Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ศิลปินสะเปะสะปะ

 

 
วินทร์ ถึง ปราบดา
 
22 มีนาคม 2550
 
ช่วงสองเดือนนี้ ผมมีงานอดิเรกใหม่ครับ นั่นคือจิตรกรรมและประติมากรรม!
 
ผมชอบวาดรูปมาแต่เด็ก แถมชอบแอบวาดรูปในชั้นเรียนที่ไม่ใช่ชั่วโมงวาดเขียน แต่ก็วาดได้ดีในระดับปานกลางเท่านั้น เวลานั้นในชั่วโมงศิลปะเรียกว่า “วิชาวาดเขียน” สิ่งที่ครูให้นักเรียนวาดล้วนเป็นภาพแนวเรียลลิสติก เช่นให้วาดรูปมะม่วง ปลา มะพร้าว กล้วย ฯลฯ ใครวาดได้เหมือนจริงก็ได้คะแนนดี ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักคำว่า “ความคิดสร้างสรรค์” หรือ “แอบสแตร็ก” แม้แต่การวาดรูปทัศนียภาพ (perspective) ของอาคารตอนที่ผมเรียนสถาปัตย์ฯ ก็ยังดูที่ความสมจริง
 
ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมมัวแต่ทำงานด้านพาณิชยศิลป์ ไม่ค่อยได้วาดรูปแบบวิจิตรศิลป์เหมือนสมัยเด็กๆ อีก แต่ก็ตั้งใจมาโดยตลอดว่าวันหนึ่งจะหวนไปวาดรูปและทำงานด้านวิจิตรศิลป์ดูบ้าง
 
มานึกดูก็ระลึกได้ว่า ผมมีความสุขกับศิลปะจริงๆ ตอนที่ยังเรียนหนังสือชั้นมัธยม วาดรูปตามใจชอบ ไม่มีโจทย์ทางการตลาดมาเป็นกรอบบังคับ และเป็นช่วงที่ผมเริ่ม (หรือริ) เขียนนิยายภาพ ตอนที่ผมเรียนชั้นมัธยม เคยได้รับรางวัลวาดรูปในโรงเรียน และเมื่อเข้าชั้นเตรียมอุดมศึกษา เคยส่งภาพเข้าประกวดระดับประเทศที่จัดโดยกระทรวงศึกษาธิการ ในหัวข้อเกี่ยวกับปัญหาประชากรโลก ได้รับรางวัลที่สอง ยิ่งทำให้เหิมเกริมใหญ่ ช่วงนั้น “อิน” กับการวาดรูปจนเกิดไฟศิลป์เผาผลาญใจฮึกเหิมนึกอยากเข้าเรียนสายจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ทั้งที่รู้ว่าคนที่จะสอบเข้าคณะจิตรกรรมฯได้ต้องมีฝีมือการวาดรูประดับดีกว่าที่ผมมีแน่ๆ
 
อย่างไรก็ตาม เวลานั้นผมก็อยากเรียนด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ด้วยเช่นกัน ตอนที่สอบเอนทรานซ์สะท้านทรวงเข้ามหาวิทยาลัย ผมเลือกคณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ เป็นอันดับหนึ่ง คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ศิลปากร เป็นอันดับสอง ผลก็คือการสอบเอนทรานซ์ครั้งนั้นผมต้องทำข้อสอบถึง 13 วิชา ครอบคลุมทั้งศาสตร์และศิลป์ นับว่าหนักหนาเอาการ ที่น่าระทึกขวัญอย่างยิ่งก็คือยังมีวิชาวาดรูปที่ต้องไปสอบที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ผมน่าจะเป็นนักเรียนสายวิทย์คนเดียวที่หาญกล้าไปสอบวิชานี้ ท่ามกลางคนเก่งๆ ฝีมือดีๆ จากโรงเรียนเพาะช่าง แต่ก็กัดฟันวาดจนเสร็จ
 
ชะตาชีวิตของผมคงถูกลิขิตไว้ไม่ให้เข้าเรียนทางสายจิตรกรรม เพราะผมติดอันดับหนึ่งที่เลือกไว้ ในวันสัมภาษณ์ที่คณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ อาจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร ผู้สัมภาษณ์คงจะงงที่ไอ้เด็กคนนี้เลือกวิชาแปลกประหลาดผิดจากคนอื่น เพราะมีคณะจิตรกรรมในรายการช็อปปิ้งมหาวิทยาลัยด้วย แกถามผมว่าทำไมถึงเลือกอย่างนี้ ผมตอบว่าเพราะผมชอบวาดรูป นั่นคือครั้งแรกที่ผมพบอาจารย์แสงอรุณ ซึ่งนอกจากเป็นสถาปนิกมือดีแล้ว ยังเป็นศิลปินชั้นเยี่ยม แกเชี่ยวชาญด้านการสเกตช์ สีน้ำ และประติมากรรม
 
