Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

หนึ่งทศวรรษรางวัล “พานแว่นฟ้า”

 

 
ก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 รางวัลพานแว่นฟ้ายังเดินหน้าต่อลมหายใจให้วรรณกรรมการเมือง สะท้อนภาพสังคมให้กระเตื้อง และเป็นกระทั่งยาย้อมใจในวันที่ใครอาจหมดศรัทธากับการเมือง
 
 
หากเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ระยะเวลาที่ผ่านมาคงเป็นช่วงวัยสุดท้ายของชีวิต แต่สำหรับ 79 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย ดูเหมือนยังเป็นเพียงวัยที่กำลังเรียนรู้ วัยที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ความหวังที่ว่ากลไกที่ขับเคลื่อนจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สุขุม รอบคอบใช่คึกคะนองแย่งชิงอำนาจอย่างผาดโผนมาเนิ่นนาน 
 และหากไม่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่ดีพอเหมือนเป็นอาหารบำรุงหล่อเลี้ยง ไม่แน่ "ประชาธิปไตย" ก็อาจเลี้ยงไม่โตเป็นเด็กโข่งไปอีกชั่วนาตาปี
 รางวัลวรรณกรรมพานแว่นฟ้า อีก "อาหารเสริมทางปัญญา" หนึ่งที่คอยป้อนสู่สังคมไทย แม้ไม่ทั่วถึงและชวนชิมเหมือนละครหลังข่าวแต่ก็ยังเดินทางการมาอย่างต่อเนื่องก้าวเข้าสู่ 1 ทศวรรษ พานแว่นฟ้า มาจากชื่อพานสองชั้น พานใบบนมีขนาดเล็กซ้อนอยู่บนใบใหญ่ พานแว่นฟ้าที่ทุกคนเห็นจนเจนตาก็คือพานแว่นฟ้าที่ประดิษฐานรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อาจอุปมาได้ว่าประชาชนคือพานใบใหญ่ ส่วนรัฐสภาคือพานใบเล็ก รวมเป็นพานแว่นฟ้าที่รองรับรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด 
 และในโอกาสครบรอบนี้จึงได้มีการมอบรางวัลพานแว่นฟ้าเกียรติยศ 10 รางวัล โดยแต่ละผลงานที่คณะกรรมการคัดเลือกมาเรียกได้ว่าล้วนอยู่ในทรงจำของยุคสมัย
 เป็น 10 ปีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในประเทศ หลายสิ่งยังย่ำอยู่กับที่ หลายอย่างวนกลับไปที่เดิม ส่วนวรรณกรรม…ต้องเดินหน้า
 
