Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

สร้อยแก้ว คำมาลา เขียนดีแต่ขายไม่ดี

 

     
 
     รู้จักกันดีในฐานะนักเขียนที่ "เขียนดี" คนหนึ่งแม้งานของเธอจะยังไม่ "ขายดี" ก็ตาม เธอได้ฝากผลงานไว้แล้วถึงสี่เล่ม เล่มแรกคือรวมเรื่องสั้น "หอมกลิ่นภูเขา" และเล่มล่าสุดคืองานเรียบเรียงจากคำบอกเล่าของผู้ติดเชื้อเอดส์ "จากวันที่ผันเปลี่ยน" 
 
      ปัจจุบันเธอเป็นกองบรรณาธิการของนิตยสารชีวจิต ซึ่งเป็นนิตยสารคุณภาพอีกเล่มหนึ่งในเครืออมรินทร์ เพื่อนบ้านของเรานี่เอง 
 
      เรานัดพบกับเธอที่ร้านสิงห์สาโท เวลาประมาณห้าโมงเย็น บทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้น..ด้วยประเด็นที่เราติดใจอยู่ เพราะเคยได้ยินมาว่าเธอเคยดำรงชีพด้วยการเขียนเพียงอย่างเดียว ซึ่งมันไม่ง่ายเลย 
 
       "ที่จริงแรกๆ เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเราจะเขียนหนังสืออย่างเดียว" 
 
      แล้วเธอก็เล่าให้เราฟัง… 
 
      "ตอนเรียนจบ เราก็ไปสมัครงานประจำแหละ แต่พอทำไปแล้ว เอ๊ะ รู้สึกมันไม่ใช่ ก็เลยออก พอดีมาเจอพวกพี่ๆ ที่เขาเขียนหนังสือ เขาก็ชวนให้มาเขียน เพราะว่าก่อนหน้านั้นเราก็ชอบการเขียนหนังสืออยู่แล้ว เริ่มมาตั้งแต่อยู่ ม.1 ได้มั้ง แล้วพอมาอยู่มหาวิทยาลัยก็ทำเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ซึ่งก็เป็นที่มาของรวมเรื่องสั้นเล่มแรก ชื่อ หอมกลิ่นภูเขา ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ไฟแรงมากนะ เราจะทุ่มเทกับการเขียนหนังสือ กลางวันนั่งเขียน กลางคืนนั่งเขียน จนเขียนนิยายได้เรื่องหนึ่ง ก็เอาให้พวกพี่ๆ เขาดู เขาก็ดีใจกันนะว่าเราเขียนจบ" 
 
      "แต่ก็ยังไม่ได้พิมพ์นะ เพราะว่าเราเอากลับมาดูแล้วเห็นข้อบกพร่องมันเยอะ ก็ดีใจที่ยังไม่ได้ส่งไปที่ไหนเพราะเราก็จะยังมีโอกาสแก้ไขอีกทีหนึ่ง" 
 
      "พูดถึงการเขียนหนังสือในช่วงนั้น เราทำไปสักพักก็จะรู้นะว่ามันอยู่ยากนะ งานเขียนหนังสือน่ะ" เธอพูดปนหัวเราะ ก่อนจะอธิบายเหตุผล "แล้วสำหรับหน้าใหม่จะยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะนอกจากจะต้องพิสูจน์ฝีมือกันแล้ว ก็ใช่ว่าฝีมือเรามันจะเข้าที่เข้าทาง บางทีผลงานมันยังคุณภาพไม่ได้ บ.ก. ไม่ผ่าน เพราะฉะนั้นรายได้เรามันจะน้อยมากๆ เลย" 
 
      เมื่อรายได้ไม่พอใช้จ่าย หนี้สินย่อมบังเกิด คนเราก็ต้องหาทางดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอด 
 
      "ก็ตัดสินใจกลับเชียงใหม่ไปขายหนังสือเก่าอยู่พักหนึ่ง เออ มันก็สนุกนะ ถือเป็นสีสันชีวิตมากเลยช่วงนั้น พอดีมันเข้าหน้าหนาวด้วย เราไปซื้อหนังสือเก่ามาแล้วก็ไปขายหน้ามหาวิทยาลัยตอนเย็นๆ มัดหนังสือใส่ท้ายจักรยานขี่ไป มีโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ ตัวหนึ่ง ก็มีรายได้พอใช้นะ เรียกว่าดีเลยด้วย ใช้หนี้ได้หมดเลย แต่ว่าทำได้แป๊บเดียวเอง สองเดือน เพราะเราเองก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องขายหนังสือเก่าตลอดไปอยู่แล้ว" 
 
