“สุชาดา จักรพิสุทธิ์” เธอคือตำนานหน้าแรก”สารคดี”

พูดถึงนิตยสาร "สารคดี" หลายคนคงนึกถึง "“วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์" หรือ "วันชัย ตัน" ที่วันนี้ โบกมือลา สารคดี ไปทำสื่อ"ทีวีไทย"
เพราะ วันชัย กับ สารคดี ผูกติดกันนานกว่า 23 ปี ใคร ๆ ก็เลยนึกว่า เขาเป็นผู้เปิดหน้าแรกของ สารคดี
แต่จริงๆ แล้ว บรรณาธิการ คนแรกของนิตยสาร สารคดี ชื่อ "สุชาดา จักรพิสุทธิ์"
เธอเป็น หญิงแกร่ง ที่ร่วมมือกับรุ่นพี่รุ่นน้องปลุกปั้นนิตยสารในฝันเล่มหนึ่งขึ้นมา
เธอ ทุ่มเททำงานหนัก ถึงขนาดนอนในถุงนอน กินอยู่ในออฟฟิศถึง 3 ปีเต็ม
เธอเคยปฎิเสธต้นฉบับของผู้ใหญ่ เธอเคยขว้างโทรศัพท์ เธอเคยทำให้ตัวเลขติดลบของสารคดี กลายเป็นบวก
วันนี้ หลายคนรู้จัก เธอเพียงบทบาท ผู้หญิงของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ แต่จริงๆ แล้ว เธอเคยทำสร้างตำนานและสร้างความฝันอันยิ่งใหญ่
มติชนออนไลน์ พาผู้อ่านไปรู้จัก บก.คนแรกของ สารคดี นิตยสารที่กลายเป็นหนังสือประจำตระกูลของคนไทย
อยากให้เล่าช่วงก่อตั้งสารคดีในยุคที่คุณสุชาดาเป็น บก.ใหญ่
ปี 2528 ความจริงก่อนที่หนังสือจะออกฉบับปฐมฤกษ์ เดือนกุมภาพันธ์ 2528 เราใช้เวลาเกือบ 1 ปี หรือ 1 ปีเต็มๆ ในการสะสมข้อมูล แหล่งข้อมูลบุคคล แหล่งข้อมูลวิชาการต่างๆ ต้องบอกว่าสารคดีมีต้นทุนที่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เพราะว่าส่วนหนึ่งเป็นทีมงานที่มีขอบข่ายมาจากนิตยสารเมืองโบราณ วารสารเมืองโบราณ เช่น คุณสุดารา สุจฉายา คุณจำนง ศรีนวล เข้ามาเป็นไดเรกเตอร์ ที่จริงก็เคยพูดเรื่องนี้ไว้หลายที่หลายทางแล้ว อาจจะเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมของการมีทีมงานทีมนี้ แล้วการเกิดสารคดีในช่วงเวลาอย่างนั้น
ก่อนหน้านี้ นิตยสารที่มีสาระน่าจะเป็นเพื่อนเดินทาง ของคุณประพันธ์ ผลเสวก นำเสนอสารคดีที่เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว หรือประเด็นการท่องเที่ยวที่มีสาระหน่อย เขียนในเชิงสารคดี และนิตยสารอย่างแมน จะมีคอลัมน์อย่างสารคดี มีเรื่องนำเสนอในแนวสารคดี มีลักษณะเป็นคอลัมน์หนึ่งที่ไม่ใช่จุดขายโดยตรงของหนังสือ
วารสารเมืองโบราณในยุคนั้นเป็นวารสารราย 3 เดือน 4 เดือน มีการเคลื่อนไหวไปช้ามาก จนเกือบจะตาย ชีพจรแผ่วมาก ก็มีการคิดกันว่าน่าจะสร้างนิตยสารรายเดือนที่มีความสด ความเคลื่อนไหว ที่จะฝ่าวิกฤตินิตยสารเมืองโบราณในช่วงนั้น พอคิดไปคิดมา ก็มีความสนใจของคุณจำนง ที่ตอนหลังรับบทบาทเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ มีสกล เกษมพันธ์ที่เป็นช่างภาพอยู่แล้ว
มี"วันชัย" ในยุคแรกคุณวันชัยทำงานฝ่ายศิลป์ เราก็คุยกันมาเอาความสนใจของแต่ละคนมาคุยกัน ปรากฎว่าได้เป็นนิตยสารในความฝันเล่มนึงที่เราอยากมีภาพถ่ายสวยๆ ความสนใจของตัวดิฉันเองจะเป็นนิตยสารที่มีเนื้อหาสาระลึกกว่าเรื่องเล่าทั่วไป คือมีเนื้อหาในเชิงสารคดี ข้อเท็จจริง แต่เขียนให้น่าอ่านชวนติดตาม ความสนใจของคุณสุดาราเป็นเรื่องทางวิชาการ ก็คิดว่าน่าจะมีเรื่องในเชิงประวัติวัฒนธรรมที่ทำให้สนุกได้ คุณจำนงเป็นบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ที่มีความสนใจในภาพถ่ายทาง พิกทอเรียล pictorial ในที่สุดเกิดเป็นนิตยสารเล่มหนึ่งที่เราคิดว่ามีเรื่องเชิงลึก มีข้อมูลข้อเท็จจริงที่อ้างอิงได้ มีภาพถ่ายสวยๆ และมีทีมงานที่เป็นคนหนุ่มสาว ที่คิดว่าทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นเพื่อนประจำครอบครัวได้อย่างไร