0 79 ปีแห่งความโดดเดี่ยว 
 เจน สงสมพันธุ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ผู้ดำเนินการเสวนาในหัวข้อ "หนึ่งทศวรรษรางวัลพานแว่นฟ้า : สถานการณ์วรรณกรรมการเมืองกับสังคมไทย" โดยมี ชมัยภร แสงกระจ่าง และ ประภัสสร เสวิกุล ร่วมแลกเปลี่ยน ในพิธีมอบรางวัลพานแว่นฟ้าประจำปี 2554 ที่รัฐสภา วันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา 
 ประภัสสรพูดถึงการเมืองไทยและบริบททางสังคมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมาว่าเป็นเรื่องของการขัดแย้ง เรื่องของการแบ่งปัน เรื่องของอำนาจ เริ่มด้วยการเกี่ยวข้องกันระหว่าง ประชาธิปไตย กับ ประชาธิปไตย และเกี่ยวข้องกันระหว่าง เผด็จการชาตินิยม กับ ประชาธิปไตยเสรีนิยม การเกี่ยวข้องกันระหว่าง เผด็จการขวาจัด กับ สังคมประชานิยม การเกี่ยวข้องกับ ทุนภิวัตน์ประชาสังคม กับอนุรักษนิยม 
 ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของการเมืองและวรรณกรรมการเมืองซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับบริบททางสังคมและการเมืองของไทย ถ้ามองโดยภาพรวมแล้วจะเห็นชัดเจนว่าความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของวรรณกรรมสอดคล้องกับสภาพการณ์ทางสังคมและการเมืองโดยตลอดมาตั้งแต่เริ่มต้น
 โดยยกเลข 4 มาเป็น "หมุด" ในเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เว้นช่วง 10 ปี  
 2474 กุหลาบ สายประดิษฐ์ เขียนเรื่องมนุษยภาพ ลงในไทยใหม่รายวัน อาจถือได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองที่ชัดเจน เป็นเรื่องของมนุษย์กับการเมือง ภายในไม่ช้าไม่นานหนังสือก็ถูกแทรกแซงกิจการภายใน ถูกเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร 10 ปี ต่อมา 2484 เป็นช่วงของลัทธิชาตินิยม สด กูรมะโรหิต เขียนเรื่องเกี่ยวกับเมืองจีนไว้ 2 เรื่องคือปักกิ่ง นครแห่งความหลัง และคนดีที่โลกไม่ต้องการ ช่วงก่อนหน้านั้นไม่นาน ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน์ เขียนเรื่องเมืองนิมิตร 
 2494 ในช่วงของการมอบเรือขุดแมนฮัตตัน ทหารเรือส่วนหนึ่งจับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ควบคุมไว้ในเรือศรีอยุธยาแล้วใช้ระเบิดถล่มเรือจมลง แต่จอมพล ป. หนีรอดมาได้ 2504 เป็นยุคมืดของการเมืองแล้วก็วรรณกรรมไทย มีการปฏิวัติ 2502 ในช่วงเวลานั้นมีนักเขียน 4 ท่านที่ยุคต่อมาดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยถูกจับกุมคุมขังถึง 4 คน คือ อุทธรณ์ พลกุล สุวัฒน์ วรดิลก ฉัตร บุณยะศิริชัยและทองใบ ทองเปาด์ 
 2514 จอมพลถนอม กิตติขจร ปฏิวัติตัวเองและอีก 2 ปีต่อมาก็นำไปสู่การเคลื่อนไหวของนักศึกษาประชาชน 2524 เกิดกบฏเมษาฮาวายในเดือนเมษายนโดยกลุ่มยังเติร์ก กุมภาพันธ์ 2534 คณะ รสช. ปฏิวัติยึดอำนาจจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬปีถัดมา
 "พ.ศ. 2544 กุมภาพันธ์ ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งอย่างมโหฬาร เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก กรกฎาคม 2554 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในเครือของพรรคเพื่อไทย ด้วยอายุ 44 ปี อย่าเอาไปแทงลอตเตอรี่นะครับ (หัวเราะ) ก็เป็นอันว่าก็น่าแปลกที่การเมืองไทยและวรรณกรรมไทยเกี่ยวพันกันด้วยเลข 4 แล้วก็มีความเคลื่อนไหวทุก ๆ 10 ปีเสมอ" ประภัสสรมองอย่างชวนคิด
 แม้ไม่มีฝนตกยาวนาน 4 ปี 11 เดือน เหมือนใน "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" ของกาเบรียล กาเซีย มาเกซ นักเขียนรางวัลโนเบล แต่บรรยากาศทึบทึมของ "ฝนอำนาจ" ที่ตกยาวนาน ตัดสายใยระหว่างนักการเมือง จริยธรรม ศิลปะวรรณกรรม และประชาชนให้อยู่คนละบ้านกันตลอด 79 ปีนั้นให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งกว่า
 
