สตีฟ จ็อบส์ ยังไม่ตาย ! ใน Steve Jobs by Walter Isaacson’

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2554 (ค.ศ. 2011) สตีฟ จ็อบส์ จากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 56 ปี…นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของทั้งโลกไอทีและโลกจริง
ผู้คนมากมายจากทุกมุมโลกต่างโศกสลดเมื่อทราบข่าว หลายคนพร้อมใจร่วมไว้อาลัยแด่เขาและรำลึกถึงเขาอย่างอาวรณ์ ทว่า จะเป็นเช่นไรหากวันนี้พวกเขารู้ว่า "สตีฟ จ็อบส์ ยังไม่ตาย !" และกำลังกลับมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาแก่ชาวไทยผู้ได้ชื่อว่าคลั่งผลิตภัณฑ์ตราแอ๊ปเปิ้ลแหว่งของเขาคนนี้เป็นที่สุด
แม้ว่าวันนี้ 'สตีฟ จ็อบส์' จะเสียชีวิตไปถึง 2 เดือนเต็มแล้ว แต่ความรับรู้ของคนทั่วโลกทั้งที่เป็นสาวกผลิตภัณฑ์ตระกูล 'i' (ไอ) ทั้งหลาย อาทิเช่น iPod, iPhone, iPad และตระกูล Mac ตลอดจนคนที่ไม่เคยสัมผัสของพวกนั้นมาก่อนยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ ชื่อของเขายังถูกพูดถึงตลอดเวลา บางคนยกย่องเขาให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกเทียบเท่านักประดิษฐ์อย่าง โธมัส อัลวา เอดิสัน และ เฮนรี่ ฟอร์ด บางคนเชิดชูเขาในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับโลก บางคนมองเขาเป็นเพียงคนก้าวร้าวที่จ้องจะหาผลกำไรจากผลิตภัณฑ์ราคาแพง บางคนบอกว่าเขาน่ารัก บางคนบอกว่าเขาน่ากระทืบ…ฯลฯ ทุกสิ่งอย่างที่เขาถูกกล่าวขานถึง ล้วนสะท้อนมุมมองของผู้คนรอบกายซึ่งมีต่อเขา ไม่ว่าจะแง่ร้ายหรือดี จ็อบส์ยินดีน้อมรับ โดยไม่ปฏิเสธว่าเขาเป็นเช่นนั้นหรือไม่ นี่คือ ข้อพิสูจน์ถึงความใจกว้างของเขา และมองตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มีรัก โลภ โกรธ หลง เฉกเช่นมนุษย์อื่น
ตลอดเวลาที่ สตีฟ จ็อบส์ มีชีวิตอยู่ หลากหลายแง่มุมชีวิตของอดีตซีอีโอแอ๊ปเปิ้ลผู้นี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนค่อนข้างน้อย คล้ายชีวิตเขาถูกบดบังด้วยผนังหนาซึ่งจ็อบส์เป็นคนสร้างมันขึ้นเอง เขาปรารถนาความสงบ เรียบง่าย จึงไม่จำเป็นจะต้องให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นใคร ใช้ชีวิตอย่างไร น่าจะมีเพียงครั้งที่เขาได้รับเชิญไปบรรยายในงานมอบปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี ค.ศ. 2008 ที่เขาเล่าเรื่องสอนใจให้นักศึกษาฟัง 3 เรื่อง คือ การเป็นบุตรบุญธรรม การเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคันแล้วเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่ตนชอบ และการถูกปลดออกจากบริษัทที่เขาสร้างมาจนกลับมาสู่การเริ่มต้นใหม่ จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่เขารู้ว่าเวลาแห่งชีวิตเริ่มนับถอยหลัง