบเอางานที่ได้รางวัลมาดู จะเห็นว่ามีอยู่หลายชิ้นที่น่าสนใจมาก หลายคนสามารถแหวกออกไปจากงานที่รุ่นเก่าทำมาด้วย อาจจะอยู่ในระยะของการแหวกทางอยู่ ก็น่าสนใจมาก มันไม่ได้ล้มเหลวถึงขนาดนั้น แต่สมมติคุณเขียนแล้วมันต้องผ่านกระบวนการการผลิตไปสู่คนอ่าน คุณภาพของนักอ่านเป็นปัญหาสำคัญ มันเชื่อมโยงไปว่าทำไมถึงไม่มีนักวิจารณ์ในปัจจุบันนี้ สื่อต่างๆ ก็ไม่อนุญาตให้มีหน้าวิจารณ์ จริงๆ นักวิจารณ์เองก็อยากจะเกิด ฉะนั้นองค์กรที่รับผิดชอบหรือว่าตัวนิตยสารต้องรับผิดชอบร่วมกัน ถ้าพร้อมที่จะพัฒนานักอ่านก็พร้อมที่จะพัฒนาไปถึงหลักสูตรการศึกษาด้วย
 
ต้องบอกว่างานเขียนถ้าตีพิมพ์แล้วมันไม่ไปไหน ทุกวันนี้ยังต้องไปรื้องานเก่าๆ ของ 'ศรีบูรพา' ไปรื้องานเก่าๆ ของคนที่ชาตกาลครบร้อยปีมาอ่านเสมอ และค้นพบว่าในสมัยนั้นมันก็มีอะไรน่าตื่นใจ ทำไม 'มนัส จรรยงค์' เกิดขึ้นมาได้ คนรุ่นใหม่เขาก็เกิดขึ้นมาได้ในยุคสมัยของเขาเหมือนกัน ส่วนตัวไม่รู้สึกว่าห่อเหี่ยวมาก แต่ขอให้ช่วยกันค้นขึ้นมา ถ้าไม่ค้นขึ้นมาบางทีเขาอาจไม่รู้ตัวเองเลยว่าเขาเป็นเพชรเม็ดงามหรือเปล่า ฉะนั้นอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ"
 
แม้ว่าวรรณกรรมยุคนี้อาจจะไม่สั่นคลอนสังคมอย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่จากการเสวนาครั้งนี้อาจจะเป็นแรงกระเพื่อมที่ค่อยๆ ถาโถมขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นได้ 0
 
——————————————
 
รางวัลเรื่องสั้น 'กนกพงศ์ สงสมพันธุ์' ครั้งที่ 1 รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ ปรากฏการณ์ที่ใครคนหนึ่งหายไปจากชีวิตของใครอีกคน โดย ภาณุ ตรัยเวช, เรื่องสั้นรางวัลชมเชย ได้แก่ 1.ลมใบ้ที่ไร้เสียง โดย อรรถสิทธิ์ สมจารี 2.ในวันที่วัวชนยังชนอยู่ โดย วัชระ สัจจะสารสิน คณะกรรมการตัดสินประกอบด้วย ผศ.ธัญญา สังขพันธานนท์ (ไพฑูรย์ ธัญญา), จรูญพร ปรปักษ์ประลัย, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ผศ.ดร.สายวรุณ น้อยนิมิตร และ อ.ฐนธัช กองทอง
 
จุดประกาย วรรณกรรม
ปีที่ 20 ฉบับที่ 7115
วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2551
 
ภาวินี อินเทพ-พรชัย จันทโสก : รายงาน