ศรีดาวเรือง ในเทศกาลวรรณกรรมเอเชีย-แอฟริกา 2007

ย้อนหลังกลับไปเมื่อราวปี 2540 นักเขียนไทยนาม ศรีดาวเรือง ได้รับเชิญให้เดินทางไปเยือนยุโรป ในฐานะผู้สรรค์สร้างงานวรรณกรรม โดยมีเจ้าภาพร่วมคือสมาคมไทยศึกษา พิพิธภัณฑ์บูรพา พิพิธภัณฑ์ชาติวงศ์วรรณา และสหภาพนักเขียนสวีเดน ซึ่งมอบเกียรติให้ไปเยือนกรุงสตอกโฮล์ม พร้อมได้รับเชิญให้เดินทางต่อไปยังเดนมาร์ก เยอรมนี และอังกฤษ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2540 ซึ่งการได้รับเชิญให้เดินทางไปเยือนยุโรปในฐานะ ทูตวรรณกรรม อย่างไม่เป็นทางการครั้งนั้น ถือว่าได้สร้างคุณูปการด้านงานประพันธ์ไว้ไม่น้อย
ล่าสุด ศรีดาวเรือง ได้รับเกียรติเชื้อเชิญให้ไปร่วม งานเทศกาลวรรณกรรมเอเชีย-แอฟริกา 2007 ณ เมืองจอนจู ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 6-14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศรีดาวเรือง บอกว่า การได้รับเชิญครั้งนี้เป็นเกียรติอย่างมาก เพราะในฐานะคนบ้านนอกคนหนึ่งจากพิษณุโลก ซึ่งแม้ปัจจุบันจะหยั่งรากอยู่แถวรังสิต แต่ระยะหลังๆ ก็ไม่ค่อยได้เข้ากรุงเทพฯ มากนัก การไปเกาหลีใต้ครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้คนบ้านนอกได้ไปเมืองนอก
"…การได้รับเชิญไปเกาหลีใต้นั้น เริ่มมาจากวันที่ได้รับโทรศัพท์จากคุณตรัสวิน จิตต์เดชารักษ์ แห่งสำนักพิมพ์ Silk Worm บอกว่าทางผู้จัดงานเทศกาลวรรณกรรมเอเชีย-แอฟริกาที่เกาหลีใต้ ประสงค์จะเชิญให้ศรีดาวเรืองไปร่วมงานด้วย ได้ฟังแล้วก็นึกขึ้นทันทีว่า เป็นไปได้อย่างไร จึงถามคุณตรัสวินกลับว่า ศรีดาวเรืองจะไปทำอะไรได้ ก็ได้รับคำบอกเล่าว่าทางเกาหลีจะมีล่ามไทย-เกาหลีให้…
คุณตรัสวินเขียนจดหมายมาบอกด้วยว่า ประเด็นหลักของงานที่ทางเกาหลีจะจัดเป็นเรื่องประมาณ 4 หัวข้อ คือ 1.ผู้หญิงและงานในเอเชีย-แอฟริกา 2.วรรณกรรมเร่ร่อนและโดดเดี่ยวของนักเขียนผู้ลี้ภัย 3.การสร้างความร่วมมือทางการประพันธ์ระหว่าง 2 ทวีป และ 4.ปัญหาในการใช้ภาษา ทั้ง 4 หัวข้อนี้ เราเลือกหัวข้อที่ 1
ศรีดาวเรืองพูดคุยด้วยสีหน้าแช่มชื่นถึงบรรยากาศของงานในครั้งนี้ ว่า ยอมรับตามตรงเลยว่าไปถึงใหม่ๆ รู้สึกเกร็งมาก…มันเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในหนังฝรั่ง มองดูผู้คนซึ่งล้วนมีรูปร่าง-หน้าตาและการแต่งกายแปลกๆ เพื่อให้จดจำเพื่อนนักเขียนเหล่านี้ได้ง่าย จึงตั้งฉายาเล่นๆ ให้ เช่น ไอน์สไตน์-เจมส์ บอนด์-อลิซาเบธ เทเลอร์-ซินแบต-คุณป้ามหาโหด-คุณป้ามหาภัย และเจ้าหญิง เป็นต้น…
คนที่ได้สมญาว่าเป็น 'ซินแบต' มาจากอิรัก บอกว่า ที่บ้านเขายังรบกันไม่เลิก ฉันจึงบอกเขาผ่านล่าม ว่า ไม่แต่อิรักหรอกภาคใต้ของไทยแลนด์ก็ยิงกันทุกวันเหมือนกัน เพื่อให้มีเรื่องพูดต่อ ฉันบอกเขาด้วยว่า เคยอ่านนิทานที่มีชื่อ 'แบกแดด' มาตั้งแต่เป็นเด็ก เขายิ้มกว้างและบอกว่า 'ซินแบต!'