โรคมะเร็งกำลังจะคร่าชีวิตเขาไปในไม่ช้า จ็อบส์เริ่มมองหาใครสักคนที่จะบันทึกชีวประวัติของเขา ด้วยค่าที่เขาหลงใหลความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) เขารู้ว่ามีนักเขียนคนหนึ่งเป็นนักบันทึกชีวประวัติตัวยงของโลก นักเขียนคนนั้น คือ วอลเตอร์ ไอแซคสัน ซีอีโอของสถาบันแอสเพน (The Aspen Institute) เคยดำรงตำแหน่งประธานซีเอ็นเอ็น และบรรณาธิการนิตยสารไทม์ ชีวประวัติบุคคลที่เขาเขียนล้วนเป็นบุคคลสำคัญของโลก เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เบนจามิน แฟรงคลิน, คิสซิงเจอร์ เป็นต้น
จ็อบส์รู้ดีว่าการจะทาบทามให้ไอแซคสันยอมเขียนชีวประวัติของตนไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ทว่า เขาก็ปรารถนาเช่นนั้น จ็อบส์ยกหูโทรศัพท์ต่อสายตรงถึงไอแซคสันเพื่อบอกจุดประสงค์ของเขา แต่สิ่งที่จ็อบส์ได้รับกลับมาคือคำปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
ไอแซคสันไม่รู้ว่าจ็อบส์กำลังเผชิญกับโรคร้าย เขาบอกกับจ็อบส์ว่าชีวิตของจ็อบส์ยังอีกยาวไกล ยังมีขึ้นมีลงอีกมาก ดังนั้น จึงไม่ถึงเวลาที่ไอแซคสันจะมาบันทึกชีวประวัติของจ็อบส์ อีกทั้งยังเหน็บแนมด้วยว่าจ็อบส์คิดว่าตัวเองเป็นบุคลสำคัญของโลกแล้วหรือ !?
ถึงแม้อดีตซีอีโอแอ๊ปเปิ้ลจะถูกตัดรอน แต่เขาก็หาได้ย่อท้อไม่ เขาเทียวโทรศัพท์ไปหาไอแซคสันอยู่เรื่อยๆ และยื่นข้อเสนอแก่ไอแซคสันว่าหากเขาเขียนชีวประวัติเสร็จสิ้นจ็อบส์จะไม่เข้ามาแทรกแซงหรือตรวจสอบต้นฉบับแน่นอน ซึ่งช่างขัดกับอุปนิสัยของจ็อบส์ที่ชอบควบคุมและจัดการทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขา ถึงกระนั้นไอแซคสันก็ยังไม่ยอมเขียน กระทั่งข่าวสตีฟ จ็อบส์เป็นโรคมะเร็งไปถึงหูไอแซคสัน ณ ขณะนั้นเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจ็อบส์จึงตื๊อเขาถึงเพียงนี้ เขาจึงตกปากรับคำยอมเขียนชีวประวัติสตีฟ จ็อบส์แต่โดยดี
ทว่าไอแซคสันไม่ใช่นักเขียนรับจ้าง นักเขียนเงา หรือนักเขียนผี (Ghost Writer) ที่เขียนตามใบสั่ง เขาต้องการตีแผ่ทุกแง่มุมของคนที่เขาเขียนถึง เขาจึงตกลงกับจ็อบส์ว่าจะสัมภาษณ์ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับจ็อบส์ทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด และเขาจะเขียนทั้งด้านมืดและด้านสว่างของจ็อบส์อย่างหมดเปลือก ซึ่งแน่นอนว่าจ็อบส์ยินยอมด้วยใจกว้าง
หลังจากนั้น ตลอดระยะเวลา 2 ปี สตีฟ จ็อบส์ ถูกสัมภาษณ์กว่า 40 ครั้ง รวมทั้งผู้คนมากมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขากว่า 100 คน อาทิเช่น สมาชิกในครอบครัว เพื่อน ศัตรู คู่แข่งทางธุรกิจ และเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น กระทั่งกลายเป็นหนังสือ Steve Jobs ซึ่งวอลเตอร์ ไอแซคสัน บรรยายชีวิตอันโลดโผน บุคลิกภาพกร้าวแกร่งของผู้ประกอบการธุรกิจหัวคิดสร้างสรรค์ ที่ทุ่มเทชีวิตอย่างบ้าระห่ำเพื่อความสมบูรณ์แบบและแรงขับดันมหาศาลที่พลิกโลกอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ภาพยนตร์แอนิเมชัน ดนตรี โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์แทบเล็ต และสื่อสิ่งพิมพ์ดิจิทัล
