มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

หนังสือ 3 เล่ม รางวัลลูกโลกสีเขียว

 

 
นี่เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่จะช่วยกระตุ้นจิตสำนึกความคิดผู้คนในสังคมไทยให้หันมาใส่ใจดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
 
 
นี่เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่จะช่วยกระตุ้นจิตสำนึกความคิดผู้คนในสังคมไทยให้หันมาใส่ใจดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งประกาศยกย่อง สนับสนุน ตลอดจนเป็นกำลังใจ และเผยแพร่ผลงานด้านต่างๆ ของบุคคลและชุมชนที่ให้ความสนใจในการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม
 
โครงการประกวด 'รางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 12' ประจำปี 2553 ได้น้อมนำแนวพระราชดำริเรื่องความพอเพียงมากำหนดเป็นหัวข้อ 'วิถีพอเพียง แบ่งปัน ผูกพัน ดิน น้ำ ป่า' โดยแบ่งผลงานออกเป็น 7 ประเภท จากการรับสมัครและสรรหาเข้าประกวดทั้งสิ้น 601 ผลงาน ได้ผ่านการคัดกรองจากคณะทำงานในแต่ละภูมิภาคลงพื้นที่พิจารณาก่อนส่งให้คณะกรรมการตัดสินพิจารณาได้จำนวน 44 ผลงาน และคณะกรรมการตัดสินพิจารณาให้มีผลงานที่ได้รับรางวัลทั้ง 7 ประเภท จำนวน 43 รางวัล ได้แก่ ประเภทชุมชน 8 รางวัล ประเภทบุคคล 6 รางวัล ประเภทกลุ่มเยาวชน 6 รางวัล ประเภทงานเขียน 3 รางวัล ประเภทความเรียงเยาวชน 12 รางวัล ประเภทสื่อมวลชน 2 รางวัล และรางวัล สิปปนนท์ เกตุทัต 5 ปีแห่งความยั่งยืน 6 รางวัล
 
พร้อมทั้งได้จัดงานประกาศผลและมอบรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 12 ประจำปี 2553 ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ณ อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) โดยมี อานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัลลูกโลกสีเขียว เป็นประธาน ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักมากทีเดียว
 
ประเภทงานเขียน นั้นมีผลงานได้รับ รางวัลดีเด่น 2 รางวัล รับเงินรางวัลละ 50,000 บาท ได้แก่ นักล่าแห่งท่าลิงลม โดย ผศ.ดร.พิทักษ์ ศิริวงศ์ (พิมพ์ครั้งแรก : มกราคม 2553) เป็นงานวิจัยเรื่องวิถีชีวิตของชุมชนพื้นถิ่นบริเวณเขื่อนแก่งกระจานที่อาศัยฐานทรัพยากรในการดำรงชีวิต ทั้งก่อนหน้าที่จะมีการสร้างเขื่อนและหลังจากมีเขื่อนแล้ว และสะท้อนให้เห็นภาพ 'ผู้ล่า' ที่เปลี่ยนมาเป็น 'ผู้รักษา' เนื้อหาสอดคล้องกับหัวข้อการประกวด วางรูปแบบให้น่าสนใจด้วยการสร้าง 'ตัวละคร' ซึ่งเป็นบุคคลจริง นำเสนอคู่กับข้อมูลเชิงวิชาการในพื้นที่ เป็นงานเชิงวิชาการที่ทำให้อ่านเข้าใจง่าย และจัดแบ่งเนื้อหาน่าอ่าน 
 