คุณซี ยอน ลิม เจ้าหน้าที่ของคณะจัดงานได้รอรับเราและนักเขียนจากประเทศต่างๆ ที่สนามบิน แล้วเราก็เดินทางจากสนามบินด้วยรถบัสไปยังเมืองจอนจู เขาจัดให้พักโรงแรมชั้นดี-มีห้องสำหรับพัก 2 คน แต่เรานอนกันคนละห้อง เรื่องอาหารการกินที่เกาหลีใต้เขาจะเน้นผักเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็มีพวกปลาดิบ ส่วนเนื้อย่างเกาหลีนั้นไม่เห็นเลย (หัวเราะ) ทุกเช้ามีสลัด-ทุกมื้อมีกิมจิและพวกผักดองอื่นๆ อีกหลากหลาย งานเลี้ยงต้อนรับที่ร้านอาหารมีนักร้องสาวขับร้องเพลงพื้นเมือง ดูแล้วคิดถึง 'ขวัญจิต ศรีประจันต์' ของเรา
ปกติเป็นคนกินอาหารแล้วไม่ค่อยย่อย-ท้องอืดเป็นประจำ จึงนำสารพัดยาติดไปด้วย แต่ตลอด 8 วัน ไม่ได้ใช้ยาเลย อาจเป็นเพราะกินผักเยอะ แล้วก็ไม่ได้กินจุบกินจิบเหมือนอยู่บ้าน ที่เดินผ่านตู้เย็นก็เปิด นั่งทำงานก็มีของกินวางอยู่ข้างๆ อาหารที่จัดให้ส่วนใหญ่เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่บนโต๊ะ ใครกินมาก-กินน้อยก็ตามอัธยาศัย แต่ก็มีประเภทตักไปมากๆ แล้วกินไม่หมดก็น่าเสียดายของ ก็กินกันอย่างสบายๆ ไม่ต้องระวังเรื่องใช้ช้อนใช้มีดผิดที่ผิดทาง
ช่วงอาหารเช้าของทุกวัน เราจะพบปะพูดคุยกับเพื่อนนักเขียน อย่างนักเขียนหญิงชาวอินโดนีเซียอายุ 70 กว่าแล้ว เล่าว่าเคยมารับรางวัลซีไรต์ในบ้านเรา และยังประทับใจไม่รู้ลืม เพราะตอนย่อตัวรับพระราชทานรางวัลเธอเจ็บเข่ามาก จนทุกวันนี้ ก็ยังไม่หายต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง
ส่วนนักเขียนหญิงจากแอฟริกามีทั้งที่แต่งตัวหรูและธรรมดา คนที่ดูหรูนั้นฉันตั้งฉายาให้ว่า 'เจ้าหญิง' ความจริงคือเธอเป็นนักเขียนหนังสือเด็ก เธอเล่าว่าบ้านเธอไม่มีนิทานเกี่ยวกับซานตาคลอส หรือแม่มด และหมาป่าจากเรื่องหนูน้อยหมวกแดง เธอจึงเขียนให้ตัวละครของฝรั่งผิวขาวเหล่านี้เดินทางไปแอฟริกา เด็กๆ จึงได้อ่านนิทานแนวใหม่ เช่น หมาป่ามันคิดว่าที่แอฟริกาคงยังไม่มีใครรู้จักมัน มันจึงเดินทางไปเพื่อจะจับเด็กกิน เป็นต้น
เมื่อผ่านการพูดคุยกันแล้วก็มาถึงวันลงนามเห็นพ้องกัน นักเขียนจาก 2 ทวีปได้ร่วมกันเขียนข้อความขึ้นมา 5 ข้อ และมอบให้นักเขียนจากแอฟริกาใต้กับสิงคโปร์เป็นผู้ร่วมกันอ่านคำประกาศแห่งจอนจู ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ โดยจัดแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนนิทรรศการซึ่งมีภาพนักเขียน ประวัติ รวมถึงผลงานของนักเขียนทั้งหมดที่ได้รับเชิญ และส่วนของเวทีเสวนาที่จัดให้เป็นที่อ่านคำประกาศแห่งจอนจู มีเวทีเตี้ยๆ ที่พื้นเขาเก็บใบไม้ที่ร่วงอยู่ในฤดูนี้ ซึ่งสวยมาก มาโรยไว้ ที่นั่งก็ใช้ฟ่อนฟางเรียงซ้อนกัน แล้วเอาไม้บางๆ วางเทินอีกที…"