ก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะเสร็จสมบูรณ์ สตีฟ จ็อบส์ ได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่ว่า "จะไม่อ่านต้นฉบับก่อนพิมพ์เสร็จ" เพราะเขาต้องจากโลกนี้ไปเสียก่อน การจากไปครั้งนั้นทำให้ไอแซคสันต้องเร่งแก้ไขต้นฉบับ เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของจ็อบส์ และความตายก็ยิ่งเพิ่มดีกรีให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากขึ้นหลายเท่าตัว จนได้แปลตีพิมพ์เป็นหลายภาษาในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า ว่าที่เมืองหนังสือโลกปี พ.ศ. 2556 อย่างประเทศไทย ย่อมสนใจหนังสือดีเล่มนี้เช่นกัน
สุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น คือ คนหนึ่งซึ่งหลงใหลมนต์เสน่ห์แห่งชีวประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ ที่ร่ายโดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน ถึงกับตั้งปณิธานไว้เลยว่าจะต้องนำหนังสือเล่มนี้มาตีพิมพ์เป็นภาษาไทยให้จงได้ โดยรีบติดต่อเอเยนซีเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ และความพยายามก็เป็นผล สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์จึงได้รับลิขสิทธิ์แปลและตีพิมพ์หนังสือ Steve Jobs ฉบับภาษาไทย
และ สุทธิชัย หยุ่น ก็ขันอาสามานั่งแท่นบรรณาธิการด้วยตัวเอง เพราะมองว่านี่เป็นหนังสือเล่มสำคัญของโลกที่กล่าวถึงบุคคลสำคัญคนหนึ่งของโลก ซึ่งต่างจากหนังสือที่กล่าวถึง สตีฟ จ็อบส์ เล่มอื่นๆ ที่ผุดอยู่บนแผงหนังสือมากมาย โดยสุทธิชัย ยืนยันว่าไม่มีหนังสือเล่มใดเล่าถึงชีวประวัติของสตีฟ จ็อบส์ได้ลุ่มลึก รอบด้าน เท่ากับที่ไอแซคสันเขียน
ยิ่งได้คณะแปลฝีมือดี นำโดย ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ นักแปลชั้นเซียนที่สนอกสนใจประวัติของจ็อบส์อยู่เป็นทุนเดิมด้วยแล้ว หนังสือ สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน จึงเสร็จสมบูรณ์โดยไม่ยากเย็นนัก
ณงลักษณ์ เล่าว่าเธอสนใจประวัติของจ็อบส์มาก แต่เขาให้สัมภาษณ์ตามสื่อทั่วไปน้อย รายละเอียดส่วนตัวที่เธอรู้ล้วนมาจากการบอกเล่าปากต่อปาก ทั้งนี้ ผู้บริโภคส่วนมากก็รู้จักแต่ผลิตภัณฑ์ของจ็อบส์เสียมากกว่า เมื่อณงลักษณ์ได้รับต้นฉบับประมาณกลางเดือนกันยายน 2554 ซึ่งจ็อบส์ยังไม่ตาย เธอก็ค่อยๆ แปล เพราะคิดว่ายังไม่มีเหตุให้หนังสือเล่มนี้ต้องเร่งตีพิมพ์จำหน่าย ทว่ามาถึงปลายเดือนตุลาคม 2554 สตีฟ จ็อบส์ ด่วนจากไป ทำเอาเธอตั้งตัวไม่ติด มึนงง และงานที่เธอกำลังแปลก็ถูกดึงกลับไปเพื่อแก้ไขด้วย แม้ต้นฉบับบางส่วนจะยังไม่ได้รับคืนมา แต่กำหนดตีพิมพ์ซึ่งเดิมทีไม่มีกำหนดชัดเจนก็ถูกกำหนดให้เร็วขึ้นทันที
