Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กรณี ‘ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยฯ’ ถูกสั่งเก็บ!

 

 
กระแสข่าวความเคลื่อนไหวเล็กๆ ข่าวหนึ่งบนหน้าเวบไซต์ไม่อาจทำให้สื่อมวลชนกระแสหลักหันไปให้ความสนใจแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ และ การโฆษณา ซึ่งเป็นหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย
 
นั่นคือ เมื่อวันพุธที่ 16 มกราคม 2551 เวลา 15.35 น. อาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ ได้ยื่นฟ้อง พลตำรวจตรีสมบัติ ศุภชีวะ ในฐานะเจ้าพนักงานการพิมพ์สำหรับกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ถูกฟ้องคนที่ 2 เพื่อเพิกถอนคำสั่งของพลตำรวจตรีสมบัติ ศุภชีวะ ที่ได้มีคำสั่งห้ามขายหรือจ่ายแจกและยึดหนังสือ ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยไทย ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2550
 
สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 28 กันยายน พุทธศักราช 2550 พลตำรวจตรีสมบัติ ศุภชีวะ ผู้บังคับการ กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ในฐานะเจ้าพนักงานการพิมพ์สำหรับกรุงเทพมหานคร ได้มีคำสั่งที่ 5/2550 เรื่องห้ามการขาย หรือจ่ายแจก และให้ยึดสิ่งพิมพ์ คือหนังสือ 'ค่อนศตวรรษประชาธิปไตย ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม' ที่เขียนโดยอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ เขียนวิพากษ์วิจารณ์ประชาธิปไตยไทยที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด 80 ปี ที่จัดพิมพ์และเผยแพร่โดยสำนักพิมพ์ศึกษิตสยาม โดยเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลเพียงสั้นๆ ว่า หนังสือดังกล่าว ได้ลงโฆษณาข้อความอันขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พร้อมทั้งได้ยึดหนังสือดังกล่าวไปเป็นจำนวนมาก
 
ภายหลังจากนั้นอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ได้อุทธรณ์คำสั่งของสันติบาลไปยังพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2550 จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยมากว่า 90 วัน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด ดังนั้นอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ จึงต้องขอบารมีศาลปกครองเป็นที่พึ่ง โดยยื่นฟ้องทั้ง พลตำรวจตรีสมบัติ ศุภชีวะ และพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่ง และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 190,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
 
ทั้งนี้ ส.ศิวรักษ์ ได้ระบุไว้ในคำฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลได้ออกคำสั่งยึดหนังสือ 'ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยไทย ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม' โดยไม่ชอบธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่แจ้งแสดงเหตุผลและข้อเท็จริงใดๆ เลย ว่ามีข้อความใดในหนังสือที่หนาขนาด 272 หน้าดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างไร ทั้งไม่ให้โอกาสได้ชี้แจงก่อนจะออกคำสั่งด้วย
 
การอ้างอำนาจตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 9 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลเพื่อห้ามขาย จ่ายแจก และ ยึดหนังสือ 'ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยไทย ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม' เป็นการอ้างและใช้อำนาจกฎหมายที่ล้าหลัง ที่ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ และ การโฆษณา ซึ่งเป็นหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 45
 
นอกจากนี้เนื้อหาส่วนหนึ่งในคำฟ้องระบุว่า…
 
ผู้ฟ้องคดีสำเร็จการศึกษาเนติบัณฑิตจากประเทศอังกฤษ สำนัก The Middle Temple และ ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาปรัชญา วรรณคดี และ ประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเวลส์ (แลมปีเตอร์) ประเทศอังกฤษ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและนานาชาติ ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นนักคิด นักเขียน และ นักวิจารณ์ ที่ตระหนักถึงปัญหาสังคม ยึดมั่นและปกป้องระบอบประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ ทั้งเผด็จการในรูปแบบเก่าและเผด็จการในรูปแบบใหม่ ส่งเสริมและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสิทธิมนุษยชน รวมทั้งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพของสื่อ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของสังคมประชาธิปไตย…
 