      "เราไปทำงานประจำ เป็นผู้ประสานงานโครงการวิทยุขององค์กรพัฒนาเอกชนของทางภาคเหนือที่รวมตัวกันขึ้นมา เพื่อให้มีสื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของการพัฒนา ทำอยู่ปีนึงแล้วก็ออกมาทำไอทีวีอยู่อีกประมาณ 5-6 เดือน ตอนนั้นเขียนบทรายการโทรทัศน์แล้วก็ทำข่าวด้วย แต่ว่าตอนอยู่ไอทีวีนี่งานค่อนข้างเครียด แล้วก็รีบนะ แต่ตัวเราเป็นคนที่ทำอะไรช้านะ คือคิดช้าไง แล้วเรารู้สึกว่าเราชอบคิดยิบย่อยเยอะ คิดหลายๆ อย่างแล้วค่อยเอามานั่งทำอะไรอีกทีหนึ่ง ก็จะไม่เหมาะกับงานข่าวที่ต้องทำอะไรเร่งด่วน" 
 
      "แล้วมันเป็นช่วงที่เปลี่ยนความคิดสำคัญของเราด้วย เพราะตอนนั้นมีรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ตอนนี้เขาดังมากนะ เขาเขียนบทโทรทัศน์เรื่องนางโชว์ เขียนเจ้าสาวมืออาชีพ เขาพูดว่า ต่อไปนี้จะมีแต่มืออาชีพ คือ คุณต้องไปทางใดทางหนึ่งให้มันเด่นไปเลย ถ้าหากคุณจะเป็นนักข่าวแล้วคุณจะเป็นกลางๆ มันก็จะไม่เติบโต มันก็จะอยู่ได้แบบกลางๆ เราก็ปิ๊งกับความคิดนี้ คือ คุณจะต้องเป็นมืออาชีพ" 
 
      "ทีนี้เรารู้ว่าโดยสไตล์เราไม่ใช่นักข่าว ก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่า แล้วเราอยากเป็นมืออาชีพเรื่องอะไรมากที่สุด ก็โอเค เราอยากเป็นมืออาชีพเรื่องการเขียนมากที่สุด ก็เลยตัดสินใจลาออก" 
 
      "คราวนี้เขียนหนังสืออย่างเดียวจริงๆ ตอนนั้นประมาณปี 40 – 41 แล้วก็ต้องปรับตัวว่าเราต้องกลับไปอยู่บ้านเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด แล้วก็จะตั้งใจเขียนอย่างจริงจัง งานของเราในช่วงนั้นได้ลงถี่มากเลยนะ จนรายได้ต่อเดือนนี่ประมาณ 3-4,000 ทั้งที่เราก็ไม่ได้มีคอลัมน์ประจำ ซึ่งก็รู้สึกว่ามันก็พออยู่ได้นะ ดูแลตัวเองได้ แล้วช่วงนั้นก็สอนพิเศษให้เด็กๆ ตอนเย็นๆ ด้วย" 
 
      "อยู่อย่างนี้มาถึงปี 42 นะ พ่อแม่ก็เริ่มห่วง มันเป็นช่วงที่พี่ได้ประดับช่อการะเกด จากเรื่อง เดียวดาย พี่ก็แปลกใจนะว่า เออ แทนที่เขาเห็นเราได้รางวัลแทนที่เขาจะดีใจและสนับสนุนเรา เขากลับบอกว่า เอ้อ ได้รางวัลแล้วนี่ กลับไปทำงานเถอะ (หัวเราะ) ..บอกว่า พอแล้ว ไปทำงานได้แล้ว อะไรอย่างนี้ แล้วทีนี้มันเหมือนฟลุคนะ เพราะเราไปสมัครงานเป็นหน่วยงานพิเศษของการเคหะ เป็นงานพัฒนาชุมชนเมือง แล้วมันได้ขึ้นมา ที่บ้านก็รู้สึกว่า อุ๊ย สวัสดิการดี อะไรดี เขาก็ไล่ให้ไปทำเลย ไม่ยอมให้อยู่บ้านแล้ว" 
 
      "โอย ทะเลาะกันไปพักใหญ่ เราก็ตัดสินใจไปทำ แต่ทำไปแล้ว ก็รู้สึกว่ายังอยากเขียนหนังสืออยู่ มันเหมือนคนที่มีอะไรค้างคาอยู่นะ สุดท้ายทำได้สามเดือนเราก็ลาออก ทีนี้กลับบ้านไม่ได้แล้วนะ เพราะแม่โกรธจัดไง พี่สาวบอกว่าห้ามกลับบ้านเลยนะ เข้าบ้านไม่ได้ เราก็เลยต้องหาทางช่วยตัวเองให้ได้ ก็ไปอยู่ตามต่างจังหวัด อยู่ตรงโน้นตรงนี้เรื่อยไป" 
 
      "มีช่วงนึง กลับขึ้นไปอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นช่วงฟุตบอลโลก ตอนนั้นเขาก็ชวนกลับมาบ้านนะ ที่บ้านคงรู้สึกว่าเราเองอายุเยอะขึ้น พ่อแม่ก็แก่ขึ้น เขาก็เป็นห่วง เขาก็ถามว่าจะมาอยู่บ้านไหม แต่เราก็รู้สึกไม่อยากอยู่แล้ว โตแล้ว ออกมาไกลขนาดนี้แล้วด้วย อยากอยู่เองนะ มันสบายใจกว่า เพราะถ้าบางทีเรายังเขียนหนังสือ อยู่บ้านบางทีเขาพูดอะไรขึ้นมาแล้วเราไม่สบายใจ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ว่าละเอียดอ่อนนะ มีผลต่อจิตใจเราเยอะ" 
 