ลมหายใจของแผ่นดิน โดย สิทธิเดช กนกแก้ว (พิมพ์ครั้งแรก : พฤษภาคม 2553) รวมบทกวีนิพนธ์จำนวน 45 บท เนื้อหาเกี่ยวกับงานอนุรักษ์ในด้านต่างๆ และการใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และในฐานะที่เป็นครู หลายบทจึงเป็นเน้นเรื่องการปลูกจิตสำนึกให้กับเด็กได้เข้าใจและรักธรรมชาติ ผู้แต่งเป็นอดีต 'ครูบ้านนอก' ที่มีมุมมองเรื่องธรรมชาติ งดงาม หลากหลายมิติ ทั้งทรัพยากรดิน น้ำ ป่า และวิถีชีวิตพื้นบ้าน สามารถถ่ายทอดจนมองเห็นภาพของเรื่องราวเหล่านั้นได้ชัดเจน เป็นกวีนิพนธ์ที่มีเนื้อหาครอบคลุมหัวข้อการประกวดและใช้ภาษาที่มีชั้นเชิงหลากหลายด้วยการใช้ฉันทลักษณ์
 
ส่วน รางวัลชมเชย 1 รางวัล รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่ ดินแดนซาเลา โดย วิภู ชัยฤทธิ์ (ตีพิมพ์เป็นตอนในหนังสือ MT Los Angeles, สหรัฐอเมริกา 2551 พิมพ์ร่วมเล่มครั้งที่ 2 : ตุลาคม 2552) เป็นหนังสืออ่านสำหรับเยาวชนที่มีอารมณ์ขัน สะท้อนให้เห็นความผูกพันระหว่างคนกับสัตว์ ป่า สร้างตัวละครที่สะท้อนให้เห็นความผูกพันระหว่างคนกับสัตว์ ป่า แต่ขาดน้ำหนักของวิถีชีวิต ชาวซาไกที่มีแง่มุมน่าสนใจในการพึ่งพาป่า เนื่องจากเขียนเป็นตอนเพื่อลงตีพิมพ์ในเอกสารประเภทจุลสารซึ่งไม่เคยมีความต่อเนื่อง ทำให้การร้อยเรียงเนื้อหาไม่เชื่อมโยง
 
******************
 
0 นักล่าแห่งท่าลิงลม : ผศ.ดร.พิทักษ์ ศิริวงศ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการชุมชน คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี นักเขียนและนักวิจัยเกี่ยวกับการจัดการชุมชน 
 "เนื่องจากเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการชุมชนทำให้ต้องพาลูกศิษย์หรือน้องๆ นักศึกษาลงพื้นที่บ่อยๆ โดยเฉพาะแก่งกระจานไปบ่อยมาก เลยได้พบเห็นปัญหาเรื่องของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ คิดว่าน่าเอามาเขียนเป็นหนังสือเล่มนี้ เพื่อให้เป็นชุมชนต้นแบบของชุมชนเหนือเขื่อน โดยเขียนง่ายๆ อ่านง่ายๆ ถ้ามีโอกาสอ่านแล้วจะได้เข้าใจว่าการพัฒนาและการจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติของชุมชนเหนือเขื่อนแก่งกระจานเป็นอย่างไร เพราะชุมชนต้นแบบนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ จากนักล่าหันมาเป็นผู้อนุรักษ์มันเกิดขึ้นยากมาก เพราะทุกคนจะเห็นประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่ แต่ชุมชนเหล่านี้ออกกฎเกณฑ์กติกาเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วยภูมิปัญญาของชุมชนเอง
 
ผมมีงานวิจัยเกี่ยวกับชุมชนอยู่จำนวนเยอะมาก เลยอยากเอางานวิจัยมาเขียนหรือย่อยให้อ่านง่าย ทำยังไงก็ตามให้เป็นสารคดี คือทำให้มีภาพประกอบเยอะๆ เพราะปัญหาทุกวันนี้คือมนุษย์หันมาใช้เงินเป็นตัวตั้ง ต้องหาเงินเพื่อการพาณิชย์ เมื่อมนุษย์ต้องหาเงินทำให้ไม่รู้จักพอ เหมือนกับท่านมหาตมะ คานธี กล่าวไว้ว่าทรัพยากรนั้นมีเพียงพอสำหรับทุกคน แต่ไม่มีเพียงพอสำหรับคนโลภแม้แต่คนเดียว มันเป็นเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย และต้องมีรูปแบบการจัดการที่ดี ตราบใดที่ละโมบในที่สุดทรัพยากรมันก็หมด เพราะมันมีอยู่อย่างจำกัด ผมพยายามเขียนกระตุ้นแล้วตั้งคำถามไว้ด้วย ท้ายที่สุดมันเป็นความท้าทายให้คนหันกลับมาดูแลชุมชนของตัวเอง
 