0 วิวัฒนาการวรรณกรรม
 ชมัยภร แสงกระจ่าง เป็นอีกผู้หนึ่งที่มองเห็นเหตุการณ์ทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงของวรรณกรรมไทยมาตลอด ตั้งแต่สมัยเข้าศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในคณะอักษรศาสตร์ การได้ไปออกค่ายอาสาซึ่งรวมหลายมหาวิทยาลัย ทำให้ที่ได้อ่านบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ ที่ชื่อ เปิบข้าว เป็นครั้งแรก
 "ตอนนั้นยังไม่รู้จักจิตร ภูมิศักดิ์ แล้วก็ยังไม่รู้จักศิลปะเพื่อชีวิตเพื่อประชาชนของจิตร ภูมิศักดิ์เลย แต่เห็น เปิบข้าว แล้วก็เห็น อีศาน ของนายผี ซึ่งทั้งสองชิ้นก็มาเป็นพานแว่นฟ้าเกียรติยศในวันนี้ เป็นครั้งแรกที่คิดว่าบทกวีอย่างที่เราคิด สิ่งที่เราเคยอ่านมาว่ามีแต่ความงามอย่างเดียวมันไม่ใช่ มีเนื้อหาอยู่แต่ทางบวกอย่างเดียวก็ไม่ใช่ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่จุดประกายขึ้นมา"
 นอกจากนั้นยังมีนักเขียนที่เป็น "โมเดล" เช่น วิทยากร เชียงกูล, สุชาติ สวัสดิ์ศรี ที่นำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ทำให้ตัวบทกวีซึ่งจากที่ชมัยภรคิดว่าเป็นความงามอย่างเดียวกลายเป็นมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับสังคมชัดเจนขึ้น 
 พอมาถึงช่วง 14 ตุลา 2516 เป็นจุดพลิกของวรรณกรรมทุกประเภท เพราะช่วงเวลาก่อนหน้านั้นมีการกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ เมื่อประชาชนถูกอำนาจกดไว้นานมากพอถึงเวลาแตกหักจึงรุนแรงเหมือนระเบิด วรรณกรรมเพื่อชีวิตหรือวรรณกรรมการเมืองเกิดขึ้นมาในช่วงนั้น กวีนิพนธ์เพื่อชีวิตเป็นงานที่สามารถใช้ได้กับการใช้ชีวิตในสังคม อย่างเช่นที่ วิสา คัญทัพ เขียน เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นอีกวรรคทองที่ผู้คนจดจำมาตลอด พอได้เสรีภาพทั้งผู้คนนักศึกษาย้อนกลับไปเสาะหาวรรณกรรมในยุคก่อนั้นมาอ่านกันอย่างแพร่หลาย 
 แต่เมื่อมาถึง 6 ตุลา 2519 วรรณกรรมการเมืองมีอันต้องหายตัวหลบซ่อนอีกครั้งไม่เช่นนั้นต้องถูกปราบปราม พร้อมกับนักศึกษาหลบหนีเข้าป่าเป็นจำนวนมาก เวลาผ่านไปสถานการณ์คลี่คลายลง นักศึกษาคืนสู่บ้านวรรณกรรมการเมืองจึงเปลี่ยนแปลงไป
 "ในที่สุดทางรัฐบาลไทยก็เลยออกนโยบายคืนสู่เหย้า นักศึกษาก็กลับเข้าเมือง ถ้าไม่ออกตอนนั้นตอนนี้อาจจะไม่มีใครตั้งหลายคนนะ (หัวเราะ) นักศึกษาที่คืนกลับเข้ามาก็มาอยู่ในสังคมอย่างเป็นปกติ วรรณกรรมปรับตัวเกิดช่วงหนึ่งที่เราเรียกว่าช่วงหนึ่งที่มันปรับตัวเอง คุณสุชาติ (สุชาติ สวัสดิ์ศรี) ใช้คำว่าเป็นวรรณกรรมชีวิต แทนที่จะเป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิต กลายเป็นวรรณกรรมชีวิตคือสะท้อนชีวิต" ชมัยภรเล่าถึงการเปลี่ยนแปลง
 การเสื่อมสลายลงไปของวรรณกรรมเพื่อชีวิตประเภทเรื่องสั้นมาจากการที่ตัววรรณกรรมนั้นเหมือนกับเพลงลูกทุ่งคือร้อยเนื้อหนึ่งทำนอง ประภัสสรอธิบายว่า Instant Literature คล้ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไม่ได้มีความคิดใหม่ขึ้น ผู้เขียนอยู่ในสังคมเดียวกัน อยู่ในปัญหาเดียวกันและเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกันจึงไม่มีทางออกที่ใหม่ เรื่องวกกลับไปสู่ระบบเก่า มีตัวละครแบบเก่า เหตุการณ์แบบเก่า ๆ ทำให้วรรณกรรมเพื่อชีวิตในระยะเวลาต่อมาค่อย ๆ เสื่อมถอยลงไป แปรเปลี่ยนไปสู่วรรณกรรมชีวิตแทน
 ประภัสสรยังให้ข้อสังเกตว่าหากในยุคสมัย 2514 มีการสื่อสารรวดเร็วอย่างทุกวันนี้ วรรณกรรมการเมืองคงไม่เกิดขึ้นอย่างเช่นการปฏิวัติดอกมะลิในหลายประเทศที่คนออกมาชุมนุมเพราะเฟซบุ๊ค
 "ผมว่าสิ่งนี้สะท้อนภาพหลายอย่าง สมมติว่าถ้าเรามีเวลาคิดมีเวลาเขียน แล้วก็มีเวลามองเหตุการณ์เราก็คงจะสร้างงานที่ดี ๆ ได้อย่างมากมาย แต่ถ้าเราดำเนินตัวเองไปตามกระแสของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมันก็คือการสูญเสียในเรื่องของความคิด เรื่องของอุดมคติ มันก็จะกลายเป็นแบบม็อบชวนมุงไป"
 