      "แต่เราก็ไปอยู่กับเขาพักหนึ่งนะเพราะว่าอยากดูฟุตบอล" เธอสรุปพร้อมกับหัวเราะเบาๆ 
 
      "ดูบอลโลกจบปุ๊บ ที่สุรินทร์เขาเชิญไปพูดเรื่องการเขียนให้เด็กๆ นักเรียนที่โน่นฟัง เราก็ไปแล้วก็เจอเพื่อน เขาก็ชวนไปทำงาน ทีแรกก็กะว่าอยู่สักเดือนสองเดือน คือเขาให้ไปช่วยเขียนงานแล้วเราก็อยากหาประสบการณ์ อยากเที่ยว เราก็ เออ เอา ตกลง ทีนี้อยู่ไปอยู่มา เอ๊ะ ชักสนุก แล้วงานมันก็มีอะไรที่เกี่ยวเนื่องติดพันมาเรื่อยๆน่ะ ก็เลยทำไปเรื่อยๆ" 
 
      แต่การเดินทางของเธอก็ยังไม่จบสิ้น เธอไม่ได้หยุดอยู่ที่สุรินทร์ตลอดไป แม้ว่าที่นั่นจะเป็นที่ที่สร้างความรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้านให้กับเธอได้ก็ตาม 
 
      "พอทำงานที่สุรินทร์ไปได้ปีหนึ่ง มันก็ถึงจุดที่จะว่าอิ่มตัวก็ไม่เชิงนะ แต่เราเริ่มคิดมากแล้วว่าชักอยากมีสตางค์แล้วล่ะ จนมานานเหลือเกิน พอดี พี่ บ.ก. ที่ชีวจิตกับเรารู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน เขาก็โทรมาว่า มาเป็นกองบรรณาธิการที่นี่ไหม เราดูแนวงาน ดูวิธีคิดอะไรๆ แล้วก็รู้สึกว่ามันใช่ตัวเรานะ ก็เลยมา ตอนนี้ก็ทำมาได้เดือนกว่าแล้ว" 
 
      เธอทำให้เรานึกถึงคำที่เคยมีคนบอกว่า ศิลปิน..แม้จะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าท้องยังหิว เขาก็คงไม่อาจสร้างงานดีๆ ได้ และเมื่อลำพังความฝันไม่อาจทำให้เราอยู่รอด เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกของความเป็นจริง 
 
      "อาจเพราะบางทีเราก็เริ่มเหนื่อยกับความจน (หัวเราะ) สนุกมันก็สนุกนะ แต่บางทีช่วงที่จนมันก็ เอ๊ ทำไมเราอายุขนาดนี้แล้ว เบื่อมากเลยเวลาเงินหมดกระเป๋าแล้วเราต้องยืมตังคนอื่น มันทำให้รู้สึกว่าเราไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว" 
 
      "มันมีอย่างนี้ด้วยว่า ช่วงหลังๆ งานวรรณกรรมมันมีคนสนใจน้อยมาก เวทีตามหน้านิตยสารก็น้อยลง แล้วเราก็ไม่มีคอลัมน์ประจำ คือ สถานการณ์ของคนเขียนหนังสือตอนนี้ ดูจากเพื่อนๆ ทุกคนที่เรารู้จักไม่ว่าจะเป็นพี่พิสิษฐ์ ภูศรี วาด รวี หรือใครต่อใครก็เหมือนกันหมด เราต้องหาช่องทางที่จะยืนอยู่ให้ได้ก่อน เลี้ยงชีวิตให้ได้ก่อน ทุกคนต้องรับจ๊อบหมดนะ จะเขียนหนังสืออย่างเดียวไม่ได้แล้ว" 
 
      "คนอื่นเขาอาจจะอยู่ได้นะ แต่ว่าอย่างพวกเรามันไม่มีคอลัมน์ประจำไง บางคนเขาก็อาจจะมีอุดมการณ์ของเขาอยู่อย่างค่อนข้างหนักแน่นว่า ฉันไม่เขียนคอลัมน์ประจำนะ เพราะว่ามันบีบคั้นตัวเองเกินไป บางคนก็ยึดมั่นแบบนี้" 
 
      "แต่เรารู้สึกว่าตัวเราเองยังเปิดช่องให้ตัวเองเยอะมากนะ คือเราเขียนอะไรก็ได้ที่มันมาจากความคิดเรานะ ไม่ใช่ถูกบังคับแบบว่า เราไม่ได้คิดอะไรแบบนี้แล้วมาให้เราคิดน่ะ จะไม่เขียน อย่างที่ผ่านมางานที่ไปเขียนให้มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เราโอเค เราไปเรียบเรียงเรื่องราวของผู้ติดเชื้อ HIV หรืองานวิจัยชุดทุกข์ผู้ป่วย ที่เป็นเรื่องของผู้ป่วยที่ไปได้รับบริการจากโรงพยาบาลที่ไม่ดี เป็นการสัมภาษณ์ เก็บข้อมูลจากคนที่เดือดร้อนตรงนั้น เราก็รู้สึกว่าโอเคนะ แต่ถ้าให้เขียนเรื่องที่เราไม่แฮปปี้กับมันโดยเฉพาะสิ่งที่เราไม่ได้คิดน่ะ ทำไม่ได้ แต่ถึงเปิดกว้างให้ตัวเองขนาดนี้แล้วก็ยังรู้สึกว่ายังไม่สามาถที่จะโดดลงไปเขียนคอลัมน์ประจำได้นะ" 
 