ในปีแรกที่ ’ถาปัด จุฬาฯ นั่นเอง ผมก็ได้เรียนวิชาสเกตซ์รูปจากอาจารย์แสงอรุณ เรียนรู้เทคนิคหลายอย่าง และพบว่าที่ผมรู้มานั้นช่างน้อยนิดมหาศาล เอ้ย! น้อยนิดเฉยๆ และที่สำคัญที่สุดคือการรู้จักซาบซึ้งกับศิลปะที่ผูกพันแนบแน่นกับวิถีธรรมชาติ ในชั่วโมงแรก อาจารย์เห็นภาพสเกตช์ของเพื่อนคนหนึ่ง ก็บอกกับนิสิตคนนั้นว่า “คุณได้ A วิชานี้แล้ว เทอมนี้ไม่ต้องมาเรียนอีก” กินเวลาทั้งเทอมกว่านิสิตรายอื่นๆ จะเริ่มตีตื้นและเก็บ A จากอาจารย์ได้สักรูปสองรูป ผมเองก็ได้เพียง A- เท่านั้นก็ดีใจแล้ว ส่วนที่สนุกที่สุดของวิชานี้คือการฟังอาจารย์วิจารณ์ผลงานสเกตช์ของนิสิตทั้งชั้นหน้าชั้น คำวิจารณ์ของแกแหลมคมและเสียดสีแสบคันมันส์เป็นอันมาก ผมเองก็โดนไปหลายดอก
 
อาจารย์แสงอรุณยังเก่งด้านสีน้ำด้วย แกเป็นคนสอนว่า ยอดฝีมือการวาดรูปไม่ได้วัดกันที่ว่าลงสีอย่างไร แต่อยู่ที่การไม่ลงสีอย่างไร อืม! พูดเหมือนพระเซนเลย คำพูดนี้ติดตรึงตราในหัวผมมานานจนทุกวันนี้
 
ในชั่วโมงวิชาศิลปะ แกวิจารณ์งานสีน้ำของจิตรกรหลายคน หนึ่งในนั้นคือ Theodore Kautzky ซึ่งมีฝีมือดีมาก
 
นายคอทสกี้คนนี้เป็นจิตรกรชาวฮังกาเรียน ย้ายนิวาสถานมาอยู่ในนิวยอร์กตั้งแต่ปี 1923 แกเคยสอนอยู่ที่ Pratt Institute และมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เป็นเซียนสีน้ำคนหนึ่งของโลก แกวาดรูปชีวิตทะเลไว้เยอะ
 
อาจารย์แสงอรุณจะอธิบายว่าทำไมนายคอทสกี้จึงจัดองค์ประกอบภาพเช่นนี้เช่นนั้น ครั้งหนึ่งแกวิจารณ์ภาพสีน้ำภาพหนึ่งที่มีองค์ประกอบเป็นหินผาริมทะเล ทะเล ก้อนเมฆ กิ่งไม้บนหายทราย แกอธิบายว่าทำไมองค์ประกอบแต่ละชิ้นจึงอยู่ในภาพนั้น ชี้ให้เห็นว่าคนวาดตั้งใจให้หลายองค์ประกอบนำสายตาไปยังจุดเด่นของภาพ (คือหินผาริมทะเล) โดยการวาดให้ริ้วทรายบนหาดชี้ไปที่หินผา กิ่งไม้ที่ถูกคลื่นซัดมาเกยฝั่งก็ชี้ไปที่จุดเด่นของภาพ ฯลฯ อาจารย์วิจารณ์ว่า มันเจตนาจนมากเกินความจำเป็น
 
ผ่านไปหลายปีจนเมื่อผมทำงานด้านวรรณกรรม จึงเพิ่งเข้าใจว่านี่ก็คือหลักเดียวกัน การเจตนาชี้ให้เห็นจุดเด่นของภาพจนเกินไปก็คล้ายกับการเขียนเรื่องสั้นหรือนวนิยายที่นักเขียนต้องการบอกคนอ่านทุกอย่าง
 
ความจริงอาจารย์แสงอรุณก็สอนวิชาประติมากรรมด้วย แต่ผมพลาดไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งนี้เพราะไปลงวิชาภาพพิมพ์ซึ่งผมก็ชอบเหมือนกัน ผมชอบงานภาพพิมพ์ของญี่ปุ่น วิจิตรบรรจงมาก ขณะเดียวกันก็ชอบงานประติมากรรม รักพี่เสียดายน้อง และเลยเอาดีไม่ได้สักทาง
 
ผ่านมายี่สิบกว่าปีหลังเรียนจบ เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ผมเพิ่งโอกาสได้เข้าชั้นวิชาเครื่องปั้นดินเผาเป็นครั้งแรก
 
