Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

หนึ่งศตวรรษ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ต้นแบบประชานิยม

 

 
 
"National Geographic" ฉบับภาษาไทย เดือนเมษายน 2554 เปิดหน้าสกู๊ปพิเศษ เรื่อง 100 ปี ชาตกาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช โดย ศรรวริศา เมฆไพบูลย์ และกัญญ์ชลา นาวานุเคราะห์ ภาพถ่ายโดย คัมภีร์ ผาติเสนะ 
มติชนออนไลน์ นำข้อมูลบางส่วนและภาพทั้งหมดจาก "National Geographic"มานำเสนอ ดังนี้ 
 
หากเอ่ยชื่อของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ภาพที่ปรากฎในความคิดของใครหลายคนอาจเป็นอะไรได้หลายอย่าง ทั้ง อาจารย์ นักหนังสือพิมพ์ นักแสดง ศิลปินแห่งชาติ ไปจนกระทั่งนักการเมืองผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศไทย ความเป็นนักวิจารณ์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐบาล การต่อสู้กับอำนาจเผด็จการเพื่อให้มาซึ่งประชาธิปไตย จนได้รับการขนานนามไว้หลายนามทั้ง “เสาหลักแห่งประชาธิปไตย” หรือ “เฒ่าสารพัดพิษ” เป็นตำนานของชายแก่ผู้มีวาทะศิลป์เผ็ดร้อนจากบ้านสวนพลูที่ยังคงกล่าวขานถึงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งครบรอบ 100 ปี ชาตกาล ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช 
 
 
พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาโอรส-ธิดา 6 คน ของ พลโท พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบกับหม่อมแดง (บุนนาค) เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2454 ในเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบ้านม้า อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ระหว่างที่ครอบครัวของท่านเดินทางไปที่พิษณุโลก 
 
 
ชื่อของท่านนั้น ได้มาจากการร้องไห้เสียงดังในวัยเด็ก จึงได้รับพระราชทานนามจาก สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ แต่ต่อมาเมื่อมีผู้ถามที่มาของชื่อ ท่านก็ได้เล่าแกมขำขันว่าชื่อของท่านมาจากการผวนคำ จาก “คึกฤทธิ์” เป็น “คิดลึก” 
 
 
ท่านเรียนหนังสือที่โรงเรียนวังหลัง หรือวัฒนาวิทยาลัยในปัจุบบัน ต่อด้วยโรงเรียนสวนกุหลาบ แล้วจึงไปศึกษาต่อที่เทรนต์คอลเลจ ประเทศอังกฤษ ขณะอายุ 15 ปี และเมื่อจบการศึกษาการเมือง ปรัชญา และ เศรษฐศาสตร์ที่ควีนส์คอลเลจ มหาวิทบยาลัยออกซฟอร์ด ในปี พ.ศ.2476 ก็กลับมาที่เมืองไทย และเรื่องราวของเสาหลักแห่งประชาธิปไตยก็เริ่มต้นขึ้น 
 
 
บทบาทแรกที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มีในทางการเมือง เกิดขึ้นใน พ.ศ.2488 เมื่อท่านร่วมมือกับกลุ่มคนที่มีความคิดต่อต้านคณะราษฎร ด้วยการก่อตั้งพรรคก้าวหน้า อันเป็นพรรคการเมืองแห่งแรกในไทย ที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การเข้ามาของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ นำความแปลกใหม่มาสู่การเมืองในขณะนั้น โดยเฉพาะวิธีการขึ้นปราศัยบนเวทีสาธารณะ ซึ่งไม่มีพรรคการเมืองใดทำมาก่อน ทำให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส.พระนคร ในปีถัดมา 
 
 
จากนั้น พ.ศ. 2489 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ร่วมมือกับ พันตรีควง อภัยวงศ์ และคนอื่นๆ ประชุมกันที่บริษัทของพันตรีควง ย่านเยาวราช เพื่อร่วมกันตั้งพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีพันตรีควง เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก ส่วนม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้นำพรรคก้าวหน้า มาควบรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นเลขาธิการพรรค มีวัตถุประสงค์ต้องการเป็นฝ่ายค้านคานอำนาจนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ใช้วาทะศิลป์ให้ผู้ฟังปราศัยติดตาม 
 
 
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กลายเป็นผู้ที่ประชาชนสนใจอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา นับเป็นความสำเร็จทางการเมืองในระยะแรก แต่จุดเปลี่ยนทางการเมืองก็มาถึงใน วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2491 ในกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้าน ยกมือสนับสนุนนโยบายเพิ่มค่าตอบแทน ส.ส. คนละ 1,000 บาท ทำให้ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ไม่พอใจ และขอลาออกจากตำแหน่ง กลายเป็นประเด็นดังทางหน้าหนังสือพิมพ์ ณ ขณะนั้น 
 
 
หลังวางมือทางการเมือง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ยังคงเกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเป็นนักวิจารณ์การเมืองในหนังสือพิมพ์สยามรัฐที่ท่านก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2493 ติดตามการทำงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยที่ท่านเน้นถึงการ “อาศัยศึกษา ค้นคว้าและติดตามทำความเข้าใจในประเด็นนั้นๆด้วย” ทำให้บทวิจารณ์การเมืองของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก 
 