การที่ผู้ฟ้องคดีเขียนและพูดเผยแพร่ความคิดเห็นและข้อวิจารณ์ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ก็เพื่อต้องการให้สังคมมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องประชาธิปไตย พุทธศาสนา และ มีสติตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของอวิชชา
 
ประมาณต้นปี พ.ศ. 2550 ภายหลังจากการยึดอำนาจโดยคณะรัฐประหารที่เรียกตนเองว่า "คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ซึ่งเป็นการยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยวิถีทางที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ผู้ฟ้องคดีซึ่งไม่เห็นด้วยกับการกระทำอันไม่ชอบด้วยวิถีทางประชาธิปไตยดังกล่าว ได้รวบรวมข้อเขียนและคำพูดของผู้ฟ้องคดีที่เขียนและเคยตีพิมพ์เผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2550 เป็นหนังสือชื่อ 'ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยไทย ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม' ซึ่งมีเนื้อหาที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคณะรัฐประหารและวิพากษ์วิจารณ์การเมือง
 
แล้วให้สำนักพิมพ์ศึกษิตสยามของบริษัท เคล็ดไทย จำกัด เป็นผู้จัดพิมพ์และเผยแพร่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2550 เพื่อ "จะสะกิดตาสะกิดใจให้ผู้อ่านได้ตื่นขึ้นจากการครอบงำในกระแสหลัก หรือผู้ที่ตื่นขึ้นแล้ว คงจะกล้ายืนหยัดขึ้นเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมของราษฎร เพื่อประเทศชาติและมนุษยชาติ" ดังที่ผู้ฟ้องคดีได้เขียนไว้ในคำปรารภของหนังสือดังกล่าว
 
ไม่ว่าบทสรุปจะออกมาอย่างไร ต่อไปนี้เป็นคำพูด (เพียงบางส่วน) ของ ส.ศิวรักษ์ ถึงกรณีดังกล่าว
 
>ทำไมหนังสือ 'ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยไทยฯ' จึงถูกสันติบาลสั่งเก็บ
 
อยู่ๆ ก็มีจดหมายมาถึงผม อ้างว่าหนังสือเล่มนี้ 'ได้ลงโฆษณาข้อความอันขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน' อะไรก็ว่าไป และบอกว่าให้อุทธรณ์ได้ภายใน 7 วัน ผมก็อุทธรณ์ไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งก็คือ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี แต่ไม่ตอบผม อีกเดือนเศษผมยื่นไปอีก ก็ไม่ตอบผมอีก คือมารยาทขั้นต่ำสุดมันต้องตอบ และไม่จำเป็นต้องตอบเอง ให้เลขาฯ ตอบมาก็ได้ เพราะผมไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแต่อยากให้ชี้แจงว่าเหตุผลเป็นเพราะอะไร ไม่อย่างนั้นก็สั่งระงับหรือคืนหนังสือผมมา
 
เมื่อวันพุธที่ 16 มกราคม 2551 ผมก็ไปฟ้องที่ศาลปกครอง แต่น่าแปลกประหลาดมากที่ไม่มีสื่อมวลชนสำนักไหนสนใจไปทำข่าวเรื่องนี้ เพราะเขาเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของผมกับหนังสือกับรัฐ แต่เขาไม่เข้าใจว่านี่คือการล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ล่วงสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก พูดอย่างตรงไปตรงมาคือว่าสิทธิในการแสดงออกซึ่งความจริงปลาสนาการไปจากสื่อมวลชนกระแสหลัก เพราะไม่มีใครพูดความจริง และถ้าใครพูดความจริงก็หาว่ามันบ้า นอกจากรัฐรังแกผมแล้ว สื่อมวลชนก็รังแกผมอีกด้วย เช่น มีคำสั่งไม่ให้ลงเรื่องของผมในสื่อบางฉบับ เพราะว่าผมไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐมนตรีบางกระทรวง
 