เป็นวิชาสอนทำเครื่องปั้นดินเผาในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ครูฝรั่งเป็นคนสอน ผมเข้าไปเรียนเพราะอยากรู้เทคนิคการปั้น แต่จุดประสงค์จริงๆ ของผมไม่ใช่อยู่ที่ทำภาชนะดินเผา หากเป็นงานประติมากรรม
 
วิชาพื้นฐานที่นักเรียนทุกคนต้องฝึกก่อนปั้นดินจริงๆ คือการนวดดิน แหม! เพิ่งรู้ว่าดินก็ขี้เมื่อยด้วย
 
ดินเหนียวต้องได้รับการนวดจนไม่มีฟองอากาศภายใน และนุ่มมือ ปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ง่าย
 
การนวดดินเหนียวนี่ยากและเหนื่อยเอาการนะครับ มีวิธีการนวดหลายอย่าง เช่นนวดให้เป็นรูปขนมปังครัวซอง โดยนวดจากครัวซองทรงขวางให้เป็นทรงตั้ง และจากทรงตั้งนวดเป็นทรงขวางอีกทีโดยห้ามเคลื่อนย้ายก้อนดินนั้น นวดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนดินอ่อน นอกจากนี้ยังมีการนวดแบบหมุนวนเป็นวง ทว่านวดจนเหงื่อโทรมร่าง ก็ยังไม่ได้ทรงที่ต้องการ จนรำรำจะเอาดินเหนียวไปให้หมอนวดช่วยจัดการนวดให้ น่าจะได้ผลกว่า
 
เทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผามีหลายอย่าง เช่น ใช้มือคลึงดินหนึ่งชิ้นให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ หรืออาจม้วนดินให้เป็นเส้นกลมแบบสปาเก็ตตี้แล้วนำมาทบซ้อนกัน หรือรีดดินให้เป็นแผ่น แล้วนำมาเชื่อมต่อกันเป็นรูปทรงภาชนะที่ต้องการ ไปจนถึงการใช้มีดตัดดินเป็นช่อง รู หรือใช้แท่งไม้ปลายหยาบขูดผิวดินของเครื่องปั้นเป็นลายหยาบ เป็นต้น
 
เช่นเดียวกับงานเขียน หลักการก็มีไม่กี่อย่าง ที่เหลือคือการฝึกฝนและทดลอง
 
เมื่อปั้นได้รูปทรงแล้ว ก็นำไปเผาในเตาไฟฟ้า (ในเมืองกรุงที่มีพื้นที่จำกัด ไม่ค่อยสะดวกที่จะสร้างเตาใหญ่ใช้ฟืนเผา) ดินสีเทาดำก็กลายเป็นขาวไปอย่างน่าอัศจรรย์
 
เสร็จจากขั้นตอนนี้ก็นำงานไปขัดแต่งจนเกลี้ยงเกลา หลังจากนั้นก็นำมาระบายสีตามใจชอบ ระบายเสร็จแล้วก็นำไปชุบน้ำยาเคลือบ พอแห้งแล้วก็นำเข้าเตาเผาอีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้ความเหนื่อยจากการนวดดิน ปั้นดินหายไปทันที
 
 
 
กลับมาที่งานจิตรกรรมที่ผมเล่าค้างไว้แต่ต้น
 
สาเหตุที่อยู่ดีๆ ผมลงมือจับพู่กันระบายสีอีกครั้ง ก็เพราะในวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ผมได้รับผืนผ้าใบ พู่กัน กับสีอะครีลิกเป็นของขวัญจาก ซานตา คลอส ผมมองดูเครื่องเขียนเหล่านี้อยู่นานหลายสัปดาห์ วันดีคืนดีก็แกะกล่องสี บีบสีบนจาน ผสมสี และลงมือวาดเลยโดยไม่ต้องมีฟอร์เพลย์
 
ผมเริ่มที่งานแบบแอบสแตร็ก ดูเหมือนง่ายนะครับ แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด ผมยังไม่เคยใช้สีอะคริลิกในงานแบบนี้มาก่อน ความจริงผมอยากลองสีน้ำมันดู แต่คิดว่าเริ่มต้นจากสีอะคริลิกน่าจะง่ายกว่า เพราะเป็นสีที่ผสมด้วยน้ำ เมื่อคุ้นกับสีอะคริลิกแล้ว จะก้าวไปลองใช้สีน้ำมันดูบ้าง เหมือนกับเขียนเรื่องสั้นได้แล้ว ก็ต้องลองเขียนนวนิยายดูบ้าง
 
แม้ว่าฝีมือยังไม่เข้าที่เข้าทาง แต่ก็มีความสุขกับงานอดิเรกใหม่นี้ “มั่กมั่ก” อุ้ย! ไม่นึกว่าการระบายสีงานจิตรกรรมบนผ้าใบจะเพลินขนาดนี้ นี่ถ้าได้ระบายสีบนผิวสาวปลือยตามสไตล์ บอดี้-เพนท์ ชีวิตจะจำเริญตาจำเริญใจขนาดไหน แค่คิดก็มีความสุขแล้ว!
 