      "สรุปว่า นักเขียนก็มามองหน้ากันนะ แล้วก็คิดกันว่า จะยังไงก็ต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้ก่อน แล้วอีก 3-4 ปี ไม่แน่ งานวรรณกรรมมันอาจจะเปลี่ยนไปนะ การอ่านหนังสือของคนอาจจะมากขึ้น แต่ตอนนี้เราต้องรักษาลมหายใจเราให้รอด" 
 
      เธอเล่าเรื่องเจ็บปวดของนักเขียนให้เราฟังด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่แม้ว่าเส้นทางอาชีพนักเขียนจะเต็มไปด้วยความลำบากอย่างไร เธอก็ยังยืนยันว่านี่คืองานที่เธอเลือกแล้วด้วยใจรักจริงๆ 
 
      "เพื่อนเราบางคนมันก็เฮิร์ทมาก จนแบบว่า ไม่เอาแล้วอาชีพนักเขียน แต่เราไม่คิดแบบนั้นนะ เราไม่เคยมีความคิดว่าจะเลิก หรือว่าอยากเลิกเขียน และก็ยังหวังอยู่นะว่าสักวันแนวที่เราเขียนอยู่มันจะได้รับความนิยม ได้รับความสนใจมากขึ้น" 
 
      "แต่ตอนนี้ เราเขียนหนังสือมาถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่า เราต้องการความสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งมันต้องใช้เวลา และเราก็ต้องการการเติบโตทางความคิดด้วย แต่ถ้าเราจะรอให้ตัวเองเติบโตทางความคิด 1 ปีโดยที่ไม่มีผลงานเลยแล้วเราจะเอาเงินจากไหน เอาข้าว เอากับข้าวที่ไหนกิน เราก็ต้องปรับตัว แต่ก่อนเรายังใจร้อน ก็จะรู้สึกว่าอะไรที่ไม่ชอบเราก็จะไม่เอา แต่มาหลังๆ นี่ก็ยังพอทนๆ ได้" 
 
      "จริงๆ เราก็มีความชอบหลายอย่าง งานเดิมที่เราพูดมาทั้งหมด เราก็ชอบมันทั้งหมดนะ อย่างงานพัฒนาชุมชนเราก็ชอบ เพราะมันเป็นงานที่ได้ให้อะไรกับสังคม ดังนั้นช่วงที่ทำสิ่งเหล่านี้อยู่เราก็จะทุ่มเทกับงานโดยที่ไม่ได้เขียนหนังสือเลย" 
 
      "แต่ประโยคสำคัญที่ว่า ต่อไปนี้จะมีแต่มืออาชีพน่ะ มันทำให้เรารู้สึกว่า เราอาจจะชอบอะไรหลายอย่างก็จริง แต่ว่าเราต้องเอาให้ได้สักเรื่องสิ ถ้าเราชอบไปหมด เราจะเหมือนเป็ดน่ะ ที่ไอ้โน่นก็เป็น ไอ้นี่ก็เป็น แต่ไม่ดีสักอย่าง แล้วเรารู้สึกว่าเราชอบการเขียนที่สุด แม้ว่ามันเป็นอาชีพที่ยากมากที่จะร่ำรวย.." 
 
      พูดถึงงานปัจจุบันที่กองบรรณาธาการนิตยสารชีวจิต จึงเป็นงานที่ปรับเอาสิ่งที่เธอชอบมาใช้ได้อย่างลงตัว และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ 
 
      "โชคดีที่ได้มาทำงานที่ชีวจิต เพราะบ.ก. ค่อนข้างเข้าใจแบคกราวนด์เรา เนื้อหาในส่วนที่เรารับผิดชอบดูแลจะเป็นเรื่องที่มันเกี่ยวกับวงกว้าง ออกมาในแนวสังคม เช่น ไปทำเรื่อง พ.ร.บ.สุขภาพ ซึ่งเรื่องงานตรงนี้คนในกองเขาอาจรู้สึกว่า โอ๊ย หนักจังเลย ต้องไปอ่านกฎหมาย การเมือง แต่เราชอบ ก็จะเอามานั่งอ่าน แล้วก็รู้สึกว่า ถ้ากฎหมายตรงนี้มันออกมามันจะเป็นผลดีต่อคนไทยนะ ฉะนั้นเราก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ผลักดันตรงนี้ ได้ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี หรือว่าอย่างที่ไปทำตลาดนัดสุขภาพเพื่อรณรงค์ไม่ให้เขาใช้สารพิษมันก็จะเกี่ยวกับชีวจิตนะ เพราะชีวจิตมีแนวคิดกว้างๆอยู่ กายกับใจมันก็ต้องไปด้วยกันนะ คุณดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจคุณก็ต้องดีด้วย จิตใจดีแล้วสังคมก็จะดีด้วย ซึ่งมันตรงกับวิธีคิดของระบบสุขภาพ พ.ร.บ. ตัวใหม่นี้มาก เพราะเรื่องของสุขภาพในปัจจุบันนี้มันจะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องสังคม เรื่องของวัฒนธรรม" 
 