0 ทางข้างหน้า
 เป็นภาระที่ท้าทายของนักเขียนรุ่นใหม่ที่จะสร้างรอยเท้าของตนเอง หลีกหนีจากทำนองเดียวของวรรณกรรมการเมืองในยุคก่อน แต่มีบางคนอาจคิดว่าการสร้างสรรค์ที่ดีนั้นต้องเกิดขึ้นในภาวะอับจน หากบ้านเมืองไม่วิกฤติหรือคับขันจะไม่สามารถก่อพลังในการสร้างงานที่ดี เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ชมัยภร หรือในอีกนามปากกา ไพลิน รุ้งรัตน์ นักวิจารณ์วรรณกรรมผู้คร่ำหวอดมีแง่คิดที่น่าสนใจ
 "ก่อนหน้านี้เราคิดว่าจะสามารถคัดงาน 10 ปีย้อนหลังได้ เราก็พยายาม แต่คัดไม่ได้ 2554 ย้อนหลังไป 2544 คือ 10 ปีที่เราทำรางวัลพานแว่นฟ้ามา แล้วเราจะคัดงานที่ไม่ใช่งานรางวัล แต่คืองานที่นักเขียนทั่วไปเขียนจะมีงานชิ้นไหนโดดเด่นขนาดเป็นแบบอย่าง เราคัดไม่ได้ เรารู้สึกว่ามันไม่ขึ้นมา เราเลยตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้ามองย้อนกลับไปงานชิ้นไหนที่เป็นวรรณกรรมการเมืองที่ยังอยู่ในความรู้สึกของเรา ยังอยู่ในใจเรา"
 "งานที่จะประทับใจ งานที่จะอยู่นาน เป็นงานที่ผู้เขียนรู้สึกเองอย่างจริงใจต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังเขียนนั้น เป็นปัญหาจริง ๆ ที่ตัวเขาเองเป็นผู้เผชิญด้วย หรือบางชิ้นอาจจะไม่ได้เกิดจากตัวเขาเป็นผู้ถูกกระทำ แต่เกิดจากการเคี่ยวความคิดจนข้น อยู่ในความคิดตลอดเวลา เห็นถึงความตั้งใจ เห็นถึงความเคี่ยวกรำอันนั้น งานแบบนี้ทำให้เราต้องคิดต้องสงสัยอยู่ตลอด อย่าง คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวังจากครรภ์ถึงเชิงตะกอน  เป็นส่วนหนึ่งของงานที่อาจารย์ป๋วย (ป๋วย อึ๊งภากรณ์) เขียน บางทีเราไม่เคยตั้งคำถามกับชีวิตเราเลยว่าเราควรจะทำอะไร ชีวิตนี้เราเกิดมาทำไม วัน ๆ เราเล่นอย่างเดียว แต่อาจารย์ป๋วยทำให้เราถามตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่ เราได้อะไร ควรจะมีความหวัง ควรจะคิดอย่างไร มันสะท้อนความเป็นมนุษย์ ทำให้เราตกใจ หันมามองตัวเอง" ชมัยภรเล่าถึงที่มาของพานแว่นฟ้าเกียรติยศ
 จากผลงาน 729 ผลงานในปีนี้รางวัลชนะเลิศวรรณกรรมพานแว่นฟ้าประเภทเรื่องสั้นไม่มีผลงานใดถึงเกณฑ์ที่จะได้รับรางวัล รางวัลรองชนะเลิศ 2 รางวัลเป็นของ ไมเคิล เลียไฮ จาก "ผีดิบ" เสียดสีระหว่างความเป็นคนและผีดิบบนเวทีการเมือง อีกชิ้นหนึ่งของ นรภัลลภ ประณุทนรพาล จาก "ไม่มีแผ่นดินอยู่" เรื่องราวความไม่สงบในบ้านเมืองจนต้องทำให้ผู้คนสูญเสียทุกอย่างแม้กระทั่งบ้านตัวเอง และยังได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทบทกวีอีกด้วยจาก "มนุษย์เหวย เหวยมนุษย์" รวมเงินรางวัลที่เขาได้รับจากเรื่องสั้น 1 ชิ้นและบทกวี 1 ชิ้นรวม 8 หมื่นบาท! นับเป็นรางวัลที่มีมูลค่าสูงทีเดียว สำหรับผู้ที่สนใจจะส่งผลงานเข้าประกวดบ้างไม่ควรละเลยคำแนะนำจากประภัสสร เสวิกุล นักเขียนวรรณกรรมอาวุโส