ข้อดีของการทำงานศิลปะบริสุทธิ์คือมันเป็นการทำสมาธิที่ดียิ่ง ชั่วขณะที่ปาดแปรงไปมา หรือปั้นดินเป็นรูปทรงต่างๆ นั้น ผมลืมโลกภายนอกไปหมด แหม! มันดีกว่ามีเซ็กส์อีกนะ ข้อนี้ผมอ้างอิงมาจากบทความบทหนึ่งของคุณนรา เจ้าของคอลัมน์ มนุษย์ไร้สาระ V1 ชื่อบทความคือ “ทำไมการอ่านหนังสือจึงดีกว่ามีเซ็กส์”
 
คุณนราบอกว่าการอ่านหนังสือดีกว่าการมีเซ็กส์ด้วยเหตุผลหลายประการ ผมขออนุญาตปรับบทความของคุณนรา โดยเปลี่ยนคำว่า “การอ่านหนังสือ” เป็น “การวาดรูป” ก็จะได้ความดังนี้ :
 
การวาดรูปไม่ก่อให้เกิดปัญหาประชากรล้นโลก
 
การวาดรูปไม่ทำให้เกิดเสียงดังรบกวนผู้อื่น ส่วนการมีเซ็กส์นั้นไม่แน่
 
การวาดรูปสามารถทำได้ทุกวัน แม้กระทั่งวันนั้นของเดือน
 
การวาดรูปพร้อมกันทีเดียวหลายๆ รูปไม่เข้าข่าย “เจ้าชู้” หรือ “หลายใจ”
 
การวาดรูปครั้งละแค่ 2-3 นาที ไม่ต้องกลัวโดนใครมาเย้ยหยันว่า “นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ”
 
ท่านชายสามารถลงมือวาดรูปได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งพายาไวอะกร้า
 
คุณสามารถวาดรูปอย่างเพลิดเพลินสนุกสนาน โดยไม่ต้องเกรงว่าจะโดนมือดีแอบถ่ายบันทึกภาพไว้ และนำออกเผยแพร่เป็นวีซีดีฉาวให้ต้องอับอายในภายหลัง
 
ฯลฯ
 
 
 
อย่างไรก็ตามความบันเทิงจากการทำงานศิลปะก็มีราคาของมัน อาจจะแพงกว่าการดูหนังหรือการอ่านหนังสือ
 
ราคาผืนผ้าใบที่ขายตามห้างไม่ถูกเลยครับ ปราบดา ผ้าใบกรอบละร้อยกว่าไปจนถึงหลายร้อยบาท สีอะคริลิกหลอดละหลายร้อยบาท นี่ไม่ใช่งานอดิเรกที่ราคาสมเหตุสมผลเหมือนทำสวนครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่ได้วาดรูปเพื่อจำหน่าย เรียกว่าศิลปินสามารถไส้แห้งตั้งแต่เดินเข้าร้านขายผ้าใบแล้ว
 
ภรรยาของผมเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เธอจำต้องเลิกเรียนวิชาวาดรูปเพราะพ่อแม่ไม่มีเงินซื้อสีให้วาด
 
อาจารย์แสงอรุณเคยเทศนาแกมบ่นให้พวกเราฟังว่า พวกนิสิตใช้กระดาษสิ้นเปลืองมาก วาดรูปนิดหน่อย แล้วก็ทิ้งกระดาษทั้งแผ่น วันดีคืนดีแกก็เอากระดาษเหล่านั้นไปใช้ โดยวาดรูปในอีกด้านหนึ่ง
 
โรงเรียนคนรวยหลายแห่งในกรุงเทพฯก็เช่นกัน เด็กๆ ใช้อุปกรณ์ศิลปะและกระดาษสิ้นเปลืองมาก โดยที่ไม่มีใครสอนให้เด็กเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี ผมนึกภาพถึงเด็กด้อยโอกาสจำนวนมากมายในบ้านเราที่ไม่สามารถเข้าถึงโลกศิลปะเพียงเพราะไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ ช่างขัดแย้งกันจริง
 
มีคนบอกว่า “ศิลปะยืนยาว ชีวิตคนสั้น” โดยส่วนตัวผมไม่ได้ทำงานนี้โดยหวังให้ผลงานมีอายุยั่งยืน แต่เพื่อความสุขชั่วครู่ในเวลาที่ทำ ก็เท่านั้น
 
บางทีการวาดรูปก็ไม่ต่างจากเซ็กส์ ความสุขของการวาดอยู่ที่ชั่วขณะที่ประกอบกิจวาดมากกว่าหลังจากที่มีผลงานออกมาแล้ว!
 