      "โอ๊ย แล้วยิ่งพอเขาตีความไปแบบนี้ปุ๊บนะ มันก็ยิ่งสนุกเราเลยเพราะว่าเราสามารถไปทำประเด็นในเรื่องวัฒนธรรมได้ ไปทำในเรื่องของปัญหาทางสังคมได้ ซึ่งทางบ.ก. เขาก็สนับสนุน แต่เราก็ยังต้องทำในเรื่องของสุขภาพด้วยนะเพราะไม่อย่างนั้นมันจะหลุดมากเกินไป ก็ถือว่าสนุก และบางทีเราก็เขียนอย่างมีความสุขเลยล่ะ" 
 
      "ส่วนงานเชิงวรรณกรรม บทกวี เรื่องสั้นนี่ แต่ก่อนเวลากลับไปที่ห้องเรายังมีทีวีอยู่ แต่ตอนหลังเราเอาไปคืนเขา แล้วก็รู้สึกว่าดีจังเลย เพราะมันทำให้เราได้เขียนหนังสือ" เธอหัวเราะ "เพราะมันว่างไง เราก็เปิดเพลงฟัง คิดโน่น คิดนี่ แล้วก็มานั่งเขียนหนังสือ รู้สึกว่าระบบชีวิตช่วงนี้เข้าที่เข้าทางมาก กลางคืนก็ได้ทำงานเขียน ตื่นมาตอนเช้าก็มาทำงาน แล้วก็ไม่จนแล้ว" 
 
      "ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อนะ แต่ความฝันของเราคืออยากอยู่ต่างจังหวัด ก่อนเข้ากรุงเทพนี่เราคิดหนักมากเลยเพราะตอนอยู่สุรินทร์นี่เราแฮปปี้น่ะ เราสนุกและเรามีความคิดฝันหลายอย่างตรงนั้น เรามีเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน ทำงานด้านวัฒนธรรม ศึกษาประวัติของชุมชนสุรินทร์ ดนตรีพื้นบ้าน ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากทำตรงนั้น แต่เงินมันก็ซัพพอร์ตน้อยนะ อย่างเราศึกษาชุมชนนึงได้มาสี่พัน มันก็ไม่ใช่สี่พันเป็นค่าเขียนอย่างเดียวนะ แต่มีค่าวัสดุ อุปกรณ์ ค่าเดินทาง เหลือค่าเขียนแค่ 1,500 เอง มันน้อยเกิน ก็คิดอยู่ว่าอีกหน่อยถ้าเราทำงานตรงนี้ รู้จักแหล่งทุนอะไรมากขึ้น แล้วจะกลับไปทำงานตรงนั้นอีก แต่ต้องขอทุนทำงานมากกว่านี้ ให้เราได้ทำอะไรให้มันมากขึ้น" 
 
      "ใจจริงเราอยากอยู่ต่างจังหวัด อยู่สุรินทร์นี่ได้ปั่นจักรยานตอนเย็นๆ ทุกวัน ได้เขียนหนังสือด้วยได้ทำอะไรด้วย ได้ออกกำลังกาย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีมีเพื่อนฝูงที่สนุกสนาน แต่ตอนนี้จังหวะมันก็อาจจะยังไม่ใช่" 
 
      "บางทีเราควรจะมาเรียนรู้โลกให้มากขึ้น มาทำให้ตัวเองเติบโตก่อนที่จะถอยออกไปทำตรงนั้น เราเลยเข้ามากรุงเทพ คิดว่ามาทำให้ตัวเองเติบโตมากๆ พอที่เราจะไปตั้งหลักอยู่ต่างจังหวัดแล้วฐานเราแน่น นี่เป็นความฝันของเราในวันข้างหน้า ฝันไว้หลายอย่าง" 
 
      "อยากให้คนในท้องถิ่นแต่ละที่ได้ทำอะไรให้กับบ้านเกิดตัวเองนะ อย่างเราเองเป็นคนแม่ฮ่องสอน แต่ตอนนี้มันคงยากที่จะกลับไป เพราะครอบครัวเราย้ายไปอยู่เชียงใหม่แล้วตั้งแต่ปี 38 เสียใจมากนะตอนที่ย้ายมา รู้สึกว่าตัวเองถูกตัดขาดรากเหง้า เมื่อก่อนตอนเรายังเด็กเรารู้คุณค่าของบ้านเกิด แต่ไม่ได้ใส่ใจ เพราะยังอยากไปโน่นไปนี่ ไปทำอะไรอย่างอื่นอยู่ แต่พอเราอยากกลับไป มันกลับไม่ได้แล้ว" 
 
      และนี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอเกิดความผูกพันกับจังหวัดสุรินทร์ เพราะว่า.. 
 