จริงๆ งานเขียนแนวนี้ไม่ได้เป็นงานเขียนแนวตลาดเพราะคนชอบอ่านนิยายหรือเป็นบันเทิงมากกว่า ถ้าจะหวังผลทางตลาดมันยากมาก แต่ผมใช้สำหรับประกอบการเรียนเลยไม่ได้ห่วงตรงนี้อยู่แล้ว ถ้าจะเขียนเป็นอาชีพหลักมันคงยากมากสำหรับประเทศนี้ แต่ประเทศอื่นหนังสือแนวนี้อยู่ได้ จริงๆ มันเป็นเรื่องที่มีประโยชน์และเป็นบทเรียนสำหรับสังคมด้วย โดยเฉพาะการกลับไปหาวิธีแบบเดิมๆ ของแต่ละชุมชนจะมีวิธีบูรณาการความรู้แบบดั้งเดิมกับความรู้ใหม่ได้อย่างไร
 
ผมมองว่าเป็นเรื่องของ 'เศรษฐกิจสร้างสรรค์' หรือที่เรียกว่า creative economy ถ้าจะกลับไปสู่รากเหง้าแบบดั้งเดิมเลยคงไม่ใช่แน่นอน แต่จะประยุกต์บูรณาการอย่างไรให้ประเทศชาติอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง ดีกว่าจะไปรับเทคโนโลยีจากตะวันตก เพราะว่าทุนนิยมไม่ใช่คำตอบของบ้านเรา ประเทศต้นแบบของเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ นำภูมิปัญญาดั้งเดิมมาสร้างสรรค์สินค้าแนวใหม่จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก"
 
0 ลมหายใจของแผ่นดิน : สิทธิเดช กนกแก้ว ข้าราชการครูโรงเรียนประชาราษฎร์อุปถัมภ์วิทยา กรุงเทพมหานคร สอนวิชาภาษาไทย ระดับประถมศึกษา และเป็นนักเขียนกลุ่มวรรณกรรมใบขวาน จังหวัดสุรินทร์
 
"บทกวีชุดนี้เขียนเก็บรวบรวมมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2551 บางส่วนเคยตีพิมพ์ไปบ้างตามหน้านิตยสารต่างๆ พอดีเห็นหัวข้อประกวด 'วิถีพอเพียง แบ่งปัน ผูกพันดิน น้ำป่า' คิดว่างานเขียนของเรามีอยู่แล้ว เพียงแต่จะดึงออกมาให้มันเป็นเล่มได้อย่างไร ตรงไหนที่ขาดไปก็เขียนเพิ่มขึ้นยาวกว่า 100 หน้า พอจะส่งเข้าประกวดรางวัลลูกโลกสีเขียวเลยต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหาบ้าง ทั้งหมดจำนวน 45 บท เอาไปให้เพื่ออ่านบ้าง ผลัดกันไปบ้าง อ่านเองบ้าง หรือถ้าเป็นเด็กก็จะให้อ่านเป็นชิ้นเบาๆ ไป คงไม่ได้อ่านทั้งเล่ม ไม่ได้คิดว่าจะได้รางวัลเพราะเป็นบทกวี ส่วนใหญ่งานเขียนที่เคยได้รับรางวัลจะเป็นแนวสารคดีมากกว่า แต่ผมแค่อยากทำส่งเท่านั้นเอง
 