สื่อสำนักนี้ห้ามไม่ให้ลงชื่อผมด้วยซ้ำไป…เจ้าของสื่อมีอำนาจที่จะสั่งไม่ให้ลงชื่อใครก็ได้ ไม่ให้ลงบทความของใครก็ได้ และรัฐ (รัด-ถะ) กับเจ้าของสื่อไม่ได้แตกต่างกันเลย ใช้อิทธิพลอำนาจบาตรใหญ่ สิ่งที่เป็นสัจจะไม่กล้าลง วันยื่นฟ้องไม่มีสื่อเล่มไหนสนใจผมเลย พรรคพวกในวงการสื่อไม่มีใครติดตามหรือถามข่าวผมเลย
 
ประเด็นของผมไม่ใช่อะไรหรอก พื้นฐานความเป็นมนุษย์ต้องกล้าพูดสิ่งที่เป็น 'สัจจะ' ถ้าเราไม่กล้าพูดในสิ่งที่เป็นสัจจะและถูกมอมเมาโดยสื่อ สิ่งที่มอมเมากันทุกวันนี้เป็นเรื่อง 'อสัจ' ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องจริงเลย ยิ่งกว่าละครน้ำเน่า ถ้าสื่อเริ่มออกจากแวดวงนี้ได้เมื่อไรจะเดินทางไปสู่สัจจะได้เมื่อนั้น ผมบอกตลอดเวลาว่าหมดจากยุค 'กุหลาบ สายประดิษฐ์' แล้ว สื่อมวลชนไทยทรุดโทรมมาเรื่อย ผมฟ้องศาลปกครองสูงสุด และฟ้องไปที่ข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติ ด้านสิทธิมนุษยชนแล้วด้วย ผมต้องสู้ให้ถึงที่สุดในแนวทางของกฎหมาย ผมเชื่อว่าศาลปกครองเท่านั้นที่พึ่งได้
 
>จริงๆ เนื้อหาต้องการนำเสนอประเด็นอะไรเป็นหลัก
 
พูดอย่างตรงไปตรงมาเลยนะ เรื่องนี้เป็นหนังสือที่ผมเขียน เขียนเป็นบทความเกือบทั้งหมด ปีหนึ่งก็มารวมเป็นเล่มทีหนึ่ง และบังเอิญว่าปีนี้เป็นปีครบรอบ 75 ปีประชาธิปไตย คนก็มาเชิญผมไปพูดเรื่องประชาธิปไตยบ่อยๆ ทั้งหมดนี้ผมพูดแล้วพิมพ์แล้วทั้งนั้นเลย แล้วก็เอามารวมเป็นเล่ม ไม่มีอะไรที่มันรุนแรงกว่าที่ผมเคยเขียนมาแล้ว แต่อีกเรื่องหนึ่งไม่ยักเก็บคือเรื่อง 'พุทธศาสนาในเมืองไทย ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม' แรงกว่านี้อีก แต่แปลกไม่ยักเก็บ เล่มนี้ออกมา 4-5 เดือน และลงในปาจารยสารแล้วด้วย ซึ่งมีคนเอาไปลงในเวบไซต์เต็มไปหมดเลย คือ อยากเก็บก็เก็บ อยากแสดงอำนาจ
 
เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็มีจดหมายมาถึงผม เตือนด้วยความหวังดีว่าไปพูดที่ไหนอย่ากระแหนะกระแหนสถาบันพระมหากษัตริย์นัก ผมก็ตอบไปเหมือนกัน คือ เขาเห็นผมเป็นเด็ก มาสอนผมทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ พวกนี้มันกี่ปี ผมเขียนหนังสือตั้งแต่พวกมันยังไม่เกิดอีก เพราะสถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ผมก็พูดถึงทุกที ทุกสถาบันจะอยู่ได้ก็ต้องโปร่งใส ผมพูดตรงไปตรงมา
 