      "พอเราไปอยู่สุรินทร์ เรารู้สึกว่ามันมีอะไรที่ได้ความรู้สึกคล้ายๆ บ้านเกิดเรานะ แม้ว่าสภาพแวดล้อมมันจะต่างกัน แต่มันมีอะไรเล็กๆ อย่างความผูกพันของคนในชุมชน เช่น ปั่นจักรยานไปแล้วแม่ค้าทักว่า ไปไหน หรือตอนเช้าๆ เราได้ตื่นมาใส่บาตร เราจะรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้เราหายไป หายไปนานมาก ก็เลยรู้สึกชอบ" 
 
      "ทีนี้เวลาที่ใครสักคนหนึ่งอยากจะทำอะไรที่เป็นการรักษาความรู้พื้นบ้านหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อบ้านเกิดเขา เราก็เลยรู้สึกว่าอยากจะช่วยด้วย อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ได้มีส่วนช่วยในการทำงานตรงนั้น นี่ก็เป็นอีกความฝัน เราอยากกลับไปทำงานตรงนั้นอีก แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนนะ" 
 
      เราถามเธอถึงความฝันในเรื่องของงานวรรณกรรม เธอบอกว่า.. 
 
      "ความฝันเกี่ยวกับการทำงานวรรณกรรมก็ยังอยู่ ฝันไว้เยอะมาก งานเราหลังๆ มันจะออกไปในทางนิยายนะ เวลามันมีประเด็นแวบขึ้นมานะ มันก็จะรู้สึกว่า เออ น่าจะเอาไปใส่ในนิยายเรื่องนี้ๆ จะมีแฟ้มนะ พอได้ข้อมูลมาก็เก็บใส่ๆ รอวันที่มันจะเสร็จ แต่ก็มีงานเก่าที่เขียนไว้เมื่อประมาณสามปีก่อน ชื่อเรื่อง เพราะโลกเรากลมเหมือนส้มใบหนึ่ง เราส่งไปให้พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยงอ่าน แล้วที่กำลังจะพิมพ์ออกมา คิดว่าคงเร็วๆ นี้ละ อันนี้เป็นนิยายเยาวชนนะ คงเป็นเล่มแรกที่ได้ออกมา" 
 
      "อีกเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้น หรือจะเรียกว่าเป็นเรื่องสั้นๆ เลยก็ได้ เพราะบางเรื่องมันก็สั้น พี่กุดจี่ พรชัย แสนยะมูลเป็นบ.ก. ชื่อ บางฉากของความรัก เพราะเราเขียนเรื่องความรักเยอะไง ก็เลยเอามารวม เป็นมุมที่เป็นเรื่องของอารมณ์ โทนเหงาๆ เศร้าๆ" 
 
      "ส่วนความคาดหวังในงานวันข้างหน้านะ มีนิยาย 3-4 ชิ้นที่อยากทำ เป็นเรื่องของมนุษย์คนหนึ่งที่มันมองโลกในแง่ดี ดีมากๆ จนบางครั้งมันไม่เข้าใจว่าสังคมเป็นยังไง เราอยากจะคลี่คลายตรงนี้ แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดถึงคือเรื่องการเดินทางของมนุษย์ การที่เราถูกตัดขาดจากรากเหง้า คือเราได้แรงบันดาลใจจากการที่ไปอยู่ที่สุรินทร์ ได้เรียนรู้เรื่องราวของคนท้องถิ่น คนกุลา แล้วก็เกิดคำถามกับตัวเองว่าทำไมมนุษย์ต้องเดินทาง ทำไมต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนเรามานะ ทำไมนะ มันคือชะตากรรมหรือเปล่า แต่ที่จริงพอไปดูประวัติศาสตร์ก็จะเห็นว่ามนุษย์เราเดินทางมาตลอด ก็อยากรู้ว่าทำไมต้องเดินทาง การเดินทางมันมีเสน่ห์ยังไง แต่ยังไม่ได้เขียนสักที" 
 
      "อุ๊ย มีอีกเยอะแยะเลย เป็นโครงการในฝันหมดเลย ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เราจะมีแฟ้มสมุดแยกไว้เป็นเรื่องนี้ๆ แล้วก็อาจจะมีร่างดินสอบ้าง แต่ยังไม่ได้เรียงร้อย คือถ้าวันหนึ่งเมื่อเราเริ่มพิมพ์มันก็จะเป็นการทำงานจริงๆ แต่ตอนนี้มันยังเป็นความคิด เป็นการเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้ลงมือทำงานจริงๆ" 
 
