Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ศรีดาวเรือง แง่งามแห่งวงศ์วรรณกรรม

 

 
 
เป็นเวลากว่า 30 ปีปลายปากกาของ 'ศรีดาวเรือง' จรดกระดาษถ่ายทอดความเจ็บร้าวของผู้คนในสังคม ด้วยคมคิดอันลึกซึ้งใช่เพียงเปลือกแห่งทุกข์ยาก แต่มุ่งกะเทาะไปที่แก่นแกนอันเป็นเหตุแห่งสำนึกภายใน เชิงชั้นภาษาที่เรียบง่ายแต่งดงาม
'ศรีดาวเรือง' คือนามปากกาของ วรรณา ทรรปนานนท์ เกิด 14 ธ.ค. 2486 ที่ จ.พิษณุโลก พ่อทำงานการรถไฟ ส่วนแม่มีอาชีพค้าขาย แต่ด้วยนิสัยรักการอ่านที่ได้อิทธิพลมาจากคนพ่อคุณแม่ เธอจึงชอบอ่านหนังสือทุกประเภท ตั้งแต่ วรรณกรรม เรื่องสั้น นวนิยาย หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ทำให้ศรีดาวเรืองเป็นนักอ่านตัวยงและหลงใหลโลกแห่งอักษร แต่เด็กหญิงวรรณาในตอนนั้นไม่เคยคิดว่าในอนาคตชีวิตเธอทั้งชีวิตจะก้าวเดินไปบนถนนคนอักษร
ด้วยเธอมีพี่น้องที่มากถึง 9 คน ลูกสาวคนที่ 3 อย่างเธอจึงเรียนได้แค่ชั้นประถมฯ 4 ก่อนตัดสินใจออกจากโรงเรียนเดินทางมาหางานทำที่กรุงเทพฯ ด้วยการเป็นคนรับใช้ในบ้าน เป็นพนักงานร้านอาหาร แม้แต่กรรมกรโรงงาน แต่เหล่านี้คือต้นทุนชีวิตและเป็นประสบการณ์สำคัญที่นำไปสู่จุดเปลี่ยนของศรีดาวเรือง
 
หลังเหตุการณ์ 14ตุลาคม2516 ยุคสมัยที่ประชาธิปไตยเบ่งบานการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ความชอบธรรมในสังคมเกิดขึ้นมากมาย ปัญหาการคอรัปชั่น กดขี่ขูดรีด ถูกวิพากษ์วิจารณ์ขุดคุ้ยอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าถนนทุกสายมุ่งสู่ทำเนียบรัฐบาล สาวโรงงานอย่าง 'ศรีดาวเรือง' ก็คือดอกผลคนเดือนตุลา แม้จะไม่ได้เป็นกงล้อใหญ่นำการขับเคลื่อน แต่ก็เป็นหนึ่งฟันเฟืองแห่งประวัติศาสตร์ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
 
"ความจริงแล้วตอนเหตุการณ์ 14 ตุลาฯยังไม่เข้าไปร่วมอะไรกับเขาหรอกรู้สึกเกลียดนักศึกษาด้วยซ้ำ เห็นเขาเอาไม้ไปทุบตู้โทรศัพท์แล้วไม่ชอบ เป็นนักศึกษาทำไมทำตัวแบบนี้ เราไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้รู้ได้ฟังมากขึ้นช่วงที่ทำงานโรงงานก็เริ่มเข้าใจและเข้าร่วมช่วง 6 ตุลาฯ"
 