"พอจ็อบส์ตายก็ต้องรีบออก กำหนดการกระชั้นขึ้น" ณงลักษณ์กล่าว
หลังจากนั้น ณงลักษณ์และคณะแปลรวม 5 คน ต่างเร่งรีบแปลต้นฉบับที่ยังอยู่ในมือให้เสร็จพลางลุ้นระทึกว่าต้นฉบับส่วนที่เหลือจะกลับมาถึงเมื่อไร แต่หลังจากนั้นไม่นาน ต้นฉบับที่พวกเขารอคอยก็มาถึง กำหนดการที่ สุทธิชัย ต้องการให้หนังสือเล่มนี้วางแผง คือ ภายในปี 2554 นี้ ซึ่งขณะนั้น เธอและคณะแปลเหลือเวลาเพียงเดือนเศษ ความกดดันเริ่มถาโถมเข้ามา
ผ่านไป 1 เดือนเศษ ต้นฉบับแปล สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน วางอยู่บนโต๊ะของสุทธิชัย เขาแปลกใจมากที่เห็นต้นฉบับเสร็จภายในเวลาไม่นานแต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่หนังสือเล่มนี้กำลังจะได้ตีพิมพ์สักที
"ที่ผมมาเป็นบรรณาธิการเพราะกลัวมันจะไม่ทัน ผมเข้าใจนิสัยของศิลปินคือมักจะไม่ทันเวลา แต่คุณณงลักษณ์ก็แปลได้ภายในเดือนครึ่ง" สุทธิชัยกล่าว
ด้านณงลักษณ์ เปิดเผยว่าที่แปลได้เร็วและดี ก็เพราะไอแซคสันเขียนมาดีมาก สนุก ไม่ต่างจากนิยาย
"คนเขียน เขียนได้ดีมาก มีสีสัน ตัวละครเยอะ เหมือนอ่านนิยาย หลายอย่างในชีวิตของจ็อบส์ไม่มีใครได้เจอง่ายๆ ตั้งแต่เด็กถูกยกให้คนอื่นก็น่าสนใจแล้ว"
นอกจากนี้ ยังมีหลายเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ และจะไม่มีวันรู้ถ้าไม่อ่านหนังสือเล่มนี้ อาทิเช่น นักธุรกิจผู้แข็งกร้าวอย่างจ็อบส์ฝักใฝ่แนวปฏิบัติแบบพุทธนิกายเซน
ก่อนหน้านี้ สุทธิชัย เคยเขียนถึงจ็อบส์ไว้ในคอลัมน์กาแฟดำหัวเรื่อง 'สตีฟ จ็อบส์ เซน และความตาย' สุทธิชัย เห็นอะไรในตัวจ็อบส์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเซน สุทธิชัย เล่าว่าจ็อบส์วัยหนุ่มหลงใหลเซนมาก เขาเรียนรู้และปฏิบัติตามแนวทางเซนโดยตลอด แต่อารมณ์อันแปรปรวน บุคลิกอันแข็งกระด้าง และอัตตาที่เต็มตัว ทำให้เขาไม่เคยเข้าถึงแก่นของเซนได้สักที แต่เขาก็ยังยึดถือแนวทางเซนมาดำเนินชีวิตโดยตลอด และเซนก็มีอิทธิพลต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขา รวมทั้งผลิตภัณฑ์ไฮเทคของเขาด้วย
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ถึงกับเปรียบเปรยว่า "เซน คือ แอ๊ปเปิ้ล และ แอ๊ปเปิ้ล คือ เซน" เพราะกระแสแนวคิดต่างๆ ที่จ็อบส์นำมาใช้ล้วนมาจากเซน หากสังเกตให้ดีรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อแอ๊ปเปิ้ลค่อนข้างเรียบง่าย แต่แฝงด้วยประสิทธิภาพเหลือคณา ซึ่งก็ตรงกับหลักปรัชญาเซนที่มุ่งเน้นความเรียบง่ายแต่มีประโยชน์มากที่สุด
ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่า "เขาใช้เซนในหลายด้าน เช่น ในนวัตกรรม สินค้าของเขาเรียบง่ายแต่ดี เซนคือความเรียบง่ายแต่เปี่ยมประสิทธิภาพ"
นอกจากความเรียบง่ายในชีวิตแล้ว การฝึกจิตนับเป็นสิ่งที่จ็อบส์ชื่นชอบมาก หากย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวัยเยาว์ เขาได้รับการเลี้ยงดูมาในกรอบของศาสนาคริสต์ พ่อแม่พาเขาไปโบสถ์คริสตจักรลูเทอแรนในวันอาทิตย์บ่อยๆ แล้วก็หยุดไปเมื่อจ็อบส์อายุ 13 ปี ครอบครัวเขารับนิตยสาร Life และในฉบับเดือนกรกฎาคม 1968 หน้าปกเป็นรูปเด็ก 2 คนในสาธารณรัฐบีอาฟรา (รัฐที่แยกตัวเป็นอิสระ อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไนจีเรีย มีสถานะเป็นสาธารณรัฐเพียงชั่วคราวระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1967 ถึง 15 มกราคม ค.ศ. 1970 เท่านั้น) ดูแล้วน่าตกใจมาก จ็อบส์เอาปกนิตยสารเล่มนั้นไปโรงเรียนสอนศาสนาในวันอาทิตย์ ไปพบบาทหลวงแล้วถามว่า "ถ้าผมอยากทำอะไรสักอย่าง พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทราบไหม"
บาทหลวงตอบว่า "รู้สิลูก พระผู้เป็นเจ้าท่านทรงรู้ทุกอย่าง"
จ็อบส์หยิบปกนิตยสารฉบับนั้นขึ้นมาแล้วถามว่า "ถ้าอย่างนั้น พระองค์รู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า เด็กสองคนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป"
บาทหลวงตอบ "สตีฟ พ่อรู้ว่าลูกไม่เข้าใจ แต่เชื่อเถิดว่าพระผู้เป็นเจ้าท่านทรงรู้เรื่องนี้"
หลังจากนั้น จ็อบส์ประกาศว่าจะไม่บูชาพระผู้เป็นเจ้าแบบนี้อีกต่อไป และภายหลังเขาได้พยายามศึกษาและฝึกปฏิบัติตนตามหลักพระพุทธศาสนานิกายเซน แม้แต่ในห้องของจ็อบส์ยังมีเบาะนั่งสมาธิเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญเพียงไม่กี่ชิ้นของเขา
จ็อบส์ มักจะนั่งสมาธิอยู่เงียบๆ เพียงลำพังในห้อง ทว่าอีกด้านหนึ่ง ในวัยหนุ่มเขาก็ชอบนั่งสมาธิแต่เขาใช้พื้นที่เดียวกันนี้ เพื่อเสพยาเสพติดด้วย นั่นเป็นความย้อนแย้งที่แปลกประหลาด ซึ่งเราจะพบได้ในตัวของจ็อบส์
จ็อบส์ เป็นคนที่มีหลายบุคลิก บางอย่างทำให้คนมากมายเกลียดชังเขา แต่ก็มีหลายอย่างที่ทำให้คนอีกมากรักเขาจนโงหัวไม่ขึ้น สุทธิชัย บอกไว้ในคำเปิดหน้าของหนังสือเล่มนี้ว่าจ็อบส์เป็นคนที่น่าทึ่ง, น่าประหลาด, น่าหมั่นไส้, น่าชื่นชม, น่าเคารพ และน่ากระทืบรวมอยู่ในคนเดียวกัน
"…ถ้าพระเจ้าปั้นเขามาเป็นคนจริง คงจะเป็นวันที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านอารมณ์ปราดเปรื่อง, ฉุนเฉียว และหลุดสวรรค์พร้อมๆ กันจริงๆ สตีฟ จ็อบส์บอกว่าตัวเองยืนอยู่ตรงทางแยกระหว่าง 'ศิลป์สร้างสรรค์' กับ 'เทคโนโลยี' แต่ผมอ่านข้อเขียนที่สนุกและร้อยเรียงเนื้อหาได้อย่างราบรื่นยิ่งของวอลเตอร์ ไอแซคสันแล้ว ต้องบอกว่าความจริงเขายืนอยู่ตรงกลางห้าแยกที่ป้ายบอกทางชี้ไปที่ความบ้าระห่ำ, อัจฉริยะ, ความเด็ดขาด, ความอ่อนไหว และความเป็นคนธรรมดาๆ อย่างหาคำอธิบายได้ยากยิ่ง…"
