Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

หนังสือการ์ตูนกับการก้าวสู่แวดวงการศึกษา


          

             ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รูปแบบของงานศิลปะการ์ตูนได้พัฒนาและเฟื่องฟูขึ้นมาก ก่อให้เกิดความสนใจในแวดวงการศึกษา ศิลปะและวรรณกรรม โรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาได้นำหนังสือการ์ตูนไปใช้เป็นเครื่องมือทางการศึกษา ขณะที่ยังมีโรงเรียนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดถือความเชื่อแบบเดิมๆ เกี่ยวกับหนังสือการ์ตูน การใช้หนังสือการ์ตูนเพื่อการเรียนการสอนในโรงเรียนเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างใหม่ แต่โรงเรียนที่จัดให้มีโปรแกรมการสอนและมีชั้นเรียนที่เรียนด้วยหนังสือการ์ตูนก็ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก
             ศักยภาพทางของหนังสือการ์ตูนในทางการศึกษา เพิ่งจะได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่เมื่อไม่มานมานี้เอง
การพิจารณาถึงเหตุผลและเบื้องหลังการมองข้ามหนังสือการ์ตูน คงต้องย้อนกลับไปทบทวนถึงประวัติความเป็นมาของหนังสือการ์ตูนในทางการศึกษาตั้งแต่ปี 1933 ซึ่งถือเป็นปีที่เกิดขึ้นของหนังสือการ์ตูนสมัยใหม่ จนถึงปัจจุบัน และจากนั้นเราก็จะมาดูกันถึงจุดแข็งของหนังสือการ์ตูนในฐานะงานวรรณกรรมรูปแบบหนึ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือทางการศึกษา
             ในปี 1933 พนักงานของสำนักพิมพ์อีสเทอร์น คัลเลอร์ 2 คน ได้ให้กำเนิดหนังสือการ์ตูนสมัยใหม่อย่างไม่ได้ตั้งใจ ด้วยการรวบรวมการ์ตูนจากหนังสือพิมพ์ที่นิยมอ่านกันในสมัยนั้นนำมาจัดพิมพ์รวมเล่มเป็นนิตยสารแท็บลอยด์ ความคิดสร้างสรรค์ที่ธรรมดาๆ นี้ได้ส่งผลให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมหลายล้านดอลล่าร์ในทศวรรษนั้น และกลายเป็นปรากฏการณ์ต่อวัฒนธรรมของ
ชาวอเมริกัน
            ในช่วงทศวรรษที่ 1940 ประมาณการว่า ร้อยละ 95 ของกลุ่มวัย 8-14 ปี และร้อยละ 65 ของกลุ่มวัย 15-18 ปี อ่านหนังสือการ์ตูน (Sones, 1944)
            โรงเรียนและสถานศึกษาต่างๆ เริ่มตั้งข้อสังเกต มีการอภิปรายโต้แย้งกันตลอดทั้งทศวรรษ มีการวิจัยและงานเขียนทางวิชาการเกี่ยวกับคุณค่าทางการศึกษาของหนังสือการ์ตูน  ดับเบิลยู ดี โซนส์  ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยพิทท์สเบอร์ก รายงานว่าระหว่างปี 1935-1944 หนังสือการ์ตูนได้ “ปลุกให้เกิดบทความวิพากษ์วิจารณ์เป็นร้อยๆ บทความ ทั้งในวารสารด้านการศึกษาและนิตยสารทั่วๆ ไป”
             ในช่วงต้นทศวรรษ 1940 โซนส์ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการนำหนังสือการ์ตูนมาใช้ทางการศึกษา และนักวิชาการอีกหลายคนในสมัยเดียวกันนี้ก็ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยในรูปแบบคล้ายๆ กัน เช่น โรเบิร์ต ธอร์นไดค์ และจอร์จ ฮิลล์ได้วิเคราะห์คำศัพท์จากคำที่พบในหนังสือการ์ตูน ขณะที่พอล วิตตี้ได้สำรวจการอ่านเนื้อหาของหนังสือการ์ตูนจากเด็กๆ ในโรงเรียนจำนวน 2,500 คน
             นักการศึกษาเริ่มออกแบบหลักสูตรที่สนับสนุนการใช้หนังสือการ์ตูน เช่นมีการจัดทำแบบเรียนศิลปะการใช้ภาษาที่มีซุปเปอร์แมนเป็นตัวเอก
จากนั้นอีกไม่กี่ปี หน่วยงานร่างหลักสูตรของมหาวิทยาลัยพิทท์สเบอร์ก และหน่วยวิจัยปฏิบัติการด้านการ์ตูนของมหาวิทยาลัยนิวยอร์คซิตี้ ได้ออกแบบหลักสูตรการเรียนโดยใช้หนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ พัคค์ (Puck) และทดลองนำไปปฏิบัติการในห้องเรียนของเด็กอเมริกันหลายร้อยห้องเรียน
            การใช้หนังสือการ์ตูนในทางการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่วารสารสังคมวิทยาทางการศึกษา (Journal of Educational Sociology) ให้ความสนใจและลงพิมพ์จำเพาะบทความในประเด็นนี้ตลอดทั้งเล่มในฉบับที่ 4 (ปีที่18) ในปี1944
            นั่นเป็นเหตุการณ์ที่แสดงความตื่นตัวของนักการศึกษาที่เห็นศักยภาพของการใช้หนังสือการ์ตูน เพื่อส่งเสริมการศึกษาในระบบโรงเรียน แต่เพียงปลายศตวรรษนั้นเองหนังสือการ์ตูนก็ถูกต่อต้าน ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางความก้าวหน้าในการเรียนของเด็กและเยาวชน
เป็นเวลายาวนานร่วมสามทศวรรษ กว่าที่หนังสือการ์ตูนจะผงาดขึ้นในวงการศึกษาสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่งถึงทุกวันนี้

 

 

ภาพจาก :http://learners.in.th