…………………
 
ปราบดา ตอบ วินทร์
 
๘ เมษายน ๒๕๕๐
 
ผมเพิ่งทำความเข้าใจกับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้เองครับ ว่าผมไม่ได้อยากมีอาชีพเป็นศิลปินอีกต่อไปแล้ว
 
ชีวิต การงาน และความสนใจของผมกับคุณวินทร์มีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง ดังที่เราเรียนรู้กันมาร่วมห้า-หกปี (จะดีใจหรือเสียใจที่คล้ายกัน ผมไม่ถามดีกว่า!) ผมเองก็ชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก ผมเองก็เรียนศิลปะ (แถมยังเคยเรียนสถาบันเดียวกันกับคุณวินทร์ในมหานครนิวยอร์กด้วยแน่ะ เอ…หรือพระเจ้าจะก๊อปปี้ชีวิตคุณวินทร์มาสร้างผม ทำตัวเป็นคนไทยไปได้ พระเจ้านี่…) และผมเองก็ยังชอบจับแปรงจับพู่กัน ละเลงสีเล่นเป็น “งานเสริม” อยู่เสมอๆ
 
ประเด็นที่ว่าการวาดรูปหรือการอ่านหนังสือดีกว่าการมีเซ็กซ์หรือไม่นั้น ผมยังไม่แน่ใจพอจะตอบได้ (อาจต้องลองทั้งสามกิจกรรมบ่อยๆ เพื่อเปรียบเทียบให้ชัวร์เสียก่อน) สงสัยแต่ว่าคนที่เอาแต่อ่านหนังสือหรือวาดรูปอย่างเดียว คงไม่ค่อยมีโอกาสได้บริหารร่างกายส่วนล่าง ระวังลงพุงเหมือนคุณพี่จอมยุทธ์นรา จะเดินเหินลำบากยามชราภาพนะครับ
 
ตลอดเวลาที่ผ่าน นับตั้งแต่ผมเรียนศิลปะจริงๆจังๆ ผมแอบมีความฝันว่าจะเป็นศิลปินเพียวๆที่เลี้ยงชีพตัวเองได้ด้วยการผลิตงานศิลปะเท่านั้น และงานศิลปะที่ว่าต้องมาจากการ “แสดงออก” และจาก “การสร้างสรรค์” ของผมเอง ไม่ใช่ศิลปะแบบรับจ้างผลิต และไม่ใช่ศิลปะแบบที่คนซื้อเพราะมันเข้ากับสีโซฟาที่บ้าน โดยไม่สนใจว่าคุณภาพของงานเป็นอย่างไร ถ้าวันนี้ผมนึกอยากละเลงสีน้ำตาลลงบนผ้าใบให้เป็นดวงกลมๆ เละๆ ใหญ่ๆ แล้วโรยผงชูรสลงไป หยอดไข่ขาวดิบผสมนิดๆ รอให้แห้งแล้วละเลงสีแดงทับทุกอย่างอีกชั้น จนในที่สุดได้ภาพที่มีชื่อว่า “ปฏิกิริยาตอบโต้ระหว่างทางช้างเผือกกับจูเลียต ที่สามสิบแปดองศาหรือมากกว่า” ผมก็หวังว่าจะมีคนชื่นชมและควักเงินซื้องานศิลปะชิ้นนี้ไปในราคาห้าแสนบาทถ้วน (ไม่รับเช็กหรือบัตรเครดิต) และชื่นชมในความงดงามพิสดารของมันจากใจจริง
 
ไม่ว่าจะทำงานศิลปะแบบใดก็ตาม ผมเคยรู้สึกว่าเสน่ห์ของการเป็นศิลปินเพียวๆคือการมีอิสระเต็มที่ในชีวิต ไม่ต้องตื่นขึ้นมาแต่งตัวเหมือนคนอื่นเพราะมันเป็นธรรมเนียมที่สังคมบังคับ ไม่ต้องเจอคนประเภทที่ให้ความสำคัญกับเรื่องอย่างยี่ห้อรถยนต์หรือสถานการณ์ในตลาดหุ้น ไม่ต้องทำอะไรก็ตามที่ฝืนจิตฝืนใจตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น จะมีชีวิตแบบไหนดีไปกว่าการได้วาดรูปเล่นหรือทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วยังมีคนอุตส่าห์ควักเงินสนับสนุนให้ทำต่อไปเรื่อยๆ
 