เนื้อหาเกี่ยวกับการสอนนักเรียนเป็นหลักเพราะชีวิตผมสัมผัสอยู่กับเด็ก เป็นแนวเกี่ยวกับเด็กเกี่ยวกับนักเรียนเพื่อสอนชีวิตให้เด็กอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติได้อย่างไร มองเห็นตั้งแต่เป็นภาพเล็กๆ อย่างหนอนกินผักแล้วเห็นนกบินมากินตัวหนอน โดยธรรมชาติมันเกื้อกูลกันอยู่แล้ว สิ่งที่เรามองเห็นมันก็ดีอยู่แล้ว แทนที่จะทำนาอย่างเดียวก็หาต้นอะไรมาปลูกบ้าง ตรงนี้ผมอยากสะท้อนชีวิตของชาวไร่-ชาวนาหรือวิถีชีวิตชาวนาไทย วิถีชีวิตครอบครัว เพราะผมเป็นคนอีสานอยู่จังหวัดสุรินทร์ ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตพ่อแม่ว่าอยู่กันมาอย่างไร หาปู หาปลา ตามธรรมชาติก็อยู่มาได้
 
เลยอยากจะสะท้อนชีวิตที่เคยอยู่กับธรรมชาติ ผูกพันกับธรรมชาติ แต่ทุกวันนี้ต้องมาอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารเคมี คือลงทุนเพื่อที่จะให้ได้จำนวนมาก แต่กำไรกลับได้น้อย ผมอยากให้กลับไปใช้ชีวิตกับธรรมชาติอย่างเดิม
 
อย่างมุมมองของผมคือโดยธรรมชาติสร้างสรรค์ลงตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามนุษย์อยากได้มากขึ้นเพื่อตอบสนองระบบทุน ทำให้ความยั่งยืนในชีวิตได้รับผลกระทบจากสารเคมี ผมอยากให้อยู่กันแบบเรียบง่ายดีกว่า เหมือนข่าวน้ำท่วมอยู่เวลานี้เป็นเพราะไปสร้างฝายขวางทางน้ำ ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ และตอนนี้ผมกำลังทำต้นฉบับการสอนคุณธรรมจริยธรรมเป็นวรรณกรรมเยาวชนเพื่อประกวดของกระทรวงศึกษาธิการ พิมพ์เป็นบทกวีเยาวชนชื่อ 'แสงเทียนส่องทางไทย' เพราะเยาวชนนี่แหละคือความหวังของประเทศ ทำสิ่งดีๆ กับเยาวชนแล้วประเทศจะดีเอง"
 
0 ดินแดนซาเลา : วิภู ชัยฤทธิ์ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ MT รายสัปดาห์ หนังสือพิมพ์สำหรับคนไทยที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา และนักเขียนอิสระ
 
"หนังสือเล่มนี้เป็นวรรณกรรมเยาวชนเกี่ยวกับชาวเมืองที่เข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับเงาะป่าด้วยทัศนคติแตกต่างกัน คือต้องการเข้าไปสอนเงาะป่าให้มีวิธีคิดแบบตัวเอง จริงๆ แล้วพวกเงาะมีประสบการณ์ในการดำรงชีวิตในป่าที่ดีกว่า แต่ก็มีองค์ความรู้บางอย่างที่เอามาจากในเมืองแล้วไปประยุกต์ใช้ในป่าได้ แปลว่าสิ่งที่เรียนรู้มาก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์เสียทีเดียว
 
แต่ไม่ได้หมายความว่าความรู้จะต้องเป็นแบบจากป่าสู่เมืองหรือจากเมืองสู่ป่า ความรู้มันต้องบูรณาการ เป้าประสงค์ที่สำคัญของเรื่อง คือต้องการให้มองเห็นความสำคัญของทุกชีวิต ไม่ใช่มองว่าพวกเงาะเป็นคนป่า คุณเป็นเมืองคุณแล้วจะเหนือกว่าเขาหรือแม้กระทั่งว่านั่นเป็นสัตว์ นั่นเป็นต้นไม้ อยากจะสะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้าย คนป่า หรือคนในเมือง ทุกอย่างจะต้องอยู่อย่างเกื้อกูลกัน มันถึงจะอยู่กันได้อย่างยั่งยืน
 