ช่วงแรกต้องบอกว่า ไม่มีใครเป็นมืออาชีพเลย เป็นช่วงทำไปทดลองไป สรุปบทเรียนไป แก้ไขไป ในยุคนั้น มีคุณจำนงที่เป็นรุ่นพี่มากกว่าเพื่อน มีประสบการณ์มากกว่าเพื่อน
คุณสุชาดาเป็นบก.ที่เด็กที่สุด ในยุคนั้น
ในยุคก่อตั้งอายุไม่ถึง 30 ดี 28-29 เมื่อออกมาจากสารคดีอายุ 35 ด้วยความเป็นเด็ก ด้วยความไร้เดียงสา ก็มีข้อดีของมัน อาจเป็นบก.คนแรกและคนเดียวที่เริ่มต้นก่อตั้งหนังสือด้วยการไปหาพี่ๆในวงการ ไม่ว่าจะเป็น สุจิตต์ วงศ์เทศ (ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ประจำปีพ.ศ. 2545) สุชาติ สวัสดิ์ศรี (นักเขียนเจ้าของนามปากกา สิงห์สนามหลวง ผู้ก่อตั้งรางวัลช่อการะเกด) ประพันธ์ ผลเสวก (นักเขียนสารคดี ท่องเที่ยวยุคบุกเบิก) เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ (ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ.2536) คุณย่านิลวรรณ ปิ่นทอง (อดีตบก.นิตยสารสตรีสาร และอดีตนายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย) ไปเกาะโต๊ะขอคำแนะนำ หนูจะทำหนังสืออย่างนี้ๆ เคยมีคนบอกว่าอย่าทำเลยหนังสือแบบนี้มันยาก ผมก็เคยคิดมาก่อน ผมยังไม่ทำเลย แต่ก็เหมือนเด็กที่อยากปีนต้นไม้ ไม่เคยมีประสบการณ์ว่าต้นไม้สูงนะ เจ็บนะ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร
ได้ข่าวว่าตอนทำแรกๆ ต้องนอนในถุงนอนใต้โต๊ะ
ถือว่าหนักหนาสาหัส เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ทุกอย่างเป็นเรื่องเริ่มต้นใหม่ และยังต้องรับผิดชอบหลายด้านมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านโฆษณา ทำต้นฉบับเอง การบริหารกองบรรณาธิการ ฝ่ายศิลป์มีคุณจำนงค่อนข้างดูแลเต็มตัว เลยลดภาระในส่วนนั้นไปได้ ระบบสมาชิก การตลาด การจัดจำหน่ายหนังสือมันเยอะไปหมด เวลา 1 วันไม่เพียงพอ กลางวันคือช่วงเวลาของการประชุม พบปะพูดคุย ออกไปข้างนอก เวลากลางคืนต้องทำงานที่ตัวเองอยากทำ คือเขียนต้นฉบับ ในที่สุดก็ต้องนอนใต้โต๊ะ 3ปีโดยประมาณ ต้องใช้ชีวิตแบบนั้น
ในยุคของคุณสุชาดาเข้ามาเป็นบก. ได้พยายามวางเสาหลักไว้ 4 เสา
จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ ส่วนหนึ่งก็คือทีมก่อตั้ง 4-5 คนนั้น เราก็ค่อนข้างจะทำงานร่วมคิดร่วมทำ อาจจะที่เรียนทางสายวารสารศาสตร์ที่มองเห็นแนวตรงนี้ ควรมีเนื้อหาที่เป็นหลักเกาะให้คนอ่านรู้ว่าตัวจะได้อ่านอะไร คาดหวังว่าตัวจะได้อ่านอะไร เพราะไม่ใช่หนังสือกอล์ฟที่เรารู้ว่าเราจะอ่านหนังสือแต่เรื่องกอล์ฟ แต่หนังสือสารคดีมันคือเรื่องใดๆ ที่เราคาดหวังว่าน่าสนใจ มีสีสันพอจะนำเสนอได้ มีข้อเท็จจริงจำนวนหนึ่งที่นำมาเสนอมาเปิดเผยกับผู้อ่านได้