ผมอาจจะต่างจากเพื่อนบางคนที่เรียนศิลปะด้วยกันมา ตรงที่ผมไม่เคยคิดว่าศิลปะเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ ผมไม่ได้อยากเป็นศิลปินเพราะผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณหรือมีความหมายสูงส่งต่อการเป็นคน หรือเพราะศิลปะเป็นกิจกรรมที่ดีกว่าอย่างอื่น ผมรู้สึกว่าศิลปะเป็นสิ่งจำเป็น เป็นธรรมชาติของมนุษย์ พอๆกับที่มนุษย์ต้องสร้างที่อยู่อาศัยและต้องใช้คณิตศาสตร์ สำหรับตัวเองผมแค่รู้สึกว่าการทำงานศิลปะเป็นสิ่งที่ผมถนัด และผมเพลิดเพลินเมื่อได้ทำ เมื่อถนัดและเพลิดเพลิน ผมจึง “มีใจ” ที่จะทำ ผมคิดว่าการมีใจที่จะทำอะไรสักอย่างน่าจะเป็นเรื่องดีต่อกิจกรรมนั้น ไม่ต่างจากการทำอาหาร หรือการบวชเป็นพระ คนที่ “มีใจ” จริงๆ น่าจะได้ประโยชน์หรือสามารถสร้างประโยชน์จากสิ่งที่เขาหรือเธอทำ มากกว่าคนที่สักแต่ว่าทำไปอย่างนั้น ถูกบังคับให้ทำ หรือทำตามกระแสนิยม (หรือหนีปัญหาชีวิต ในกรณีของการบวช) ผมจึงอยากเป็นศิลปินเพราะผมมีใจให้กับศิลปะ ผมอยากทำสิ่งที่ผมชอบ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่ามันคือความรู้สึกที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง ผมชอบสิ่งนี้และทำสิ่งอื่นไม่ค่อยได้ดี ไม่ใช่เพราะศิลปะเป็นเรื่องลึกซึ้งเลิศเลอไปกว่าการเป็นช่างไฟหรือการขายข้าวโพดต้มข้างถนน
 
ผมต่างจากเพื่อนหลายคนอีกอย่างตรงที่ผมมีความสนใจและความชอบในศิลปะหลายแขนง ซึ่งจะว่าไปแล้วในสมัยเป็นนักเรียนมันไม่ใช่คุณสมบัติที่ดีนัก เพราะมักจะสร้างความสับสนให้ผมเสมอ แรกเริ่มเดิมทีผมอยากเป็นคนทำหนัง (เพราะผมชอบดูหนัง…คิดมันง่ายๆอย่างนั้นกับทุกเรื่องแหละครับ) ลองเรียนไปสักพัก ชักรู้สึกว่าน่าจะชอบดูมากกว่าชอบทำ พอได้รู้รายละเอียดเบื้องหลังมากเข้าแล้วเริ่มรู้สึกแปลกๆ…เอ…มันไม่ค่อยสนุกเหมือนตอนนั่งดูเฉยๆนี่หว่า ต่อมาชอบถ่ายรูป ความจริงในบรรดาวิชาศิลปะทั้งหมด ผมเรียนถ่ายรูปอย่างต่อเนื่องเนิ่นนานที่สุด จึงคิดเล่นๆว่าอาจจะสามารถเป็นช่างภาพได้ มีช่วงหนึ่งอยากทำงานเกี่ยวกับดนตรี เพราะชอบฟังเพลงมากถึงมากที่สุด อยากแต่งเพลงเอง อยากร้องเพลงเอง บางจังหวะก็อยากทำงานนิตยสาร เพราะชอบอ่านนิตยสารและชอบอ่านหนังสือ ฟังดูสะเปะสะปะดีเหลือเกินใช่ไหมครับ
 
ในที่สุดผมเลือกเข้าคณะกราฟิกดีไซน์ในมหาวิทยาลัย เพราะคิดว่ามันรวบรวมความสนใจทุกอย่างของผมไว้ด้วยกัน ผมชอบแทบทุกๆรายละเอียดที่เกี่ยวกับหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ ตั้งแต่การอ่านการเขียนไปจนถึงการเลือกกระดาษและการออกแบบ คิดว่าตัวเองมาถูกทางแน่นอน แถมยังเป็นศิลปะแขนงที่ไม่ค่อยเสี่ยง เพราะมีความเป็นพาณิชย์ผสมอยู่ด้วย เรียนจบก็สามารถหางานทำตามบริษัทกราฟิก ไม่ล่องลอยเหมือนพวกศิลปิน fine arts เงินดีอีกต่างหาก (ที่เมืองนอกนะครับ ไม่ใช่ในบ้านเรา) ถ้ากลับมาเมืองไทย อย่างน้อยก็ทำงานตามบริษัทโฆษณาได้ ถึงแม้ไม่เคยคิดอยากจะทำเลยก็ตาม โดยรวมๆ ผมรู้สึกว่าเป็นการเลือกที่ทั้งมาจากความชอบจริงๆ และค่อนข้างปลอดภัยในการดำเนินชีวิตหลังรั้วการศึกษา
 