สำหรับบรรยากาศทั่วไปในวงเสวนานั้น ศรีดาวเรือง บอกว่า มีคนของทางการมากล่าวต้อนรับ แล้วนักเขียนของเกาหลีและจากประเทศอื่นอีกครั้งละ 3-4 คนขึ้นพูด คุณไอดาก็คอยแปลให้ฟัง แต่บางครั้งเห็นคนหันมามองเลยตกลงกันใหม่ว่าแปลเฉพาะที่สำคัญก็แล้วกัน
"พวกเขาพูดกันถึงประเทศที่เคยผ่านการเป็นอาณานิคม ผ่านสงคราม ประเทศยากจนด้วยความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน พูดกันถึงความพยายามที่จะทำให้วัฒนธรรมวรรณกรรมของทั้งสองทวีปได้รับการแปล ถ่ายเทไปมาหากัน โดยทางเกาหลีมีองค์กรเกี่ยวกับด้านงานแปลที่เข้มแข็ง พวกเขาได้ทำหนังสือชื่อ 'เอเชีย' ออกมาหลายเล่ม เป็นการแปลวรรณกรรมเพื่อนบ้านจากภาษาอังกฤษเป็นเกาหลีและจากเกาหลีเป็นอังกฤษ
ส่วนสำคัญของงานเทศกาลวรรณกรรมนี้ น่าจะอยู่ที่การรุกทางวัฒนธรรมของเกาหลีที่แผ่ขยายออกไป ในบ้านเราก็เช่นภาพยนตร์ หนังสือ วัฒนธรรมการแต่งกาย การท่องเที่ยว ที่จะเห็นได้ว่ากำลังรุดหน้าเข้ามาบ้านเราอย่างมาก กับอีกเรื่องคือการร่วมกันประกาศปฏิเสธไม่ยอมรับคำว่า 'โลกที่ 3' ที่ฝรั่งตั้งให้ แม้ว่าทุกชาติยังต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง พวกเขาก็เห็นว่ามันเป็นเพียงเครื่องมือชนิดหนึ่ง ที่เอามาช่วยในการเติบโตและการเผยแพร่
การพูดคุยบางวันจะรวมกันในห้องใหญ่ของมหาวิทยาลัย บางวันแยกไปห้องเล็กตามหัวข้อของแต่ละกลุ่มที่เลือกกัน กลุ่มผู้หญิงก็คุยกันอยู่ 3 วัน สรุปรวมจากหลายๆ ประเทศ ก็มีปัญหาคล้ายๆ กันบ้าง-ต่างกันบ้าง ที่คล้ายกันก็เช่นกฎหมายความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงดีขึ้นแต่ยังไม่ดีพอ พวกผู้ชายในประเทศที่มีภรรยาได้หลายคนยังเอาเปรียบได้ ขนาดเมื่อลูกชายไม่อยู่ก็จะเอาลูกสะใภ้ทำเมีย ผู้หญิงยังถูกกีดกันเรื่องการศึกษา เรื่องศาสนาที่ผู้หญิงยังต่ำต้อยอยู่มาก และเรื่องสิทธิมนุษยชน เช่น ในแอฟริกาบางชนเผ่าผู้หญิงยังถูกขลิบอวัยวะเพศอยู่
วันหนึ่งนักเขียนไต้หวันกับนักเขียนจีนขึ้นเวทีพร้อมกัน ฝั่งจีนเป็นนักเขียนสาว ส่วนไต้หวันเป็นชายกลางคนแล้ว นักเขียนจีนพูดก่อนโดยทำเหมือนอย่างที่ศรีดาวเรืองกับคุณไอดา อรุณวงศ์ (ล่ามส่วนตัว) ทำ คือพูดภาษาของตนแล้วมีล่ามแปล พอถึงคิวของไต้หวัน เธอถามขึ้นมาดังๆ เลยว่า ในห้องนี้มีใครฟังภาษาจีนออกบ้าง เมื่อไม่มีก็ไม่ต้องเสียเวลาพูดภาษาจีน เธอจึงให้ล่ามแปลจากกระดาษไปเลย
ตั้งแต่ก่อนเดินทาง ฝ่ายผู้จัดได้ให้เลือกโปรแกรมวันหนึ่งว่าจะไปเที่ยวที่อื่น หรือไปคุยกับเด็กมัธยม ฉันปรึกษากับคุณไอดาแล้วตกลงเลือกไปคุยกับเด็ก โรงเรียนที่ไปมีเด็กจำนวนไม่มาก การดูแลจึงดีมาก ตอนไปถึงเห็นภาพปกหนังสือเรื่อง 'ชาวยักษ์' ของเราขยายใหญ่ตั้งต้อนรับพร้อมกระถางดอกดาวเรือง ซึ่งความจริงเขาไม่รู้มาก่อนหรอกว่า ดอกดาวเรืองมีความหมายเกี่ยวกับนามปากกา แต่ในช่วงนั้นดอกดาวเรืองกับเบญจมาศบานอยู่ทั่วไปแลเหลืองอร่ามตัดกับต้นไม้ประเภทเปลี่ยนสีเป็นแดง