 "ผมเคยถามคุณพินิจ นิลรัตน์ว่าคิดยังไงกับการประกวดวรรณกรรม จะต้องเขียนยังไงถึงจะชนะใจกรรมการ พินิจบอกว่า อย่าไปคิดถึงเรื่องชนะใจกรรมการ อย่าเขียนตามใจกรรมการ แต่ให้เขียนตามใจของตัวคุณเอง เพราะงานที่ตามใจกรรมการคืองานที่เดินตามรอย ปีที่แล้วแนวนี้ได้ ปีนี้เอาแนวนี้อีก ซึ่งอาจจะไม่เสมอไปว่าจะได้ ฉะนั้นถ้าคุณคิดของคุณเอง เขียนในแบบของคุณเอง คุณสร้างงานขึ้นใหม่ คุณนั่นแหละกำลังชนะใจกรรมการอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มต้น อย่าตามใจกรรมการแต่จงตามใจตัวเอง" ประภัสสรทิ้งท้าย
 ส่วนชมัยภรฝากข้อคิดกับนักเขียนทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่าที่จะส่งผลงานเข้าประกวดว่ากวีนิพนธ์ในช่วงหลังไม่ติดอยู่ในความทรงจำ ยังขาดพลังที่ทำให้ประทับใจทั้งที่โดยรูปแบบแล้วงานกวีนิพนธ์มีพลังมากที่สุด จึงฝากคำถามว่าทำไมกวีนิพนธ์ถึงมีปัญหา เป็นหน้าที่ของคนที่ส่งกวีนิพนธ์ประกวดว่าจะสร้างสรรค์อย่างไรให้ประทับใจและติดปากติดหูอยู่ในความทรงจำได้ ส่วนอีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องของรูปแบบในการสร้างสรรค์
 "เราสนใจรูปแบบจนกระทั่งเนื้อหาถูกกลบไปใช่ไหม ทำให้กรรมการจำไม่ได้ เก๋ในเรื่องของรูปแบบมากเกินไป สร้างความซับซ้อนมากเกินไปจนเนื้อจม ก็ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จก็ช่วยกันอ่านช่วยกันดู แล้วชิ้นไหนที่เราติดใจมันใช่รูปแบบหรือเนื้อหาที่ทำให้เราติดใจ สังเกตดูติดใจทีไรเป็นเนื้อทุกที เนื้อแท้ๆ ของมันทำให้เราติด ประทับใจไม่ลืม แต่รูปแบบจะทำให้จำได้แล้วว่าคนนี้เขียนแบบแปลกๆ 
 ก็เป็นหน้าที่ของผู้เขียนจะต้องค้นหาตัวเองว่าทำอย่างไรเนื้อหาที่เราต้องการจะนำเสนอถึงจะโดดเด่นจับใจกรรมการ" 0
 
*********************************************
 
10 นักเขียนรางวัลพานแว่นฟ้าเกียรติยศ 
1. ขอบฟ้าขลิบทอง : อุชเชนี
2. คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวังจากครรภ์ถึงเชิงตะกอน : ป๋วย อึ๊งภากรณ์
3. แด่ วัยดรุณของชีวิต : ทวีปวร
4. ทานตะวันดอกหนึ่ง : เสนีย์ เสาวพงศ์
5. ธรรมาธิปไตย หลักปฏิบัติศาสนาและศีลธรรม : พุทธทาสภิกขุ
6. นักกานเมือง : ลาว คำหอม
7. เปิบข้าว : จิตร ภูมิศักดิ์
8. หมาตำรวจ : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
9. อาชญากรผู้ปล่อยนกพิราบ : ดอกประทุม หรือกุหลาบ สายประดิษฐ์
10. อีศาน : นายผี หรืออัศนี พลจันทร
 
โดย : วีรภัทร บุญมา