ปรากฏว่าการเรียนกราฟิกกับการดูงานกราฟิกที่สวยๆ ตามหน้าหนังสือหรือในพิพิธภัณฑ์ ก็ต่างกันอีกนั่นแหละครับ ในโลกของความเป็นจริง การทำงานกราฟิกส่วนใหญ่ก็คือการทำงานตอบโจทย์ที่คนอื่นยื่นให้ ไอ้ที่จะได้ออกแบบปกหนังสือเก๋ๆ หรือทำอะไรแปลกๆ นั้นมีอยู่เป็นส่วนน้อย ยิ่งถ้าอยากได้เงินดีๆ มีชีวิตที่ปลอดภัย ก็จำเป็นต้องโอนเอียงไปในด้านพาณิชย์มากขึ้นเรื่อยๆ ผมอาจจะต้องออกแบบหลอดยาสีฟัน หรือออกแบบกล่องใส่ถุงขยะ มากกว่าที่จะได้ออกแบบปกหนังสือเท่ๆหรือออกแบบโปสเตอร์ให้นิทรรศการศิลปะดีๆ
 
เรียกว่าผมเริ่ม “หมดใจ” กับการเรียนพาณิชย์ศิลป์ และผมต้องค้นหาตัวเองอยู่พักใหญ่ว่า “มีใจ” ให้กับอะไรกันแน่ สิ่งสำคัญสำหรับผมคือการหาคำตอบที่ซื่อสัตย์จากตัวเอง ผมอยากมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบไหน ระหว่างการได้ทำสิ่งที่ถนัด สิ่งที่มีใจให้ หรือสิ่งที่ทำแล้วปลอดภัย ได้เงินดี และสร้างความมั่นคงตามมาตรฐานหรือความเชื่อในสังคม
 
ถ้าคนเราสามารถเลือกได้ครบถ้วน เราคงเลือกความสมบูรณ์ที่สุดให้ตัวเองในทุกด้าน ผมคงอยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบและได้เงินดีไปด้วย แต่ผมเป็นคนมองโลกกึ่งดีกึ่งร้าย (และมักจะเอนไปในทางร้ายบ่อยกว่า) ผมค่อนข้างเชื่อเรื่อง “ได้อย่าง เสียอย่าง” ผมคิดว่าการเลือกที่จะได้อะไรสักอย่างก็คือการยอมเสียอะไรบางอย่างไป (ประยุกต์ได้กับทุกเรื่องนะครับ ทัศนคตินี้ แม้แต่เรื่องการเมือง)
 
ตอนนั้นผมเลือกเอาความ “สบายใจ” และยอมเสียความรู้สึก “ปลอดภัย” โดยการย้ายโรงเรียนไปเรียน fine arts เต็มตัว ผลที่ตามมาคือผมสนุกกับการเรียนอย่างยิ่ง คะแนนของผมก็ดีขึ้นตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ผมมองไม่ออกเลยว่าเรียนจบแล้วจะทำอะไร
 
แต่โชคดีที่ช่วงนั้นผมเริ่มเรียนรู้ที่จะ “กล้าไม่รู้” มากขึ้น ผมเริ่มคิดว่าถ้าจะต้องเจออะไรผมก็จะจัดการกับมันตามแบบของผม ถ้าการเรียนศิลปะจะทำให้ชีวิตผมย่ำแย่ ผมก็จะยอมเผชิญกับความย่ำแย่นั้นเอง ผมถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบกับสิ่งที่เลือก
 
แม้แต่อิสรภาพก็ไม่ใช่ของฟรี ความสันโดษก็เช่นกัน ทุกอย่างมาพร้อมข้อเสียและด้านลบเสมอ วิธีแก้คือการยอมรับหรือหัดที่จะชอบข้อเสียและด้านลบไปด้วย
 
ผมคิดว่าตัวเองอยากเป็นศิลปิน ผมเริ่มฝึกให้ตัวเองยอมรับความไม่แน่นอนที่จะมาพร้อมกับการใช้ชีวิตแบบนั้น แต่ในที่สุด ผมก็ได้ทำงานที่คาดไม่ถึงว่าจะได้ทำอย่างจริงๆจังๆ นั่นคือการทำงานเขียนและทำสำนักพิมพ์ ที่ว่าคาดไม่ถึงว่าจะได้ทำ เพราะสมัยเด็ก พร้อมๆกับที่อยากเป็นศิลปิน ความฝันอีกอย่างของผมก็คือการเป็นนักเขียน (สะเปะสะปะจริงๆด้วยนะครับ) แต่ความฝันนี้ผมไม่ค่อยฝันแบบประเจิดประเจ้อ เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าเป็นศิลปินเสียอีก ผมนึกภาพการผลิตงานจิตรกรรมได้ นึกภาพการสร้างงานประติมากรรมก็ยังได้ แต่เขียนหนังสือออกมาเป็นเล่มๆ เล่มหนึ่งมีร้อย-สองร้อยกว่าหน้า ผมจะไปทำได้อย่างไร เขียนแค่สามหน้าก็จะแย่อยู่แล้ว
 
หากชีวิตของเราแต่ละคนเปรียบเหมือนนวนิยายสักเล่ม มันก็เป็นนวนิยายที่ไม่ได้มาพร้อมสารบัญ จนถึงวันนี้บางทีผมอดนั่งงุนงงไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนเขียนหนังสืออย่างที่เคยฝันไว้จริงหรือ
 