พูดง่ายๆ คือจะมีเรื่องที่มีรสชาติหลากหลาย จำเป็นต้องวางเป็นหลัก หรืออย่างน้อยถ้าเราเข้าไปสู่บ้านหลังนี้ บ้านนี้จะมีกี่ห้อง แล้วแต่ละห้องเราจะพบอะไร จะได้นั่งเล่นสบายอยู่ตรงนี้ เดินไปเราจะเจอตู้หนังสือ เราจะได้ค้นคว้า เราจะข้อมูลจำนวนมาก ฉบับต่อไปเราจะได้คาดหวังได้เขาจะได้อ่านเรื่องอะไร ที่เกี่ยวกับชีวิตผู้คน เรื่องอะไรที่เป็นเชิงวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เรื่องที่เป็นเชิงอนุรักษ์ทรัพยากร อันนี้ก็เป็นสิ่งที่คนจะคาดหวังได้ เป็นที่มาของการจดจำสารคดี ว่าสารคดีเป็นหนังสือที่จะนำเสนอเรื่องที่ครอบคลุมรสชาติประมาณนี้
สารคดีผ่านกาลเวลามายาวนาน เดี๋ยวนี้ คนรุ่นใหม่ อ่าน อะ เดย์ กันหมดแล้ว
มีความเป็นไปได้ แต่หนังสือแนวนี้มีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งคล้ายๆ หนังสือประจำตระกูลที่พ่อแม่อ่านแล้วส่งต่อให้ลูก ส่งต่อให้หลาน โดยที่คนรู้สึกคุ้มค่าที่จะซื้อเข้าบ้าน หรือคุ้มค่าที่จะบอกรับสมาชิก เพราะระบบสมาชิกในประเทศเราเกือบจะล่มสลายแล้ว เพราะแผงหนังสือเกือบจะมีทุกปากซอย แต่สารคดีมีคุณสมบัติตรงนี้อยู่ เป็นหนังสือประจำตระกูล ซึ่งมีหนังสือเก่าๆ นิตยสารรุ่นเก่าที่มีคุณสมบัติแบบนี้เช่นกัน เช่น สกุลไทย ขวัญเรือน
เก่าไปหรือเปล่า อาจจะเก่าแบบคลาสสิค ที่เอาไว้บอกตัวผู้อ่านด้วยว่า ผู้อ่านเป็นใคร เหมือนสมัยหนึ่งที่เราเป็นนักศึกษาเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ถ้าคุณถือไทยรัฐ คนจะมองคุณอย่างหนึ่ง ถ้าคุณถือหนังสือพิมพ์อธิปัตย์ คนก็จะมองคุณอีกแบบหนึ่ง ก็อาจทำนองเดียวกันว่า ถ้าเราถือนิตยสารสารคดี เราคือใคร เราถืออะเดย์ เราคือใคร อาจมีคนรุ่นใหม่อายุ 20 กว่า ที่อยากถือสารคดี เพื่อบอกว่าตัวมีรสนิยมการอ่านอย่างไร และตัวคือใคร
เหตุผลในการอำลาสารคดี
เหตุผลข้อที่ 1 เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่มีความสุขแล้วที่นั่น ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งปัญหาชีวิตส่วนตัว ปัญหาบรรยากาศในที่ทำงาน และตัวงานเองที่มีอะไรหลายที่เริ่มเป็นรูทีน พอองค์กรใหญ่ขึ้น ตัวเองมีบทบาทเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เป็นบรรณาธิการบริหาร ที่แทบไม่มีโอกาสได้เขียนหนังสือ ต้องรับผิดชอบในเชิงธุรกิจมากขึ้น มีฝ่ายโฆษณา ต้องรับผิดชอบความอยู่รอด การแก้ปัญหาเรื่องขาดทุน ในช่วง 6-7 ปีแรก มันติดตัวแดง เยอะพอสมควร มีความเครียดในเรื่องรับผิดชอบการขาดทุนด้วย
พอถึงปีที่ 7 ของดิฉัน เป็นปีที่ 6 ของหนังสือ ก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว ก็อาจจะมีแรงกดดันจากการทำงานบางอย่างด้วย เช่น สารคดีเดินมาถึงจุดที่ผู้อ่านมีความคาดหวังสูง ให้เป็นหนังสือคุณภาพ ต้องหนีตัวเอง ต้องมีคุณภาพขึ้นไปเรื่อยๆ บรรยากาศของการทะเลาะทุ่มเถียง จะด้วยจากความเครียดของการทำงาน อะไรก็แล้วแต่ ประกอบกัน เลยคิดว่าถึงเวลาที่เราน่าจะทำอะไรที่เป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้ ได้ทำในสิ่งที่ตัวรักมากกว่านี้ และชีวิตคนก็เหมือนชีวิตหนังสือที่มีจังหวะเวลาที่ต้องเปลี่ยน ถ้าเมื่อไรไม่เปลี่ยนจะนิ่ง ไม่เบื่อตัวเอง ก็จะมีคนอื่นมาเบื่อเรา