ที่โรงเรียนก็ได้แนะนำตัวสั้นๆ และพูดถึงเรื่องสั้น 'สีดาดับไฟ' ที่ทางคณะจัดงานได้นำไปพิมพ์รวมกับผู้อื่นอยู่ในหนังสือประจำงาน ฉันชมเด็กๆ ไปว่า พวกเขาโชคดีกว่าเด็กในประเทศอื่นอีกมาก ที่ได้รับการศึกษาอย่างดี ตัวฉันนั้นเรียนหนังสือมาน้อย แต่ก็ได้พยายามเรียนรู้และเขียนหนังสือได้หากมีคนอยากเป็นนักเขียนย่อมต้องทำให้ดีกว่าอย่างแน่นอน
ซักถามเด็กๆ ว่า พวกเขากำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ มีคนหนึ่งตอบว่ากำลังอ่านประวัติศาสตร์เกาหลี ก็เลยยกนิ้วโป้งให้เขา และปรากฏว่าคุณครูคนหนึ่งซึ่งดูแลเด็กอยู่ ได้บอกภายหลังว่าเธอก็อยากเขียนหนังสือ แต่ยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่ วันนี้ได้ฟัง-ได้เห็นศรีดาวเรือง ทำให้มีกำลังใจ และเธอจะลงมือเขียนเสียที ฟังแล้วก็ปลื้มใจค่ะ"
ก่อนหน้าที่ ศรีดาวเรือง จะได้รับเชิญไปประเทศเกาหลีใต้ มีการตีพิมพ์-เผยแพร่บทบันทึกในเชิงอัตสารคดี เมื่อครั้งที่เธอเดินทางออกย่ำแผ่นดินยุโรปออกมาจำนวน 1 เล่ม นั่นคือ งานเขียนชุด สี่แผ่นดินอื่น โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ภาค คือ สวีเดน เดนมาร์ก เยอรมนี และอังกฤษ
นอกจากนี้ ยังได้มีการรวบรวมผลงานเรื่องสั้นที่เคยได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ จำนวน 12 เรื่อง-คัดสรรเอาไว้ในรวมเรื่องสั้น 2 ภาษาชุด 'ราษฎรดำเนิน' ซึ่งจะหมายความเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากว่าผลงานของเธอมีคุณค่าในสายตานักวิชาการวรรณกรรมระดับสากลนั่นเอง
กล่าวสำหรับบทบาทการเป็น 'ทูตวรรณกรรม' ที่มีบทพิสูจน์ทางรูปธรรม คือผลงานการแปลบทประพันธ์ของ 2 นักเขียนระดับโลก ซึ่งเป็นนักเขียนจากประเทศที่เธอเคยไปเยือนนั้นเอง นั่นก็คือ การแปลชุดนิทานของ 'ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซ่น' ชาวเดนมาร์ก และผลงานของ 'สองพี่น้องตระกูลกริมม์' ชาวเยอรมัน
นอกจากนี้ ยังมีผลงานการแปลวรรณกรรมของศรีดาวเรืองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอีกมากมายที่เป็นเครื่องยืนยันถึงบทบาทการเป็น 'ทูตวรรณกรรม' อย่างไม่เป็นทางการของเธอได้อีกโสดหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย การผจญภัยของลุงป๋วย สมุดปกเขียว ดอนกีโฮเต้ (ฉบับเยาวชน) นิทานฮาวาย แม่ถ้อยน้ำคำ ลึกมั้ยนะ แม่ไม้ ยุคสมัยไวกิ้ง ผืนดินออกลูกเป็นเสื้อ เด็กข้างรางรถไฟ และ ความลับในห้องหมายเลข 342
——————————————-