แต่ผมก็ยังนึกอิจฉาและชื่นชมชีวิตแบบศิลปินอยู่เสมอ ในบางอารมณ์ที่เบื่อหน่ายกับการเขียน อยากทำอะไรที่ไม่ต้องใช้ “ภาษา” บ้าง ผมก็ยังจินตนาการตัวเองเป็นจิตรกรหรือประติมากรในสตูดิโอ วาดภาพที่ไหลออกมาเอง หรือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสีเฉดต่างๆ
 
ผมมีเพื่อนเป็นศิลปินหลายคน สมัยที่เรียนจบใหม่ๆทุกคนก็มีสถานะคล้ายๆกันนั่นแหละครับ คือคลุมเครือกับการเลือกทางเดินในชีวิต แต่ปัจจุบันนี้มีเพื่อนบางคนเริ่มประสบความสำเร็จ ผมรู้จักศิลปินที่เริ่ม “มีชื่อเสียง” มากขึ้น โดยเฉพาะศิลปินในต่างประเทศ และการได้รู้ได้เห็นชีวิตแบบศิลปินของเพื่อน ทำให้ผมเข้าใจความจริงที่ว่าโลกของศิลปะไม่ได้เป็นโลกแห่งอิสระและความสันโดษอย่างที่ผมจินตนาการไว้ (อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นอีกต่อไปแล้ว) สังคมศิลปะร่วมสมัยก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแวดวงธุรกิจอื่นๆ มันเกี่ยวข้องกับการมีเครือข่าย เกี่ยวข้องกับการมีเส้นมีสาย เกี่ยวข้องกับการพยายาม “ขาย” ตัวเอง มีกระทั่งงาน “แฟร์” ที่ศิลปินไปเปิดบูธแสดงงานเรียกลูกค้า ซึ่งก็คืองานมอเตอร์โชว์ของศิลปินนั่นเอง
 
ไม่นานมานี้ผมมีโอกาสได้แวะไปเยือนสตูดิโอของเพื่อนศิลปินญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขายังหนุ่มแน่นและกำลังมีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ เขากำลังเร่งผลิตงานสำหรับนิทรรศการเดี่ยวในประเทศแถบยุโรป แม้จะสนุกกับงาน แต่เขาก็บ่นให้ผมฟังว่า “สถานการณ์ตอนนี้บ้ามาก เรายังทำงานไม่เสร็จสักชิ้น แต่แกลเลอรีของเราขายงานเราไปหมดแล้วตั้งแต่ที่ยังทำไม่เสร็จ” ฟังดูเป็นเรื่องน่ายินดีที่มีคนสนใจจะซื้องานของเขามากมาย แต่เขาบอกว่าการขายงานแบบนี้ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้มีความผูกพันกับงานของเขาเลย ทำเสร็จก็ต้องส่งออกไปทันที
 
พูดง่ายๆ ตอนนี้เขาทำงานศิลปะในลักษณะของงานอุตสาหกรรม ไม่ต่างจากมีคนจ้างเขาเย็บเสื้อผ้าหรือเย็บกระเป๋า
 
ผมคิดว่าในแวดวงศิลปะร่วมสมัย ไม่มีคำว่า “pure art” อีกต่อไปแล้ว หรือถ้ามี ก็ไม่ใช่งานที่จะมี “ชื่อเสียง” ในแวดวงศิลปะชั้นสูง
 
เดี๋ยวนี้ผมกลับคิดว่าคนทำงานฝีมือที่ทำอย่าง “มีใจ” ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง และไม่ได้มีผลงานแสดงตามแกลเลอรีหรือพิพิธภัณฑ์ ยังมีความ “pure” อยู่มากกว่าคนที่ประกอบอาชีพเป็นศิลปินด้วยซ้ำ
 
การได้รู้ได้เห็นความเป็นไปเบื้องหลังแวดวงศิลปะร่วมสมัยทำให้ผมค่อยๆเลิกฝันจะเป็น “ศิลปินอาชีพ” ความจริงการทำงานทุกอย่างก็ไม่ได้ต่างกันมากในหัวใจของมัน ทุกอย่างก็คือการดำรงชีวิต
 
ผมยังคงเลือกดำรงชีวิตด้วยความสบายใจและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ในวันนี้ผมไม่คิดว่าผมจะมีความสุขกับการเป็นศิลปินร่วมสมัย เพราะมันเป็นโลกที่ผมไม่ค่อยสบายใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วย
 
หน้าร้อนนี้ ผมกำลังคิดจะไปเรียนปั้นเซรามิกส์อยู่พอดี
 
ผมอยากปั้นชามข้าวมาใช้เองที่บ้าน ถ้าผมได้เรียนจริงๆ ผมจะปั้นมาฝากครอบครัวคุณวินทร์สักชุดครับ
 
 

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : นิตยสาร GM ฉบับเดือนพฤษภาคม 2550