สองปัญหากับวาระหนังสือแห่งชาติ

ผมเป็นคนมีสองอาชีพ อาชีพหนึ่งคือรับราชการเป็นอาจารย์ ภูมิใจแต่ไม่สบายกระเป๋า ผมจึงขวนขวายทำอีกอาชีพ เป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ จวบจนปัจจุบัน ผมทำงานที่ว่ามาแล้วสิบห้าปี
เมื่อยึดอาชีพเป็นนักเขียน ผมต้องไขว่คว้าหาข่าวสารในวงการ เคราะห์ร้ายที่เพื่อนฝูงด้านนี้ก็ไม่ค่อยมี เพราะผมเรียนด้านวิทยาศาสตร์ มิใช่ภาษาศาสตร์ ข้อมูลที่ได้รับ ส่วนใหญ่มาจากหน้าหนังสือพิมพ์ จะมีส่วนน้อยเป็นข้อมูลกระซิบ เช่น สำนักพิมพ์นั้นจ่ายเช็คเด้ง
ข่าวที่ผมอ่าน บอกว่าวงการหนังสือกำลังจะโชติช่วง รายได้หลักหมื่นล้านบาทต่อปี อัตราเติบโตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ถึงปีหน้าเมื่อไหร่ สวรรค์ทรงโปรด รายได้จะพุ่งพรวดกลายเป็นสองหมื่นล้าน โตแบบบังจี้จัมพ์รวดเดียว 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะปีหน้าไม่ว่ารัฐบาลไหนมา หนังสือจะกลายเป็นวาระแห่งชาติ ฮูเร่ !
เค้าฮูเร่กัน ผมยินดีด้วย พลางนึกฝันหวานถึงเงินทองที่กองรออยู่ในปีหน้า อูย…สองเท่าเลยนะเนี่ย อนาคตช่างหอมหวาน เมื่อถึงมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ผมเดินยิ้มกริ่มเข้าไปขายหนังสือ จะรวยแบบสองเด้งปานนั้น มันต้องมีลางบอกเหตุบ้าง อย่างน้อยหนังสือเราต้องขายดีกว่าที่ผ่านมา
เปิดงานสามวันแรก คนเดินพอใช้ แต่เหตุใดตัวเปล่าเล่าเปลือย ไม่ค่อยเห็นใครหอบหนังสือพะรุงพะรัง ผมปลอบใจตัวเอง เค้ามาดูทางหนีทีไล่ จะได้ขนหนังสือกันคล่องมือ เข้าเสาร์อาทิตย์เมื่อไหร่ เทน้ำเทท่าเจ้าข้าเอ๊ย แล้วก็ไหลเป็นน้ำจริงครับ แต่เป็นน้ำตา เพราะเวลาผ่านไป จำนวนคนไม่เพิ่ม ยอดขายเคลื่อนช้าเป็นเต่าคลาน แค่คลานยังพอว่า บางครั้งเต่านิ่ง จะเอาไม้แยงก้นยังไง เต่าก็ไม่ค่อยยอมเดิน
ผมกลับมาบ้าน อ่านข้อมูลจากหนังสือพิมพ์อีกนั่นแหละ เค้าบอกว่า แม้ยอดขายอาจลดน้อยไปบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ปริมาณคนยังเท่าเดิมนะ เฉลี่ยแล้ววันละแสน ใจหนึ่งอยากเชื่อ แต่อีกใจเฝ้าสงสัย อันตัวเราขายหนังสือในงานมาตั้งแต่โต๊ะตัวเดียวหนังสือปกเดียว จนถึงทุกวันนี้ มีบู๊ธมีหนังสือ 50 ปก วัดจากประสบการณ์แล้ว ปีนี้เข้าข่ายอกอีแป้นจะแตก
ผมปลอบใจตัวเอง คงเป็นเพราะเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ยอดขายของเราจึงหล่นฮวบอยู่รายเดียว แต่เมื่อลองเช็คยอดขายเล่มอื่นของสำนักพิมพ์ สงสัยกรรมซัดแรง สามัคคีกันตกวูบ แล้วคนอื่นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ผมออกไปเดินเตร็ดเตร่ทั่วงาน พยายามถามเพื่อนฝูงที่คุ้นหน้า พอสรุปได้ว่ากรรมเป็นสึนามิ โดนซัดกันเกือบถ้วนหน้า จะมีบางเจ้าโดนหนักหน่อย ไม่ใช่แค่ขายไม่ออก แต่เป็นขายไม่ได้
หนังสือที่เจอกรรมเล่น เป็นหนังสือที่ผมไม่อ่าน แต่แฟนติดงอมแงม อยู่ในหมวด "หนังสือแปลโรมานซ์หวานเจี๊ยบ" เนื้อหาบีบคั้นนิดๆ เศร้าจิตหน่อยๆ แต่เราจะไม่ปล่อยให้คุณเศร้าไปกว่านี้ พระเอกเก่งกล้าสามารถ ปราศจากความชั่วโดยตั้งใจ สุดท้ายสมหวังนิรันดร์เทอญ
นิยายประเภทนี้มีพล็อตแน่วแน่ ถ้าเป็นขุนนางอังกฤษ จะเจ้าชู้รู้เชิงชาย ถ้าเป็นยุคสร้างเมืองอเมริกา พระเอกพกความแค้นฝังหุ่นมาเบ่งกล้ามทำฟาร์ม แต่ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน พระเอกทำสองสามอาชีพ เป็นนักธุรกิจหนุ่มกรีกอิตาลีหรือเจ้าชายอาหรับรวยโคตร ทุกคนต้องมีเครื่องบินส่วนตัวเป็นพาหนะ หรือไม่ก็เป็นทหารหน่วยซีลหรือนักสืบระดับเจมส์บอนด์ อาชีพครูอาจารย์หรือพนักงานขายประกันไม่ปรากฏ