0 ปาฐกถา 'ศรีดาวเรือง' ที่เกาหลีใต้
สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ฉันเกิดในครอบครัวยากจน ทางภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย ที่จังหวัดพิษณุโลก เรียนหนังสือเพียงแค่ชั้นประถมปีที่ 4 หลังจากนั้น ก็จากบ้านเกิดไปขายแรงงานในกรุงเทพฯ
ฉันได้รับการศึกษาในระบบน้อยมาก แต่เนื่องจากพ่อแม่เป็นคนรักการอ่าน พวกเราบางคนรวมทั้งฉันเองจึงชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่วัยเด็ก ความยากจนทำให้ฉันอยากเรียนโน่นเรียนนี่ตลอดเวลา ฉันเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกเมื่ออายุ 15 แต่ผลคือความล้มเหลว จึงคิดว่าเพราะฉันมีการศึกษาไม่มากพอ-การเขียนหนังสือคงเป็นเรื่องของปัญญาชนโดยเฉพาะ ฉันจึงเลิกล้มความคิดที่จะเขียนหนังสือ
แต่อีกประมาณ 20 ปีต่อมา นักศึกษาและประชาชนได้ร่วมกันเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยจากรัฐบาลเผด็จการทหาร หรือที่เรียกว่า 'เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516' การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารครั้งนั้น แม้จะนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรงในอีก 3 ปีต่อมา แต่มันก็ช่วยสร้างบรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างปัญญาชนกับกรรมกรให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก บรรณาธิการนิตยสารปัญญาชนคนหนึ่งได้ให้กำลังใจ และชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของผู้ใช้แรงงาน เขาบอกว่าฉันควรจะกลับมาเขียนหนังสืออีกครั้ง เขาได้แนะนำให้ฉันใช้วัตถุดิบจากประสบการณ์จริง และแนะนำหนังสือที่มีคุณค่าให้อ่าน
เรื่องสั้นเรื่องแรกของฉันได้รับการตีพิมพ์เมื่อฉันอายุ 34 ปี โดยที่ฉันได้นำเอาชีวิตของกรรมกรในโรงงานทำแก้วที่ฉันเคยทำงานอยู่มาเขียนเป็นเรื่องสั้น และต่อมา ก็ได้เขียนเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนระดับล่างที่ส่วนใหญ่ยากจนและไร้การศึกษา หลังจากเรื่องสั้นเรื่องแรกได้รับการตีพิมพ์ ฉันก็มีกำลังใจที่จะเขียนหนังสือต่อมา และเริ่มสนใจออกไปสู่โลกภายนอกมากขึ้น โดยผ่านทางงานเขียนประเภทต่างๆ เช่น บทกวี นวนิยาย บทละคร บทความ บทวิจารณ์หนังสือ และสารคดีท่องเที่ยว
ฉันเป็นนักเขียนเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ฉันไม่ได้ตั้งเป้าไว้ที่การขายผลงานให้ได้จำนวนมาก แต่อยู่ที่การได้เขียนหนังสือตามใจปรารถนา รายได้จากงานเขียนแต่ละครั้งน้อยมาก เมื่อเทียบกับนักเขียนขายดีที่มีชื่อเสียงอยู่ในประเทศ เรื่องสั้น นวนิยาย และบทละครของฉันไม่เคยถูกทำเป็นละครโทรทัศน์ เพราะส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความหดหู่ของชีวิต