ท่าน ว.วชิรเมธี อธิบายถึงตัวตนของจ็อบส์ว่าเหตุที่ทำให้จ็อบส์มีนิสัยก้าวร้าวก็เพราะเขาเป็นพวก Perfectionist
"เขาแสวงหาความสมบูรณ์แบบ เขาทนเห็นความโง่ของคนอื่นไม่ได้ จึงแสดงออกมาอย่างก้าวร้าว"
นอกจากนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี ยังบอกอีกว่าอาจเป็นเรื่องยากหากจะเข้าใจคนแบบจ็อบส์ แต่ถ้าต้องการจะเข้าใจจ็อบส์ ต้องอ่านเซน และศึกษาบุคคลต้นแบบ (Idol) ของเขา ซึ่งเมื่อย้อนไปดูคนที่จ็อบส์ชื่นชม ชื่นชอบ เป็นบุคคลสำคัญของโลกที่มีแนวทางชีวิตย้อนศรกับสังคมทั้งสิ้น อาทิเช่น มหาตมะคานธี, บ็อบ ดีแลน เป็นต้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใด สาเหตุประการสำคัญที่ทำให้จ็อบส์มีนิสัยสวนกระแสเช่นนี้ เชื่อกันว่ามาจากความคิดเชิงลบที่ถูกปลูกฝังตอนเป็นเด็ก เขาถูกยกให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่คนอื่น มีหลายครั้งที่เขาพยายามแสดงออกเพื่อเอาชนะคะคาน โดยหวังว่าจะชดเชยความอ่อนด้อยที่ฝังรากลึกในใจของเขา
ในทางกลับกัน นิสัยที่ใครๆ ก็มองว่าแย่ กลับสร้างแรงผลักดันแก่เขา ซึ่งน่าจะมากกว่าที่คนธรรมดามีอยู่ กระทั่งเขากล้าคิดสิ่งที่ไม่มีใครกล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนทั้งโลก ดังเช่นที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม จ็อบส์ก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เลวร้ายในตัวเขาจะต้องตายไปพร้อมกับร่างกายอย่างปริศนา เขายินดีให้ไอแซคสันร้อยเรียงเรื่องราวอันจะเป็นอุทาหรณ์แก่คนอื่นได้เต็มที่ และด้วยเหตุนี้ ทำให้ ท่าน ว.วชิรเมธี ถึงกับชื่นชมจ็อบส์สุดตัวว่า ชอบทุกด้านของสตีฟ จ็อบส์
"…อาตมาชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคนคนนี้ หากดึงอะไรสักอย่างในตัวเขาออกไปก็จะไม่ใช่สตีฟ จ็อบส์ เขาเป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง และกล้าใช้ชีวิต อาตมาชอบที่เขายอมให้พูดถึงทุกด้าน บางทีอาตมาไปสวดศพก็ยังลำบากใจที่ต้องเทศน์คุณงามความดีในคนที่ไม่มีความดีให้กล่าวถึง…"
อีกช่วงตอนหนึ่งในคำเปิดหน้าโดย สุทธิชัย หยุ่น บอกว่า "หากคุณต้องการแสวงหาคำตอบ อ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยใจเปิดกว้าง, คิดตาม, คิดแย้ง, วิพากษ์และวิเคราะห์บุคลิกอันน่าตื่นตาตื่นใจของผู้ชาย 'ระห่ำ' คนนี้ บางทีคุณจะไม่ถามว่าผมเพี้ยนไปหรือไม่ที่ชวนคนไทยทุกคนที่ต้องการมองโลกจากแง่มุมอีกด้านหนึ่งให้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ"
แล้วคุณจะรู้ว่า 'สตีฟ จ็อบส์' ยังไม่ตายไปจากความทรงจำของโลก
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com