การร่วมเคลื่อนไหวในขบวนการชนชั้นกรรมาชีพของศรีดาวเรืองทำให้ต้องตระเวนไปตามเวทีอภิปรายทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง จึงนำพาเธอมาให้พบกับ สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ เมื่อทั้งคู่ก็ตกลงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน นั่นถือเป็นจุดที่นำเธอก้าวเข้าจับปากกาสู่แวดวงนักเขียน ช่วงแรก ศรีดาวเรืองทำหน้าที่ช่วยพิมพ์ต้นฉบับให้แก่สุชาติ การได้รู้จักนักคิด นักเขียน และคนที่มีบทบาททางความคิดในสังคมหลายต่อหลายท่าน เป็นเหมือนการเรียนลัดในเรื่องการคิดการเขียนของศรีดาวเรือง เธอเริ่มอ่านงานวรรณกรรมมากขึ้น และพยายามที่จะเขียนหนังสืออย่างจริงจังใฝ่หาความรู้เพิ่มเติม เช่นการไปเรียนพิมพ์ดีด เรียนภาษาอังกฤษ เมื่อศรีดาวเรือง เริ่มต้นเขียนงานส่งไปตีพิมพ์ตามหนังสือต่างๆ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ก็คือผู้ที่คอยให้คำแนะนำอยู่ไม่ห่าง 
และแล้วผลงานเรื่อง 'แก้วหยดเดียว' เรื่องสั้นสะท้อนชีวิตของกรรมกรโรงงาน ประสบการณ์จริงที่เธอถ่ายเทออกมาเป็นตัวหนังสือ ก็ทำให้นามปากกา 'ศรีดาวเรือง'โดดเด่นเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนเพื่อชีวิตอีกคนหนึ่งในแวดวงวรรณกรรม และต่อมามีผลงานบทกวีชิ้นแรกชื่อ 'กล้วย' งานบทความชื่อ 'คุณเป็นลิเก' บทวิจารณ์วรรณกรรมเรื่อง 'คนขี่เสือ' เรื่องสั้น 'คนดายหญ้า' เรื่อง 'มันกับการเลือกตั้ง' เรือง 'บัตรประชาชน' หรืออย่าง 'มัทรี' และ 'สีดาดับไฟ' อีกทั้งยังมีผลงานแปลวรรณกรรมต่างประเทศอีกหลายเล่ม และทุกชิ้นคือประสบการณ์ มุมมองระดับปัญญาชนที่หนักแน่นลึกซึ้ง 
เมล็ดพันธุ์ที่งอกงามขึ้นจากผู้ทุกข์ยาก ถูกรดด้วยกระแสธารประชาธิปไตย ส่งผลให้งานเขียนของ 'ศรีดาวเรือง' เบ่งบานเป็นแง่งามแห่งวงศ์วรรณกรรมตลอดรายทางที่ผ่านมา ถึงงานเขียนของศรีดาวเรืองจะหนักแน่นสะท้อนความทุกข์ยากของชนชั้นผู้ถูกกดขี่ได้ตรงจุด แต่งานเขียนก็ไม่ได้ชี้นำแบบซ้ายจัดเหมือนกรระแสวรรณกรรมเพื่อชีวิตหลายๆเล่ม
 
"มันก็แล้วแต่บางเรื่อง ศรีดาวเรืองเองก็เคยชูธงยุให้คนเข้าป่าจับปืนลุกขึ้นสู้ก็มีช่วงแรกๆ แต่ก็เริ่มคลี่คลายไป เราเห็นใจเข้าใจคนทุกข์คนยาก เห็นการเอารัดเอาเปรียบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนจนถูกเสมอ นายทุนต้องเป็น คนเอาเปรียบตลอด มันจะกลายเป็นสูตรสำเร็จเกินไป เราเขียนในสิ่งที่รู้ สิ่งที่มาจากประสบการณ์ แต่อย่ามองโลกแคบเพียงแค่นั้น"
 
สายธารวรรณกรรมเพื่อชีวิตในปัจจุบันนับวันยิ่งเหือดแห้ง ท่ามกลางความร้อนแรงของวรรณกรรม ฮาวทู ในโลกทุนนิยม กระแสที่เบียดขับทำให้สังคมมัวซัวไม่เห็นเนื้อแท้ของการเอาเปรียบ ชนชั้นล่างไม่สนใจอ่านเรื่องที่พูดถึงตัวเอง ไม่ต้องการเรียนรู้เรื่อง ชีวิตจิตวิญาณ หรือการตั้งคำถามต่อสังคมที่ไม่เท่าเทียม กลับสลัดดิ้นทุกทางเพื่อพ้นจากตัวตน พุ่งสู่โครงครอบที่มีวัตถุนำจิตใจ
 
"เห็นคนแถวนี้คนหนึ่งเขาทำงานโรงงาน เข้าไปซื้อหนังสือที่ร้าน เป็นหนังสือชีวประวัติของเศรษฐีคนหนึ่ง เลยเข้าไปถามเขาว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจตรงไหน คนงานโรงงานก็ตอบว่าแต่ก่อนเศรษฐีคนนี้เคยเป็นคนจนมาก่อนแต่ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับเลยอยากรู้ว่าเขารวยได้อย่างไร แล้วทำอย่างไรเราถึงจะรวยอย่างเขา สิ่งนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่วรรณกรรมเพื่อชีวิตเริ่มตาย พิมพ์มา 1,500-2,000 เล่มขายหมดก็ดีแล้วแต่หนังสือประเภทนี้พิมพ์แล้วพิมพ์อีกเป็นแสนเล่ม"
 
จากวันนั้นถึงวันนี้แม้จะล่วงผ่านกาลเวลามายาวนานถึง 30 ปีแล้วก็ตาม แต่หมุดหมายที่ปักลงบนถนนสายนี้ยังมั่นคง ถึงจะรู้อยู่ว่าสังคมไทยโดยเฉพาะอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพที่ยากไร้ใส้แห้ง แต่ก็ไม่มีผลหรือเปลี่ยนเจตนาที่จะเดินบนเส้นทางสายวรรณกรรมของศรีดาวเรืองได้ เพราะความสุขในโลกงานเขียนมีค่ากว่าวัตถุความสะดวกสบาย
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากนิตยสาร YES