ในฐานะนักเขียน ฉันคิดว่าทั้งหญิงและชายก็คือ 'นักเขียน' เวลาเขียนหนังสือ ฉันไม่ได้คิดถึงตัวเองในฐานะ 'ผู้หญิง' ดังนั้น ในทรรศนะของฉัน คำว่า 'นักเขียน' จึงไม่มี 'เพศ' ไม่ได้แบ่งแยกโดยมีคำว่า 'เพศ' มาขวางกั้น แต่ในความเป็นจริงทั่วไป ผู้หญิงถูกทำให้เป็น 'เพศที่ต้อยต่ำ' เนื่องจากสังคมแบบจารีตที่มี 'ชายเป็นใหญ่' มาแต่โบราณของบ้านเมืองฉันที่มีภาษิตบทหนึ่งถึงกับเคยบอกเอาไว้ว่า 'หญิงเป็นควาย ชายเป็นคน' นอกจากนั้น ยังมีภาษิตอีกบทหนึ่งซึ่งกล่าวว่า 'ชายเป็นช้างเท้าหน้า หญิงเป็นช้างเท้าหลัง'
ในภาพรวมทั่วไป สิ่งที่ฉันสังเกตเห็นก็คือคำว่านักเขียนในฐานะ 'สตรีเพศ' ยังถูกมองว่า 'เป็นรอง' เสมอ มีตัวอย่างให้เห็นมากมายทั้งในประเทศของฉันและในประเทศอื่นๆ เช่น หญิงบวชเป็นพระไม่ได้หรือหญิงจะแตะต้องชายผ้าเหลืองของพระก็ไม่ได้ ส่วนเด็กชายที่บวชเป็นเณรสามารถวิ่งไปกอดสัตว์ต่างๆ เช่น หมาและแมวได้ แต่สังคมกลับไม่อนุญาตให้เด็กชายคนนั้นวิ่งไปกอดแม่ของตัวเองได้ เนื่องจากแม่เป็นผู้หญิง นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ของความไม่เสมอภาคระหว่างเพศ!
ในประวัติความเป็นมา กวีและนักเขียนสตรีของไทยนั้น ได้มีปรากฏมาตั้งแต่สมัยที่ประเทศไทยยังใช้ชื่อเดิมว่า 'สยาม' ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อประมาณ 180 ปีก่อน กวีและนักเขียนหญิงส่วนใหญ่ ไม่ค่อยปรากฏตัวอย่างมีสถานะชัดเจนมากนัก และมีความสับสนมาตั้งแต่ยุคบุกเบิก กล่าวคือ มีนักเขียนชายหลายคนตั้งใจใช้นามปากกาให้ดูเหมือนเป็นหญิง โดยใช้คำว่า 'แม่' และ 'ศรี' นำหน้า เช่น ศรีอยุธยา, ศรีบูรพา, แม่วัน, แม่อนงค์ ฯลฯ หรือเวลาทำหนังสือก็จะบอกว่า เป็นหนังสือของผู้หญิง ทั้งที่ความจริงจัดทำโดยพวกผู้ชาย น่าเสียดายที่เอกสารชั้นต้นเกี่ยวกับหนังสือผู้หญิงที่จัดทำโดยผู้หญิงถูกสังคมละลืมไม่เห็นความสำคัญ และมีบางส่วนได้สูญหายไปจากระบบการจัดเก็บที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ประวัติวรรณกรรมไทยตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ทำให้เราพอมองเห็นผลงานของนักเขียนหญิงในหลายระดับมากขึ้น และยังคงปรากฏสืบเนื่องต่อมาจนปัจจุบัน นักเขียนหญิงหลายคนสามารถถือเอางานเขียนของตนเป็นงานอาชีพได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อยกเว้นส่วนน้อยเท่านั้น ในระยะแรก นักเขียนหญิงของไทยมีจำนวนน้อยกว่านักเขียนชาย แต่เมื่อมองในภาพรวมปัจจุบัน น่าจะมีนักเขียนหญิงที่เขียนนวนิยายลงเป็นตอนๆ ในนิตยสารต่างๆ จำนวนมากกว่านักเขียนชาย อีกทั้งยังมีชื่อเสียงอยู่ในแวดวงละครโทรทัศน์จำนวนไม่น้อย!