      "นี่กะว่าเงินเดือนออกงวดหน้าจะไปผ่อนคอมพิวเตอร์" เธอพูดพลางหัวเราะ "ที่ผ่านมาใช้คอมคนอื่นไง แล้วจะมีเครื่องพิมพ์ดีดอยู่เครื่องหนึ่ง บางทีไม่มีคอมเราก็ใช้เครื่องพิมพ์ดีด แต่ถ้าเป็นนิยายมันควรจะมีคอมเนอะ ก็ฝันไว้ คราวนี้ถ้ามีคอมแล้วยังไม่ทำก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว" 
 
      พูดถึงวิธีการทำงานกัน แม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการทำงาน 
 
      "ทุกวันนี้เราก็ร่างมือคร่าวๆ ก่อนที่จะพิมพ์นะ แต่อย่าง เดือนวาด พิมวนา นี่เขาเขียนมือจนเสร็จเลยนะถึงได้เอาไปพิมพ์ นับถือเขานะ ส่วนหนึ่งมันเป็นเรื่องของการจัดระเบียบความคิดด้วย คนที่มีอารมณ์ค่อนข้างนิ่งแล้วก็ระเบียบความคิดดีน่ะ มันจะ 1 2 3 4 5 เรียงมาเลย แต่ความคิดเรามันไร้ระเบียบมาก คือเป็นคนที่พอคิดอะไรได้เราจะโลภมาก จะเอามากองตรงหน้าทั้งหมดเลย อะไรนิดๆ หน่อยๆ เราก็จะเอามากองให้หมดเรียงๆๆ แล้วค่อยดึงออกมาเรียงใหม่ว่าตรงไหนจะมาก่อนหลัง จะช้ากับเรื่องอย่างนี้มาก ในขณะที่บางคนไม่ต้องทำแบบเรา เขาสามารถไล่ 1 2 3 ได้เลย คนอื่นเขาเก่งกว่าเรานะ ระเบียบความคิดเขาดี เราระเบียบความคิดไม่ดี ก็ต้องหาวิธีมารองรับให้เราปิดงานได้โดยไม่ต้องขายหน้าเขา" 
 
      เรื่องท้ายสุด แต่ไม่ใช่เรื่องสุดท้าย เราเปิดประเด็นด้วยการถามความเห็นของเธอเกี่ยวกับทิศทางของวงวรรณกรรมไทยว่าจะมีความเป็นไปอย่างไรบ้าง 
 
      "ทิศทางของงานศิลปะ ไม่ใช่แค่งานวรรณกรรมอย่างเดียวนะ แต่รวมอะไรหลายๆ อย่างในยุคนี้ ตัวแปรมันคือการโฆษณาประชาสัมพันธ์นะ เรารู้สึกว่าคำว่าการประชาสัมพันธ์มันยังฟังดูดี แต่จริงๆ มันคือการโฆษณาเลยละ มีหนังสืออยู่หนึ่งเล่ม ต่อให้ดีแทบตายเลยเถอะ ถ้าไม่มีการโฆษณามันก็จะเงียบอยู่อย่างนั้น" 
 
      "ดูเหมือนว่าเดี๋ยวนี้คนอ่านหนังสือกันเยอะขึ้น ขายหนังสือได้เยอะขึ้น บริษัทต่างๆ ออกมาพิมพ์หนังสือขายกันเยอะแยะ แต่ว่าการพิมพ์หนังสือจะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เออ หนังสือเล่มนี้ขายได้ไหม เท่าที่รู้มา หลายสำนักพิมพ์จะประเมินต้นแบับเลยว่าถ้ามันขายไม่ได้ ถึงดียังไงก็ไม่พิมพ์ หรือถ้าไม่งั้นก็ เออ รอไปก่อนนะ ถ้ามีโอกาสแล้วจะพิมพ์ แล้วก็รอกันไป อย่างบริษัทนี้มีหนังสือออกมาปีละแสนเล่มต่อปี ก็อาจจะแหมะวรรณกรรมไว้สัก 5 เล่ม มันน้อยมาก" 
 
      "แต่อย่างวรรณกรรมแปลนี้ขายได้นะ ที่มันขายได้เพราะว่ามันดังจากที่อื่นมาก่อน บวกแรงโปรโมทในเมืองไทยไปอีกหน่อยหนึ่ง พอเป็นที่รู้จัก คนก็ซื้อ" 
 
      "เรายังเดานิสัยการอ่านของคนไทยไม่ได้ แต่ถ้าให้มองกันแบบผิวเผินก็รู้สึกว่า มันยังเป็นการอ่านตามกระแสกันอยู่ แต่อย่างน้อยก็ยังโอเคนะ ที่เขาก็ยังอ่านหนังสือกัน มีนิสัยของการรักการอ่านมากขึ้น ถึงวันหนึ่งที่เขาหลุดจากกระแสได้ เขาคงจะเริ่มเลือกกันมากขึ้นว่าจะอ่านอะไรบ้าง แต่ยุคนี้มันเป็นยุคบริโภคนิยมไง ของทุกอย่างเราเหลือเฟือมาก ไม่ใช่แค่หนังสือนะ เพลงก็ล้นตลาด ถูกไหม โลกยุคนี้อะไรๆ มันก็เหลือเฟือล้นหลามไปหมดเลย ทีนี้พอของมันเหลือเฟือล้นหลามมากๆ ไอ้สินค้าแต่ละตัวมันเลยต้องแย่งกันมาก เราว่าบรรยากาศวงการหนังสือมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ" 
 