 
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ร้างจากเวทีการเมืองไปนาน 25 ปีต่อมาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กลับหวนคืนสู่สนามการเมืองในฐานะสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 จากนั้นในปีเดียวกัน ก็ร่วมมือกับอดีต ส.ส. และนักธุรกิจ ก่อตั้งพรรคกิจสังคม เพื่อเป้าหมายที่มุ่งเน้นนำการเมืองลงสู่ภาคประชาชน กระจายโอกาสของคนชนบทในจังหวัดต่างๆ 
 
 
ด้วยนโยบายที่เน้นภาคประชาชนส่วนใหญ่ จึงทำให้ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2518 พรรคกิจสังคม ได้เป็นผู้นำรัฐบาล และมีม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศ แต่ปัญหาที่ตามมาหลังเลือกตั้งเสร็จก็คือ พรรคกิจสังคมมี ส.ส. เพียง 18 เสียง ทำให้เกิดการตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆถึง 22 พรรค เป็นยุคที่รัฐบาลมีพรรคการเมืองผสมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “รัฐบาลสหพรรค” 
 
 
ตลอดระยะเวลาการเป็นนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ประกาศนโยบายที่เรียกเสียงฮือฮาออกมาได้บ่อยครั้ง ที่จำได้ดีคือ นโยบายเงินผัน 2,500 ล้านบาทสำหรับพัฒนาชนบทผ่านสภาตำบล นโยบายประกันราคาพืชผล รวมทั้งนโยบายที่เป็นพื้นฐานให้รัฐบาลสมัยต่อๆมานำไปใช้เช่น การนั่งรถประจำทางฟรี และจัดให้คนไทยที่มีรายได้ต่ำกว่า 1,000 บาท รักษาพยาบาลฟรีเป็นต้น 
 
 
และที่ถือว่าเป็นไฮไลต์สำคัญของรัฐบาลม.ร.ว.คึกฤทธิ์ คือการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ประกาศมาตลอดว่าไม่ชอบคอมมิวนิสต์ แต่ก็ยังแยกเรื่องส่วนตัวกับความอยู่รอดของบ้านเมือง โดยการเดินทางไปจับมือกับท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง 
 
 
แม้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จะมีนโยบายโดดเด่นเป็นที่จดจำ แต่สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงเวลานั้น เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การมีพรรคการเมืองผสมหลายพรรคเป็นจำนวนมากทำให้เกิดการแย่งชิงผลประโยชน์ เรียกร้องตำแหน่งสำคัญต่างๆ รวมทั้งความขัดแย้งภายในสังคม บีบให้รัฐบาลม.ร.ว.คึกฤทธิ์ต้องยุบสภา อยู่ในตำแหน่งเพียงแปดเดือน แม้การเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาได้ก็ตามแต่ความขัดแย้งที่ยังไม่จางหาย ได้ลุกลามไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จากนั้นมาม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็มีบทบาททางการเมืองเพียงหัวหน้าพรรคกิจสังคม และได้ลาออกจากหัวหน้าพรรคกิจสังคมในปี พ.ศ. 2528 ปิดฉากตำนาน “เสาหลักประชาธิปไตย” หรือ “เฒ่าสารพัดพิษ” ไว้นับแต่นั้น 
 
 
มรดกที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ทิ้งเอาไว้ ไม่ได้มีเพียงด้านการเมืองเท่านั้น ผลงานด้านวรรณศิลป์ของท่าน ก็เป็นที่จดจำ และจัดเป็นหนังสือที่ต้องอ่านมากมายเช่น สี่แผ่นดิน นวนิยายที่บอกเล่าเรื่องของผู้คนในวังได้อย่างสมบูรณ์ ไผ่แดง, กาเหว่าที่บางเพลง, หลายชีวิต, สามก๊กฉบับนายทุน ตอนโจโฉ นายกตลอดกาล เสียดสีการดำรงตำแหน่งของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และ มอม เรื่องสั้นเกี่ยวกับสุนัข ที่ท่านเคยกล่าวถึงว่า เป็นงานเขียนที่ท่านเขียนไปร้องไห้ไปบ่อยๆ 
 
 
ในขณะที่บทบาททางวิชาการ นอกจากในฐานะนักหนังสือพิมพ์แล้ว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ยังเป็นอาจารย์ นายธนาคารที่ธนาคารแห่งประเทศไทย นักแสดงโขน รวมทั้งเป็นนักแสดงภาพยนตร์ฝรั่งในเรื่อง อเมริกันอันตราย (The ugly American) ในบทบาทของนายกรัฐมนตรีประเทศ “สารขัณฑ์” ประเทศที่ในภาพยนตร์สมมติขึ้นมา แต่ต่อมาใช้เป็นคำพูดเชิงเปรียบเทียบถึงประเทศไทย ก็เคยมาแล้วเช่นกัน 
 
 
ในช่วงบั้นปลายชีวิต ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านสวนพลู แต่ด้วยโรคภัยที่รุมเร้าเข้ามาทำให้สุขภาพของท่านแย่ลง จนกระทั่งในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2538 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชราในวัย 84 ปี 5 เดือน 20 วัน 
 
 

วันที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2554 
By : matichon.co.th