ด้วยเนื้อเรื่องที่ตรงไปตรงมา ขายบทหวานนิดปนบทหวิวหน่อย เขียนมาขายมาเป็นร้อยปีแล้วไม่เคยเปลี่ยน ในเมืองไทยก็ขายดิบดี แม้ไม่พุ่งกระฉูดเป็นกระแส แต่มีแฟนขาประจำเหนียวแน่น ถึงงานหนังสือครั้งใด จะเห็นคุณผู้หญิงหอบหนังสือเป็นถุงๆ ออกจากร้าน กลุ่มสตรีที่ว่านั้น มีสาวที่บ้านของผมด้วยหนึ่งราย
มาปีนี้ สาวเจ้าหิ้วถุงผ้าไป กะว่าจะช่วยโลกให้หายร้อน ไม่ใช้ถุงพลาสติค เพียงครู่เดียวเธอหิ้วถุงผ้าแบนแต๋กลับมาหาผมที่บู๊ธ นัยน์ตาฉายแววเศร้า จนผมนึกว่าเธอทำกระเป๋าตังค์หาย แต่ผลปรากฏกลับไม่ใช่
เงินเธอมี แต่ไม่มีหนังสือให้ซื้อ เพราะสันติบาลจับหนังสือแปลโรมานซ์เหี้ยนหมดแผง ด้วยเหตุผล นี่คือหนังสือลามกจกเปรต ห้ามขายจ้า เธอแค้นใจไม่แพ้เจ้าของร้าน ปากสั่นคอสั่นถามผมว่า ลามกยังไง หากดูแค่หนังสือเล่มใดมีบทรัก อย่างนั้นขุนช้างขุนแผนก็ลามกสิคะ "นางพิมนั่งใกล้เจ้าพลายแก้ว ยิ้มแล้วเหยียดแขนออกยื่นให้ เจ้าพลายกอดสอดรัดถนัดใจ โลมไล้ลูบเล่นละมุนมือ" แล้วอย่างนี้ทำไมไม่ไปจับ
ผมพยายามอธิบาย หนังสือมีหลายแบบ ต้องดูที่ภาษาที่เจตนา จะไปตัดสินง่ายๆ อย่างนั้นไม่ได้หรอก เธอยิ่งบอกว่าใช่ จะตัดสินกันง่ายๆ ปานนั้นเชียวหรือ หนังสือก็คือหนังสือ มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน หนูอายุย่างเข้าสามสิบ จะให้อ่าน มานะ มานี ปิติ ชูใจ ไปอีกสามสิบปี พอแซยิดค่อยเปลี่ยนไปอ่านหนังสือธรรมะอิ่มบุญ อย่างนั้นถึงนับเป็นกุลสตรีแม่ศรีเรือนหรือคะ ? แล้วถ้าหนูนอนนิ่งเป็นท่อนไม้ ท่องแต่ยุบหนอพองหนอจนหลับไป สามีหนูมีชู้ ใครจะรับผิดชอบคะ ? ก็ด้าย…หนูไปซื้อหนังสือฝรั่งก็ได้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ เค้าจับแต่หนังสือแปลเป็นไทย แต่ไม่จับหนังสือต้นฉบับ สงสัยเป็นนโยบายส่งเสริมให้คนไทยเก่งภาษาต่างชาติ
ผมไม่มีความคิดเห็นเรื่องนี้ แต่ประสบการณ์จากงานหนังสือบอกผมว่า จะเป็นวาระแห่งชาติหรือไม่เป็นก็ตามเถิด เรากำลังเผชิญกับสองปัญหาใหญ่ หนึ่งคือภาวะเศรษฐกิจหรือภาวะใดก็ตาม ส่งผลกับยอดจำหน่ายหนังสือ แม้อาจไม่ใช่ทุกส่วน แต่มีบางส่วนเจอศึกหนัก อีกปัญหาคือการแยกแยะประเภทหนังสือ ดี…ไม่ดี ลามก…อีโรติก แยกกันตรงไหน ใครเป็นคนแยก ?
ผมเชื่อว่าสองปัญหานี้คงหนักอึ้ง แต่ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในวงการน้ำหมึกมีมากต่อมาก หากช่วยกันคิดช่วยกันทำ เราคงกำหนดนโยบายหรือหาทางเดินหน้าต่อไปได้ จากนั้นค่อยไปผลักดันให้รัฐบาลพิจารณา กำหนดวาระแห่งชาติให้ชัดเจน มิใช่มุ่งหวังให้รัฐบาลตั้งห้องสมุดเยอะๆ จะได้มีงบประมาณมาซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดเยอะๆ นั่นเป็นวาระห้องสมุดแห่งชาติครับ มิใช่วาระหนังสือแห่งชาติ ผมกลัวจะลงเอยเหมือนงานวิจัย ทำกันเยอะๆ เพื่อขึ้นไปอยู่บนหิ้งเยอะๆ เหมือนบทเรียนที่เมืองไทยได้รับมาแล้ว
เชื่อในความสามารถของผู้คร่ำหวอดในวงการ และหวังสุดใจ ปีหน้าวงการหนังสือไทยจะโชติช่วงชัชวาลสมกับที่รอคอยครับ…
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10830
โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์