ย้อนกลับไป เห็นจุดบกพร่องตัวเองไหม ในขณะที่เป็น บก.สารคดีอยู่
ก็มีอยู่ อย่างน้อยที่สุดคือวุฒิภาวะที่ไม่เติบโตเต็มที่ แล้วต้องมารับผิดชอบงานมากขนาดนี้ ผู้ร่วมงานหลายคนก็คงบอกได้ว่า ดิฉันเป็นคนเจ้าอารมณ์ในยุคนั้น แม้แต่เคยคืนต้นฉบับกับนักเขียน เคยขว้างโทรศัพท์ก็เคยทำมาแล้ว มองย้อนกลับไปก็อาย(นะ) แต่ในบรรยากาศของการทำงานหนัก และความเครียดเวลานั้น บางทีก็เป็นเรื่องดูแลตัวเองได้ยากอยู่ จริงๆ ก็เล่าให้ฟังได้ ถือเป็นบทเรียนว่า บางทีความเป็นศิลปินหรือความเป็นผู้บังคับบัญชา บางทีก็เป็น 2 ขั้วนะ บางทีมีจุดแสดงออกคล้ายๆ กัน คือเรื่องของความใช้สติน้อยไป ก็มี
จริงๆ ถ้าถามว่า ให้มองย้อนกลับไปแล้วได้อะไรมากที่สุด เป็นช่วงชีวิตที่เข้มข้นที่สุด ของคนอายุเท่านั้นที่จะพึงมีได้ หาได้ยากมาก ที่ทำงานหนักขนาดนั้น ได้ประสบการณ์ชีวิตมากขนาดนั้น ได้รู้จักคนมากขนาดนั้น ได้ทำสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้มากขนาดนั้น ทุกวันนี้มีโอกาสได้ค้นหนังสือเก่าๆ ได้อ่านเรื่องที่ตัวเองเคยเขียน ยังประหลาดใจว่าเราทำงานขนาดนั้น เราเขียนหนังสืออย่างนี้ได้อย่างไร ตอนนี้เวลานี้มองเหมือนกับว่าไฟแห่งการเขียนมันมอด เกือบจะมอดไปแล้ว ก็ไม่รู้
เห็นการเปลี่ยนแปลงของสารคดี ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาไหม
ก็มี ถ้าจะมองกว้างๆ 2 อย่าง อันที่ 1 คือแนวทางการออกแบบ พูดรูปร่างหน้าตาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการกลับไปใช้หัวหนังสือรุ่นเก่า ซึ่งเขาก็บอกเหตุผลของเขาไปแล้ว การปรับบุคลิกลักษณะบางอย่างให้มีความเป็นทันสมัยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อก่อนนี้บุคลิกดูเป็นหนังสือคลาสสิค ตั้งแต่หน้าปกเป็นต้นไปมีความนิ่งอยู่พอสมควร เหมือนหนังสือสำหรับคนที่เป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะที่จะอ่านเยอะๆ แต่ยุคหลังๆ เริ่มมีสีสันมีชีวิตชีวา มีวิธีการโปรยที่ใช้ภาษาร่วมสมัยหรือหวือหวามากขึ้น เนื้อหาข้างในยังเป็นการเดินในแนวทางหลักๆ อันนี้อาจเป็นธรรมชาติของงานเขียนแนวสารคดีเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงอยู่แล้ว ลีลาการนำเสนอก็เปลี่ยนไปบ้าง มีคนรุ่นใหม่ๆ กองบรรณาธิการรุ่นใหม่ๆ เข้ามาเติมในช่วงหลัง และมีการเพิ่มเติมคอลัมน์ที่โดนใจคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น เช่น คอลัมน์วิจารณ์ภาพยนตร์หรือสัพเพเหระ หรือวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ความอยากรู้เกี่ยวกับสุขภาพร่างกาย ความสวยความงาม ก็เริ่มคอลัมน์ที่แตกแยกย่อยออกไป