      เราถามเธอว่า เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ คนเขียนรู้สึกท้อแท้บ้างไหม 
 
      "เรื่องนี้ทำให้ท้อเยอะอยู่นะ ท้อด้วยอิจฉาด้วยนะ" เธอหัวเราะ "เพราะเห็นเขาขายได้เยอะเราก็อิจฉา แต่แบบว่าเราไม่เคยไปด่า หรือพูดว่า โฮ๊ย ดาราเขียนหนังสือ ไม่มีนะ ตัวเราก็ยังยึดมั่นที่จะเขียนหนังสือในแนวของเราต่อไป ยังรักในงานวรรณกรรม" 
 
      "แล้วเราก็คิดนะ ว่าถ้าตัวเองทำหนังสือดีๆ ออกมาสักเล่มหนึ่งเราก็คงอยู่เฉยไม่ได้เพราะเราอยากให้คนอ่านหนังสือ เราก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดันหนังสือเราขึ้นไปอยู่ข้างหน้าให้ได้ เราคิดนะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน แต่ถึงตอนนั้นเราต้องเชื่อว่าหนังสือเราดีและเราจะลงมือทำ แต่รับรองว่าไม่ไปถ่ายนู้ดแน่นอน" 
 
      "ก็เพื่อนเราชอบแซวไง ว่า เฮ้ย ขายไม่ออกก็ไปเป็นดารา ไปถ่ายนู้ดก่อนไป แล้วค่อยมาขายหนังสือ" 
 
      "พูดถึงงานความเรียงนี่ก็ชอบ แล้วก็ยังทำอยู่ จะว่าไปงานความเรียงมันยังเป็นที่ต้องการของสำนักพิมพ์มากกว่าพวกเรื่องสั้นอีกนะ แต่เราไม่ได้เขียนความเรียงเพราะมันขายได้ ไม่ได้เป็นพวกตุ๊กแกจิ้งจกเปลี่ยนสีอะไรแบบนั้น" 
 
      "พูดถึงเรื่องท้อ ถ้าเราท้อแล้วเราไปก่นด่า โวยวายว่าเลิกเป็นนักเขียนแล้วนี่ไม่เป็นหรอก เรายังอยากเขียนหนังสือไปจนแก่จนเฒ่า" 
 
      และสุดท้าย ที่เป็นท้ายสุดจริงๆ กับเรื่องความคาดหวังในอนาคต 
 
      "ในอนาคต ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปอยู่ต่างจังหวัด เชียงใหม่ เชียงราย สุรินทร์ สามจังหวัดที่อยากไป ที่พูดถึงเชียงรายเพราะพี่สาวอยู่ที่นั่น 2 ครอบครัว ส่วนเชียงใหม่ก็คือบ้านพ่อแม่ แต่สองที่นั้นไม่มีความผูกพันในชุมชนนะ ไม่เหมือนที่สุรินทร์ เรามีความผูกพันกับที่นั่นสูงเพราะว่าทั้งเพื่อนทั้งงาน อะไรหลายๆ อย่าง แต่ตอนนี้มันก็ยังเดาไม่ได้เนอะ วันหน้าก็คงรู้เองว่าเราจะไปอยู่ตรงไหน" 
 
      "แต่ก็หวังไว้ว่าสักวันจะไปอยู่ต่างจังหวัด จะเปิดร้านเล็กๆ ตั้งสำนักงานเล็กๆ ที่ทำงานเชิงวัฒนธรรม ศึกษาประวัติข้อมูลพื้นบ้าน ไปขอทุนตรงโน้นตรงนี้มา ส่วนหนึ่งก็เป็นร้านของตัวเอง ให้ร้านตรงนี้เป็นฐานการเงินเรานะ เวลาอีกส่วนหนึ่งเราจะเขียนหนังสือ โอ้โห ถ้าทำได้จะมีความสุขมากๆ เลย" 
 
      ในขณะที่เธอเล่าถึงความใฝ่ฝัน เราเห็นดวงตาของเธอยิ้ม 
 
      "แต่เราก็ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นจะได้เป็นนักเขียนเบสท์เซลเลอร์หรือยังนะ" เธอหัวเราะ ก่อนจะจบบทสรุปด้วยน้ำเสียงจริงจัง "แต่เราก็คิดว่าถ้าไปอยู่ต่างจังหวัด ก็ควรต้องมีคอลัมน์ประจำในกรุงเทพ หรือไม่งั้นก็ ..ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องให้อยู่ได้ก่อน ถึงจะกลับไป" 
 
      สร้อยแก้ว คำมาลา ยังคงพยายามเพื่อทุกสิ่งที่เธอรักและฝันต่อไป 
 
      และเราก็ขอภาวนาให้ความฝันของเธอเป็นจริง… 
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากเว็บไซต์ http://www.praphansarn.com