ก่อนจะเขียนหนังสือเล่มนี้ผมเคยเขียนหนังสือให้สำนักพิมพ์พิมพ์ แต่งานพวกนั้นมันต้องตอบโจทย์ของสำนักพิมพ์ เช่น งานวัยรุ่น รักหวานแหวว ก็เพราะมันขายได้ แม้แต่ว่าหลายเรื่องที่เขียนมันมีประเด็นอื่นๆ นอกจากนั้นก็เลยมองว่าจะทำอย่างไรให้งานที่สำนักพิมพ์มองว่าขายไม่ได้ แต่เราเห็นว่ามันมีคุณค่าได้ผลิตออกมาโดยที่ไม่ต้องสนใจว่าจะได้กำไรหรือไม่ แต่เราต้องมั่นใจก่อนว่างานนั้นมีคุณค่าเพียงพอที่จะพูดถึง พอเรามีหลักคิดเรื่องงานที่มีคุณค่าเป็นสำคัญแล้ว งานที่มีเหล่านั้นก็จะออกมาเรื่อยๆ และผมเชื่อว่าอะไรที่มันยืนหยัดในเป้าหมายนั้นๆ แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปคนจะเริ่มเห็นเป้าหมาย เห็นคุณค่าที่เราวางไว้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วการสนับสนุนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 
คุณค่าในหนังสือเล่มนี้มีหลากหลายด้านทั้งเรื่องเพื่อนก็มี เรื่องพืชพันธุ์ก็มี เช่น กลุ่มที่เข้าไปหากล้วยไม้รองเท้านารี ผมจะยกคำคลาสสิกที่ว่า 'เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว' คุณเอามันมาเพราะมีราคาในตลาดแต่จริงๆ มันสำคัญกับระบบนิเวศน์หลายอย่างมาก แม้แต่ไม้กฤษณาที่ต้องไปตัดต้นไม้ในป่าเพื่อที่จะเอาแค่น้ำมันของมัน สิ่งเหล่านี้คือการที่เอาคุณค่าบางอย่างโดยที่ต้องทำลายชีวิตทั้งชีวิต ทำลายระบบนิเวศน์ทั้งหมดไป
 
งานชิ้นต่อไปเป็นการ์ตูนเรื่อง 'พระแก้วมรกต' ที่ทำค้างไว้แล้วคิดไว้ว่าจะทำนิทานเด็กด้วย ผมรู้จักกลุ่มที่เขาทำการ์ตูนไทย อยากจะถ่ายทอดให้มันง่ายให้มันสนุก เข้าถึงกลุ่มเยาวชนด้วย เพราะเยาวชนเป็นรากฐานสำคัญขององค์ความคิดเกี่ยวกับเรื่องคุณค่า ถ้าเยาวชนในประเทศไทยได้มีคุณค่าเป็นพื้นฐานในการคิดที่จะทำอะไรแล้ว ผมคิดว่าประเทศจะพัฒนาต่อไปได้อีกเยอะ จึงมุ่งไปที่งานการ์ตูนด้วยในอนาคต
 
ส่วนงานวรรณกรรมอื่นก็ยังไม่ทิ้งไป เพียงมองว่าเราน่าจะทำงานที่กระจายไปได้หลากหลายกลุ่ม สร้างคุณค่าแก่สังคมได้กว้างขึ้น จะสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่ว่าทำไปก่อน คิดว่าความสำเร็จไม่สำคัญเท่ากับเราลงมือทำ เพราะถ้ามันเจ๊งก็ต้องหาวิธีการกลับมายืนให้ได้อยู่ดี ทุกคนก็เป็นแบบนี้"
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.bangkokbiznews.com