สรุปว่าก็เห็นความเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่า หนังสือแนวนี้จะเปลี่ยนแปลงหวือหวา ชนิดที่วันดีคืนดีลุกขึ้นมาทำปก เป็นสีเรกเก้ไปเลย เป็นอะไรที่คนอ่านคาดไม่ถึง หัวทิ่มหัวตำ ก็ไม่ได้อยู่แล้ว อันนี้เข้าใจว่า คนทำงานก็รู้ถึงตัวตน อัตลักษณ์ของหนังสือเล่มนี้ เพราะฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่จะเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ความเปลี่ยนไปอีกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ปีหลังก็คือ กิจกรรมเชิงสังคม เมื่อก่อนสารคดีวางตัวเองเป็นหนังสือ เป็นคนทำหนังสือ ไม่ค่อยมีกิจกรรมเชื่อมต่อผู้อ่าน ไม่ค่อยมีกิจกรรมที่จะออกไปเคลื่อนไหวทางสังคม หรือสาธารณะ ตอนนี้เห็นการฝึกนักเขียนรุ่นใหม่ ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องดี เพราะหนังสือที่อยู่กันมานานขนาดนี้ควรจะมีบทบาทในเรื่องสถาบัน ความเป็นเสาหลักของความชำนาญอันนั้นๆ ขึ้นมาด้วย ก็เป็นไปในทิศทางที่ดี
กับคุณวันชัยเป็นอย่างไร ถ้าทุกวันนี้เราเจอกัน
ก็ทักทายค่ะ ไม่เห็นมีอะไร เราอายุมากกว่าเขา เราเป็นพี่ เขาเป็นน้องมาก่อน ไม่มีอะไร เขาก็ไม่เคยปรึกษาหารืออะไร หลังจากที่ออกมา ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เขาคงมีเหตุผลของเขา ชีวิตเดินไปคนละเส้นทางคงจะเป็นแบบนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
จริงๆ คนที่น่ายกย่องคือคุณสุวพร ถ้าไม่มีนายทุนอย่างคุณสุวพร หนังสือเล่มนี้ไม่เกิด สุวพร ทองทิว เขาดูแลวิริยะประกันภัย เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่วิริยะประกันภัย ในยุคนั้น ใครๆก็เข้าใจว่าเอาเงินเมืองโบราณมาทำ แต่ไม่ใช่เลย เงินส่วนตัวคุณสิวพร คุณสิวพรเป็นนายทุนที่หาที่ไหนไม่ได้ในโลก พี่กล้ารับประกัน เพราะว่านายทุนที่มีบรรณาธิการเป็นขบถไม่ยอมรับการนำ ไม่ให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยว ผลาญเงินเขาไป 6-7 ล้าน เป็นนายทุนที่ประเสริฐมาก
เข้าใจความรู้สึกของ คุณวันชัย ที่อำลา สารคดีไปทำ ทีวีไทย ไหม
เขาคงมีเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายการทำงานของเขา อย่างที่เขาให้สัมภาษณ์ไปแล้ว ก็คือเขาอยากไปสู่งานที่ท้าทายกว่า อันนี้เป็นเป็นเรื่องที่เข้าใจสำหรับคนทำงานที่มุ่งมั่นกับงานมากๆ เพราะว่าในยุคที่พี่ออก พี่ก็รู้สึกว่าเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง ลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหวประมาณนั้น มันก็คงเกิดความรู้สึกอยากดิ้นรนไปสู่บทเรียนใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ นี่เป็นเรื่องเข้าใจได้ วันชัยเขาอยู่นาน นานกว่าพี่มากด้วยซ้ำ อะไรหลายๆ อย่างที่เไม่อยากให้เป็นรูทีน มันก็คงเป็นรูทีนในที่สุด
รูทีนคือจุดตายของแมกกาซีนใช่ไหม
ใช่ ในขณะที่โลกของนิตยสารมันแข่งขัน มันเจาะรูเล็กๆ กันเต็มไปหมด มันเจาะกลุ่มผู้อ่านโดยเฉพาะเยอะ และสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ หนังสือ 1 เล่มที่จะเซิร์ฟความสนใจของผู้อ่านที่ซับซ้อนกันอยู่ จำนวนเล็กๆ และรวมเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ให้อ่านหนังสือเล่มเดียวกันได้ไม่ใช่ง่ายๆ
และนี่คือสาวแกร่งผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าแรกของนิตยสาร "สารคดี"
วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554
By : matichon.co.th