>หนังสือเล่มนี้พิมพ์จำนวนเท่าไรและขายไปแล้วกี่เล่ม
 
พิมพ์ไปครั้งเดียว จำนวน 2,000 เล่ม ผมฟ้องเพียง 500 เล่ม ที่เก็บของผมไป ไม่ได้ฟ้องมาก คือในทางกฎหมายผมฟ้องได้อย่างเดียว ผมเสียหายส่วนตัว แต่สำหรับผมฟ้องเพราะถือเป็นความเสียหายในเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก ถ้าใครเข้าใจจะอยู่ข้างเดียวกันกับผม ถ้าเสรีภาพมีมากขึ้น คนกล้าพูดความจริงมากขึ้น คนก็จะกล้า ไม่ใช่ปล่อยอยู่กับละครน้ำเน่า คนที่ปกครองบ้านปกครองเมืองต้องคิดในเรื่องนี้ มนุษย์ต้องเสมอกันหมด
 
>จุดยืนที่พูดถึงเสมอคือเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน
 
การแสดงออกของมนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่เรามีถ้อยคำ สัตว์เขาไม่มีถ้อยคำ เขาอาจจะมีภาษาของเขานะ แต่มันไม่เติบโตพัฒนาเท่ากับภาษามนุษย์ ภาษามนุษย์ที่พัฒนามันต้องพัฒนาไปสู่สัจจะ ถ้าพัฒนาไปสู่อสัจสังคมฉ้อฉล ขงจื๊อบอกว่าถ้ามนุษย์ไม่พูดความจริง เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นความจริง และก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นความดี คนจะสับสนฉ้อฉลหมด นี่ขงจื๊อพูดไว้เมื่อสองพันปีมาแล้ว ตอนนี้สังคมไทยสับสนฉ้อฉลหมด ไม่ยอมพูดความจริง คนทำสื่อต้องรับผิดชอบด้วยนะ มันจะต้องแก้ปัญหานี้ให้จบก่อน
 
ผมเขียนท้าไปถึงคุณสุรยุทธ์เลยว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตรงไหน ต้องอ้างข้อหาให้ชัดเจน ไม่มีเลย ต้องบอกผมมาว่ามันตรงไหน ถ้าผิดผมจะยอมรับผิด ผมเขียนจดหมายไปสองฉบับก็ไม่ตอบ ผมยังเชื่อว่าศาลปกครองเป็นศาลหนึ่งที่พึ่งได้ ผมเชื่อว่าเขามีความเป็นธรรม
 
>ก่อนหน้านี้หนังสือ 'ลอกคราบสังคมไทย' ก็ถูกสั่งเก็บเหมือนกัน
 
เรื่องนั้นถูกยึดครั้งแรกสมัย พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก หนังสือยังไม่ออกจากโรงพิมพ์เลย โดนมันยึดแล้ว ตอนนั้นเป็นเรื่องการเมือง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองเลย แต่เป็นความบัดซบของตำรวจสันติบาลแท้ๆ เลย และนายกรัฐมนตรีบัดซบยิ่งกว่านั้นอีก เพียงสั่งมาคำเดียว คืนหนังสือเขาไปซะ หรือดำเนินคดีกับมันเลย คุณสั่งได้สองอย่าง ผิดข้อไหนบ้างชี้แจงออกมาให้ชัด จับมันเข้าคุกเลย มันมีสองอย่าง ปรากฏว่าเซ็นรับทราบและให้ดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน แต่ไม่เห็นทำอะไรเลย ผมต้องการทำในสิทธิอันชอบธรรม ซึ่งไม่ใช่ให้ผมคนเดียว แต่ให้พลเมืองทั้งหมด ผมต้องการเท่านี้เอง ผมไม่ต้องการเป็นอภิสิทธิ์ชนด้วยซ้ำ
 
จุดประกาย วรรณกรรม
ปีที่ 20 ฉบับที่ 7066
วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2551
 
พรชัย จันทโสก : รายงาน