ในด้านชีวิตการงาน ฉันมิได้ทำงานเขียนเพียงอย่างเดียว แม้ตนเองจะมีสถานะเป็นนักเขียน แต่ก็ใช้ชีวิตเป็น 'แม่บ้าน' ตามปกติ เข้าครัว-เลี้ยงลูก-ทำงานบ้าน-ดูแลสัตว์เลี้ยง ฯลฯ เมื่อสามีเป็นบรรณาธิการนิตยสารวรรณกรรม ฉันจึงมีโอกาสได้ช่วยงานสามีคล้ายกับประจำอยู่ในกองบรรณาธิการไปพร้อมกัน ฉันคิดว่าแม้ในทางสรีระ ผู้หญิงจะมี 'มดลูก' แต่ในความเป็นจริงผู้หญิงหาใช่เป็นเพียงแค่ 'มดลูก' แต่อย่างใด
พวกเราในโลกยุคใหม่ สามารถมีแรงบันดาลใจที่จะเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น กล่าวคือเข้าใจตัวเองและมีโอกาสที่จะได้ทำตามความปรารถนาของตนมากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันยังมีกฎหมายที่ยอมรับให้ชายและหญิงใกล้ที่จะเท่าเทียมกันมากขึ้น คำว่า 'ชายกดขี่หญิง' แม้จะยังคงเป็นความจริง แต่ถ้ามองเรื่องราวในงานวรรณกรรมหลายเรื่อง เราจะพบว่า 'ผู้หญิง' กับ 'ผู้หญิง' ก็ยังกดขี่กันเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!
อย่างไรก็ตาม ฉันเชื่อว่าในโลกการเขียนหนังสือนั้น ทั้งหญิงและชายต่างก็มีทางเลือกใหม่ๆ ของตนมากขึ้น โดยหญิงมิใช่เป็นเพียงผู้ชมแต่ฝ่ายเดียว แต่ยังเป็นผู้แสดงไปพร้อมกันด้วย ในทรรศนะของฉัน โรคร้ายของมนุษยชาตินั้นไม่ใช่ผู้ชาย แต่มันคือความแปลกแยกระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ที่ยังเป็นแก่นเรื่องหลักเสมอในงานเขียนของทุกชาติทุกภาษา
ฉันขอร่วมแสดงความยินดีที่การจัดประชุมครั้งนี้ ได้ทำให้พวกเรา-ในฐานะ 'นักเขียนจากเอเชียและแอฟริกา' ได้มีโอกาสมาพบกัน ไม่ทราบทำไมพวกเราส่วนใหญ่จึงมักรู้จักนักเขียนในประเทศซีกโลกตะวันตก มากกว่ารู้จักนักเขียนในเอเชียและแอฟริกา การจัดเทศกาลวรรณกรรมในครั้งนี้ จึงถือเป็นนิมิตหมายอันศักดิ์สิทธิ์และงดงามที่จะทำให้เราได้รู้จักนักเขียนในเอเชียและแอฟริกามากขึ้น
ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่ให้เกียรตินักเขียนเล็กๆ เช่นฉันได้มีโอกาสเดินทางมาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ในวัยบั้นปลายของชีวิต สุดท้ายขอขอบคุณนักแปลที่ทำให้วรรณกรรมได้ถ่ายเทไปมาหากัน
ขอพลังสร้างสรรค์จงเป็นของพวกท่านทุกคน 0
จุดประกาย วรรณกรรม
ปีที่ 20 ฉบับที่ 7059
วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551
นกป่า อุษาคเนย์ : รายงาน